ก้าวไกลอัดรัฐบาลไม่หามาตรการลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟ ถึงเวลาจะคุยพรรคร่วมช่วย ปชช. ได้หรือยัง
https://www.matichon.co.th/clips/news_4700971
ศุภโชติ ไชยสัจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ถามหามาตรการลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟ ช่วยประชาชนของรัฐบาล อย่าใช้วิธีเดิมให้กองทุนแบกรับส่วนต่างราคา จนขาดทุนเสี่ยงล้มละลาย ถึงเวลาจะคุยพรรคร่วมเพื่อช่วยประชาชนได้หรือยัง แนะเอาเงินทำดิจิทัลวอลเล็ตมาช่วยประชาชนตามที่หาเสียงไว้ อย่าให้ใครเอางบกลางไปทำนโยบายเพียงพรรคเดียว ด้าน
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แจงกำลังปรับแก้ไข กม.น้ำมันใหม่ ยืนยัน รมต.พลังงานชื่อ
พีระพันธุ์ ไม่ใช่ใครอื่น.
ศาลปกครองสูงสุด สั่งกทม. จ่ายหนี้บีทีเอส ก้อนสุดท้าย 1.2 หมื่นล้าน.
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4701752
ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้ กทม.กับพวกร่วมกันชดใช้บีทีเอสกว่า 1.2 หมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลปกครองสูงสุด นัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ อ.2226/2565ที่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี (ผู้ฟ้องคดี) กับ กรุงเทพมหานครกับ พวกรวม 2 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง (โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว)
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า กรุงเทพมหานคร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ผิดสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 ตามสัญญาเลขที่ กธ.ส.006/55 ลว. 3 พฤษภาคม 2555
ส่วนต่อขยายที่ 2 ตามสัญญาเลขที่ กธ.ส.024/59 ลว. 1 สิงหาคม 2559 กรณีผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยผู้ฟ้องคดี ได้มีหนังสือ ลว. 18 กันยายน 2563 และหนังสือ ลว. 15 มกราคม 2564 ทวงถามไปยังผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ให้ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาแล้ว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเพิกเฉย เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงนำคดีมาฟ้อง
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษา ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกัน หรือแทนกันชำระเงินสำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวนจำนวน 2,348,659,232 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,199,091,830 บาท
และสำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 9,406,418,719 บาทพร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 8,786,765,195บาทตามอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับเงินกู้สกุลเงินบาท บวกร้อยละ 1 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเห็นว่า การที่กทม. ได้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 และได้มอบหมายให้ บ.กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นวิสาหกิจ ที่กทม.ถือหุ้นร้อยละ 99.98 เพื่อให้การดำเนินกิจการสาธารณะของกทม. มีความคล่องตัว ดังนั้นเมื่อบ.กรุงเทพธนาคมฯ มีหนี้ค้างชำระตามสัญญา การให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร กับบีทีเอสทั้งในส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 กทม. จึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวกับบ.กรุงเทพธนาคมฯให้กับบีทีเอส ด้วย แก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันชำระเงิน
สำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,348,659,232 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,199,091,830.27 บาท และสำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 9,406,418,719 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 8,786,765,195 บาท ตามอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับเงินกู้สกุลเงินบาท บวกร้อยละ 1 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลปกครองชั้นต้น.
ชาวสวนทุเรียน3จชต. โอดราคาร่วง เหตุแอบสวมสิทธิขายจีน-ถูกตีกลับ วอนช่วย
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_777777855845
ยะลา ชาวสวนทุเรียนโอดราคาตกต่ำ เดือดร้อนหนักขายหน้าสวน 80-55 บาท วอนช่วยดันแตะ 100 บาท พ่อเมือง แจ้งเหตุ จีนตีกลับ ล้งแอบลักสวมสิทธิทุเรียน3จังหวัดชายแดนใต้
26 ก.ค. 67 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาของชาวสวนทุเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะชาวสวนทุเรียนในจังหวัดยะลา ต่างได้รับผลกระทบเดือดร้อนจากราคาตกต่ำ ซึ่งราคาหน้าสวน อยู่ที่ 80-55 บาท ขณะที่ชาวสวนเรียกร้อง ขอราคาหน้าสวน ต้องไม่ต่ำกว่า 100 บาท
สำหรับปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจาก จีน ตีกลับทุเรียน 4 ตู้ ประมาณ 17,280 กก. หรือ ประมาณ 17 ตันกว่า อ้างว่า ตรวจพบหนอนในทุเรียน และจากการตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องทุเรียน ทั้งหมดมาจากพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง ไม่ใช่ทุเรียนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และไม่ใช่ทุเรียนจาก จ.ยะลา ด้วย
นาย
อำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เปิดเผยว่า ทุเรียนของยะลามีรสชาติอร่อย หวาน มัน และมีคุณภาพ เนื่องจากจังหวัดยะลามีมาตรการการป้องกันไม่ให้หนอนผีเสื้อมาเจาะเมล็ด ตั้งแต่ทุเรียนเริ่มออกดอก และได้ใช้นวัตกรรมในเรื่องของการเกษตร คือใช้แสงไฟมาไล่หนอนผีเสื้อที่จะมาเจาะทุเรียน
“
รับรองได้ว่า ทุเรียนยะลาของเรา มีคุณภาพแน่นอน ซึ่งจังหวัดยะลาได้ตัดทุเรียนมีดแรกวันที่ 23 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นจากข่าวพบว่า ทุเรียนยะลามีหนอนไม่เป็นความจริง ขอยืนยันเลยว่า ทุเรียนยะลา ไม่มีปัญหาเรื่องหนอนเจาะทุเรียนแน่นอน ในส่วนของมาตรการ การตัด ทุเรียนอ่อน เรามีมาตรการตรวจเช็กที่เข้มงวด เพื่อส่งออกทุเรียนที่มีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค”
ขณะที่ นาย
มะซอบรี ชาวบ้านในพื้นที่รับซื้อทุเรียนจากหน้าสวนของชาวบ้าน ไปขายล้งยะลา กล่าวว่า ตอนนี้ ทุเรียนหน้าสวนสามารถรับซื้อได้ในราคา 80-55 บาท เราเอาไปขายต่อล้งในยะลา 80-100 บาท
ขณะที่ค่าใช้จ่ายคนขึ้นตัดลูกทุเรียนลงจากต้น กก.ละ 2 บาท ขนจากบนเขาลงที่รถ กก.2 บาท ค่ากับข้าว น้ำมันรถอีก รวมๆ ต้องมีต้นทุน 7 บาทต่อกก. กำไร กก.ละ 13 บาท ชาวบ้านก็เข้าใจ แต่ถ้าราคาที่ล้งยะลา อยู่ที่ 120 -170 บาท ราคาหน้าส่วน จะไม่ต่ำกว่า 100 บาทแน่นอน ถ้าจะดี ราคาผลผลิตของชาวบ้าน 100-120 บาท กำลังสวย อยากให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยเหลือชาวสวนอย่างเร่งด่วน
นาย
บือราเฮง ชาวสวนในยะลา กล่าวว่า วันนี้ขายทุเรียน ราคา 80 บาท ลูกสวยๆ ที่เข้าเกณฑ์ ส่วนลูกตกไซส์ราคา 55 บาท ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ถ้าจะให้ดี ราคา ไม่ต่ำกว่า 100 บาทต่อกก. ถือว่าดีมาก ไม่ต้องแพงไปถึง 150-180 บาท เราก็เข้าใจคนกิน เขาจะเอาอะไรซื้อ
“
ราคาปัจจุบัน ทั้งปุ๋ย ยา ต่างๆ ในการดูแลสวน แถมไม่ได้กำไร แล้วจะไม่แย่ได้ยังไง รายจ่ายทุกอย่างแพงหมด แต่ผลผลิตถูก ชาวบ้านแทบขาดทุน ฝากปัญหานี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาโดยด่วน เพื่อให้ชาวบ้านได้ลืมตาอ้าปากได้บ้าง พอที่จะหายใจคล่องบ้างก็ยังดี อย่าให้ภาระหลายๆด้าน บีบแน่นจนทนไม่ไหวเลย ขอร้อง”
JJNY : ก้าวไกลอัดไม่ลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟ│ศาลสั่งกทม.จ่ายหนี้บีทีเอส│ทุเรียน3จชต.โอดราคาร่วง│จีนอพยพปชช.หนีฤทธิ์ไต้ฝุ่นแคมี
https://www.matichon.co.th/clips/news_4700971
ศุภโชติ ไชยสัจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ถามหามาตรการลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟ ช่วยประชาชนของรัฐบาล อย่าใช้วิธีเดิมให้กองทุนแบกรับส่วนต่างราคา จนขาดทุนเสี่ยงล้มละลาย ถึงเวลาจะคุยพรรคร่วมเพื่อช่วยประชาชนได้หรือยัง แนะเอาเงินทำดิจิทัลวอลเล็ตมาช่วยประชาชนตามที่หาเสียงไว้ อย่าให้ใครเอางบกลางไปทำนโยบายเพียงพรรคเดียว ด้านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แจงกำลังปรับแก้ไข กม.น้ำมันใหม่ ยืนยัน รมต.พลังงานชื่อ พีระพันธุ์ ไม่ใช่ใครอื่น.
ศาลปกครองสูงสุด สั่งกทม. จ่ายหนี้บีทีเอส ก้อนสุดท้าย 1.2 หมื่นล้าน.
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4701752
ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้ กทม.กับพวกร่วมกันชดใช้บีทีเอสกว่า 1.2 หมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลปกครองสูงสุด นัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ อ.2226/2565ที่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี (ผู้ฟ้องคดี) กับ กรุงเทพมหานครกับ พวกรวม 2 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง (โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว)
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า กรุงเทพมหานคร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ผิดสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 ตามสัญญาเลขที่ กธ.ส.006/55 ลว. 3 พฤษภาคม 2555
ส่วนต่อขยายที่ 2 ตามสัญญาเลขที่ กธ.ส.024/59 ลว. 1 สิงหาคม 2559 กรณีผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยผู้ฟ้องคดี ได้มีหนังสือ ลว. 18 กันยายน 2563 และหนังสือ ลว. 15 มกราคม 2564 ทวงถามไปยังผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ให้ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาแล้ว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเพิกเฉย เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงนำคดีมาฟ้อง
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษา ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกัน หรือแทนกันชำระเงินสำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวนจำนวน 2,348,659,232 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,199,091,830 บาท
และสำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 9,406,418,719 บาทพร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 8,786,765,195บาทตามอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับเงินกู้สกุลเงินบาท บวกร้อยละ 1 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเห็นว่า การที่กทม. ได้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 และได้มอบหมายให้ บ.กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นวิสาหกิจ ที่กทม.ถือหุ้นร้อยละ 99.98 เพื่อให้การดำเนินกิจการสาธารณะของกทม. มีความคล่องตัว ดังนั้นเมื่อบ.กรุงเทพธนาคมฯ มีหนี้ค้างชำระตามสัญญา การให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร กับบีทีเอสทั้งในส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 กทม. จึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวกับบ.กรุงเทพธนาคมฯให้กับบีทีเอส ด้วย แก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันชำระเงิน
สำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,348,659,232 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,199,091,830.27 บาท และสำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 9,406,418,719 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 8,786,765,195 บาท ตามอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับเงินกู้สกุลเงินบาท บวกร้อยละ 1 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลปกครองชั้นต้น.
ชาวสวนทุเรียน3จชต. โอดราคาร่วง เหตุแอบสวมสิทธิขายจีน-ถูกตีกลับ วอนช่วย
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_777777855845
ยะลา ชาวสวนทุเรียนโอดราคาตกต่ำ เดือดร้อนหนักขายหน้าสวน 80-55 บาท วอนช่วยดันแตะ 100 บาท พ่อเมือง แจ้งเหตุ จีนตีกลับ ล้งแอบลักสวมสิทธิทุเรียน3จังหวัดชายแดนใต้
26 ก.ค. 67 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาของชาวสวนทุเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะชาวสวนทุเรียนในจังหวัดยะลา ต่างได้รับผลกระทบเดือดร้อนจากราคาตกต่ำ ซึ่งราคาหน้าสวน อยู่ที่ 80-55 บาท ขณะที่ชาวสวนเรียกร้อง ขอราคาหน้าสวน ต้องไม่ต่ำกว่า 100 บาท
สำหรับปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจาก จีน ตีกลับทุเรียน 4 ตู้ ประมาณ 17,280 กก. หรือ ประมาณ 17 ตันกว่า อ้างว่า ตรวจพบหนอนในทุเรียน และจากการตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องทุเรียน ทั้งหมดมาจากพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง ไม่ใช่ทุเรียนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และไม่ใช่ทุเรียนจาก จ.ยะลา ด้วย
นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เปิดเผยว่า ทุเรียนของยะลามีรสชาติอร่อย หวาน มัน และมีคุณภาพ เนื่องจากจังหวัดยะลามีมาตรการการป้องกันไม่ให้หนอนผีเสื้อมาเจาะเมล็ด ตั้งแต่ทุเรียนเริ่มออกดอก และได้ใช้นวัตกรรมในเรื่องของการเกษตร คือใช้แสงไฟมาไล่หนอนผีเสื้อที่จะมาเจาะทุเรียน
“รับรองได้ว่า ทุเรียนยะลาของเรา มีคุณภาพแน่นอน ซึ่งจังหวัดยะลาได้ตัดทุเรียนมีดแรกวันที่ 23 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นจากข่าวพบว่า ทุเรียนยะลามีหนอนไม่เป็นความจริง ขอยืนยันเลยว่า ทุเรียนยะลา ไม่มีปัญหาเรื่องหนอนเจาะทุเรียนแน่นอน ในส่วนของมาตรการ การตัด ทุเรียนอ่อน เรามีมาตรการตรวจเช็กที่เข้มงวด เพื่อส่งออกทุเรียนที่มีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค”
ขณะที่ นายมะซอบรี ชาวบ้านในพื้นที่รับซื้อทุเรียนจากหน้าสวนของชาวบ้าน ไปขายล้งยะลา กล่าวว่า ตอนนี้ ทุเรียนหน้าสวนสามารถรับซื้อได้ในราคา 80-55 บาท เราเอาไปขายต่อล้งในยะลา 80-100 บาท
ขณะที่ค่าใช้จ่ายคนขึ้นตัดลูกทุเรียนลงจากต้น กก.ละ 2 บาท ขนจากบนเขาลงที่รถ กก.2 บาท ค่ากับข้าว น้ำมันรถอีก รวมๆ ต้องมีต้นทุน 7 บาทต่อกก. กำไร กก.ละ 13 บาท ชาวบ้านก็เข้าใจ แต่ถ้าราคาที่ล้งยะลา อยู่ที่ 120 -170 บาท ราคาหน้าส่วน จะไม่ต่ำกว่า 100 บาทแน่นอน ถ้าจะดี ราคาผลผลิตของชาวบ้าน 100-120 บาท กำลังสวย อยากให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยเหลือชาวสวนอย่างเร่งด่วน
นายบือราเฮง ชาวสวนในยะลา กล่าวว่า วันนี้ขายทุเรียน ราคา 80 บาท ลูกสวยๆ ที่เข้าเกณฑ์ ส่วนลูกตกไซส์ราคา 55 บาท ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ถ้าจะให้ดี ราคา ไม่ต่ำกว่า 100 บาทต่อกก. ถือว่าดีมาก ไม่ต้องแพงไปถึง 150-180 บาท เราก็เข้าใจคนกิน เขาจะเอาอะไรซื้อ
“ราคาปัจจุบัน ทั้งปุ๋ย ยา ต่างๆ ในการดูแลสวน แถมไม่ได้กำไร แล้วจะไม่แย่ได้ยังไง รายจ่ายทุกอย่างแพงหมด แต่ผลผลิตถูก ชาวบ้านแทบขาดทุน ฝากปัญหานี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาโดยด่วน เพื่อให้ชาวบ้านได้ลืมตาอ้าปากได้บ้าง พอที่จะหายใจคล่องบ้างก็ยังดี อย่าให้ภาระหลายๆด้าน บีบแน่นจนทนไม่ไหวเลย ขอร้อง”