สก๊อตแลนด์ วันที่ 3 ตอนที่ 4 ทัวร์ผีแห่งเอดินบะระ

เล่าเรื่องทัวร์สุสาน Greyfriars Kirk ไปแล้ว ก็เลยอยากเล่าต่อถึงทัวร์ผีอื่นๆบ้าง

คนที่ได้ไปเยือนเอดินบะระนั้น นอกเหนือจากจะมีโอกาสได้พรึงเพริดกับสถาปัตยกรรมอันงดงามแล้ว อาจจะสังเกตเห็นความเก่าคร่ำของอาคาร บนกำแพง เสา ลายประดับนั้น ซึ่งปรากฏให้เห็นบนพื้นผิวเช่นนี้ทั้งเมือง ต่างจากลอนดอนที่ดูเป็นเมืองใหม่ แต่ความเก่าคร่ำนี่แหละที่มักชวนให้ได้ระลึกถึงถึงอดีตของเมืองนี้ที่ผ่านเหตุการณ์ทั้งสุขและทุกข์มานักต่อนัก

และนอกจากนั้น ที่นี่ยังมีตรอกซอกซอยโบราณ มีช่องแคบๆและคดเคี้ยวเสียด้วย อีกทั้งยังมีเนินขึ้นๆลง ๆ ซอกแซก แต่ถ้าคุณได้มาเดินที่เมืองเก่าในยามใกล้อัศดง จะได้ความรู้สึกอีกหนึ่งแถมมาให้ด้วย นั่นคือกลิ่นไอแห่งความมัวซัว หวาดวังเวง ท่ามกลางหมู่ตึกโบราณหม่นคร่ำ ชวนให้คิดว่านี่เป็นโรงละครที่ถูกสร้างมาเพื่อให้คนหลอนได้ และความรู้สึกนี้จะยิ่งทวีคูณขึ้นเมื่อโมงยามผ่านไปยามค่ำคืน

เอดินบะระจึงมีชื่อเสียงมากในด้านทัวร์ผี ทั้งๆที่ในโลกนี้มีเมืองผีสิงให้เที่ยวอยู่ตั้งเยอะ แต่ทัวร์นี้ติดอันดับโลก เพราะผีแต่ละตัวมีชื่อเสียงน่ากลัว อีกทั้งบรรยากาศก็ดี เมื่อเล่าเรื่องผีชนชั้นสูง ควบคู่ไปกับตึกเก่าใหญ่โตที่งดงาม ก็ยิ่งได้อารมณ์ ชวนให้เกิดภาพสยองขวัญแบบโรแมนติค



เพื่อการเห็นภาพให้ชัดเจนขึ้น และเพื่อเชิญชวนให้พวกคุณมาสำราญกับทัวร์นี้ ผมจะขอยกข้อความในโปสเตอร์ที่แปะไว้หลายแห่งทั่วเมืองดังนี้

"จงมาสู่ความกระจ่างแจ้ง ความสยดสยอง! เผชิญความกลัว ความกลัว!!" 
"ทัวร์นี้รุนแรงและตระการตา!!!”
“เยี่ยมชมซอยผีสิง มุ่งหน้าสู่ป่าช้า ที่หลอกหลอนสุดขีดขึ้นชื่อว่ามีผีหลอกมากที่สุดในโลก เดินทางไปสู่เส้นทางมรณะเบื้องล่างใต้พื้นดิน ลงลึกไปสู่เส้นทางแห่งภูตผี ที่รอคอยคุณอยู่”
“ในทัวร์นี้ท่านจะได้พบได้เห็นสิ่งพิเศษสุด ชมผี, ชมการถูกทรมาน , การฆาตรกรรม , การแขวนคอ และการปราบแม่มด” 
“ช่างคุ้มค่าจริง ๆ รีบจองเดี๋ยวนี้ เรารับจำนวนจำกัด รีบจองอย่างเร็วเพื่อป้องกันความผิดหวัง”
นี่ไง แค่โปสเตอร์ก็ชวนให้เราสยองแล้ว

นอกจากนั้นด้านข้างโปสเตอร์ก็มีตรารับรองโดยคณะกรรมการท่องเที่ยวของสก๊อตแลนด์ การันตีโดยเรตติ้ง 4 ดาว
อ้อ ถ้าเป็นเด็กก็มีราคาย่อมเยาว์แบบพิเศษให้ด้วยนะ และอีกย่างที่ควรจะรู้ก็คือ ราคาทัวร์จะขึ้นกับช่วงเวลาด้วย ถ้าเป็นช่วงบ่ายอาจจะถูกหน่อยประมาณ 8 ปอนด์ ถ้าเป็นช่วงหัวค่ำ (6.45 PM) ขยับขึ้นเป็น 10 ปอนด์ ถ้าเป็นรอบดึก (10.15) ราคาจะแพงสุดถึง 12 ปอนด์ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะยิ่งดึกยิ่งสยอง และยิ่งสยองก็ยิ่งสนุก และยิ่งมีโอกาสพบกับของดีๆมากขึ้น



ที่นี่มีทัวร์พิเศษอีกประเภท นั่นก็คือทัวร์ขนหัวลุกที่อุโมงค์ใต้ดิน 

เชื่อไหมครับว่า ที่เอดินบะระนั้นมีอุโมงค์ร้างที่เคยเป็นที่อยู่ของผู้คนมาก่อนและขึ้นชื่อเรื่องหลอกหลอนอีกด้วย อุโมงค์ร้างนี้มีชื่อว่า Edinburgh Vault มันคือห้องเล็กๆที่อยู่ด้านล่างของสะพานที่มีชื่อว่าสะพานใต้ (South Bridge) เนื่องจากในการก่อสร้างสะพานมีการทำวงโค้งรับน้ำหนักไว้ตรงด้านล่างซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างโครงเสาเป็นโพรงเล็กๆอยู่จำนวนมาก ถ้านับรวมทั้งสะพานจะมีเป็นร้อยๆโพรงเป็นเหมือนห้องเล็กๆอยู่เต็มไปหมด โครงสร้างแต่ละห้องนั้นจึงมีเพดานโค้งอันเกิดจากเรียงอิฐหินให้รับน้ำหนักได้ดี เรียกว่า Vault ห้องย่อยๆเหล่านั้นมีขนาดใหญ่พอที่จะนำมาใช้สอยได้ทีเดียว ดังนั้น เมืองเอดินบะระจึงเปิดให้ผู้คนมาใช้พื้นที่อยู่อาศัยตลอดจนทำมาค้าขาย

ฟังดูไม่น่าเชื่อเลยนะว่าแค่พื้นที่ใต้สะพานจะเอามาทำอะไรได้ขนาดนี้ 
 
https://www.historic-uk.com/HistoryMagazine/DestinationsUK/Edinburgh-Vaults/

ที่นี่จึงกลายเมืองขนาดย่อมที่มีผู้คนมาทำกิจกรรมทางสังคมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว พื้นที่ห้องบางส่วนกลายเป็นบ้าน เป็นโรงเตี้ยม เป็นร้านซ่อมรองเท้า เป็นร้านค้าพาณิชย์ เป็นโกดังเก็บของ แน่นอนว่าพื้นที่ใต้สะพานไม่ได้โสภาน่าอยู่นัก เมื่อเวลาผ่านไปห้องเหล่านี้ก็เริ่มเน่า คนที่พอจะมีเงินก็เริ่มออกไปหาที่อยู่ใหม่ คนจนๆซึ่งหาที่อยู่ดีๆไม่ได้ก็จะเข้ามาอาศัย ทำให้ Edinburgh Vault เสื่อมโทรมจนกลายเป็นสลัมใต้ดิน มีเป็นซ่องโสเภณีและสิ่งผิดกฎหมาย มีผับราคาถูกกระจอกๆอยู่ อย่างไรก็ตามเมื่อพื้นที่ใต้สะพานแห่งนี้ผุพังด้วยความเก่าและมีความชื้นเข้ามา อากาศอับชื้นขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนก็อยู่ไม่ได้ ที่นี่จึงร้างไป (เสียดาย ไม่งั้นจะขอมาเที่ยวชมเมืองซะหน่อย)

เมื่อมีการขุดค้นภายหลังเราจึงพบอะไรสารพันน่าสนใจอยู่ในนั้น แต่ที่ชวนให้ตกใจที่สุดก็คือ พบชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ถูกฆาตรกรรมอยู่ในนั้นด้วย (กรี๊ด !!!) ศพนั้นถูกใครฆ่า ไม่อาจรู้ได้ แต่ที่ทำให้คนบางคนนึกถึงตำนานนักฆ่าในอดีต 2 คน ซึ่งอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับศพนี้ก็ได้ คือ Burke & Hare


Burke & Hare

แรงจูงใจในการฆ่านั้นมิใช่มุ่งหมายจะทำการปล้นทรัพย์ ข่มขืน หรือเกิดจากจิตใจวิปริตของฆาตกรแต่อย่างใด แต่เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่ เอดินบะระ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เป็นศูนย์กลางวิทยาการด้านกายวิภาคศาสตร์ มีอาจารย์เก่ง ๆ และนักศึกษาเข้าร่ำเรียนจำนวนมาก และสำหรับสาขาวิชานี้ ต้องการอุปกรณ์การสอนสำคัญ คือ ศพที่ใช้ในการศึกษานั่นเอง ยิ่งมีคนมาศึกษามากเท่าใด ความต้องการศพก็มากขึ้นจนถึงขั้นขาดแคลน มหาวิทยาลัยเลยต้องทำการซื้อศพเพื่อนำมาใช้ แต่ความขาดแคลนก็ยังคงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนราคาศพนั้นแพงขึ้น ตามหลักการ Demand และ Supply ตามหลักเศรษฐศาสตร์ จนกระทั่งเกิดอุตสาหกรรมโจรขโมยศพขึ้นเป็นล่ำเป็นสันแถมราคายังปรับขึ้นลงตามฤดูกาลอีกด้วย ถ้าเป็นช่วงฤดูร้อน ศพเน่าเสียง่าย ก็จะเป็นศพคุณภาพต่ำราคาไม่สู้ดีนัก แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว ความหนาวเย็นจะช่วยรักษาศพไว้จนกลายเป็นสินค้าเกรดเอ ราคาก็สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นผู้คนที่ เอดินบะระ ก็เริ่มจะรู้ว่ามีการขโมยศจึงมีความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้ศพของคนถูกขโมยด้วยวิธีเอาหินมาทัพ ใส่โลงไว้ในกรง จ้างคนมาเฝ้า ทำให้ศพเริ่มหายากขึ้น  


(รูปบนขวา) บางครั้งเขาจะทำกรงแบบนี้คร่อมหลุมศพ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครขุดศพไปขาย

และในเมื่อศพเหล่านี้หายาก ก็เลยมีผู้คิดที่จะผลิตศพขึ้นมาเอง ไอเดียนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญจากผู้เช่าบ้านของ Hare ตายลงในขณะที่ยังติดค้างค่าเช่าอยู่ Hare จึงคิดจะหาเงินทดแทนด้วยการนำศพไปขาย โดยให้เพื่อนคือ Burke มาช่วยขนศพไปที่มหาวิทยาลัย เอดินบะระ ซึ่งมีอาจารย์น๊อกส์ ซึ่งสอนวิชากายวิภาคศาสตร์เป็นผู้รับ ผู้ช่วยคนนึ่งของดร.น๊อกส์ได้กระซิบบอกว่า มีความยินดีมากที่จะพบกับเขาอีกหากมีสินค้าใหม่ๆมาเสนอขาย
   
ดร.น๊อกซ์

เมื่อได้รู้ว่าการทำเงินจากการขายศพเป็นรายได้ที่ไม่เลว Burke ก็ทำการผลิตสินค้านี้เรื่อยๆ โดยมี Hare เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและช่วยเหลือ โดยทำการลักตัวหรือล่อลวงเหยื่อมามอมเหล้าแล้วทำการสังหารเสีย โดยวิธีที่ใช้บ่อยคือการเอาหมอนกดลงบนหน้าให้ขาดใจตาย

Burke & Hare ประสบความสำเร็จอย่างมากในกิจการผลิตและขายศพจนมีคนทั้งหมดถูกฆาตกรรมไม่ต่ำกว่า 16 คน แต่ในที่สุดความลับก็ปกปิดไม่อยู่ เมื่อนักเรียนที่ทำการผ่าศพรู้ว่านี่เป็นคนที่เขารู้จักมาก่อน โดยในครั้งสุดท้ายมีผู้พบศพที่ซ่อนไว้ในบ้านก่อนที่จะถูกนำส่งไปให้ดร.น๊อกซ์ ตำรวจจึงได้ตามไปที่ห้องผ่าศพของ ดร.น๊อกซ์ และเจอศพดังกล่าวจริง เขาทั้งคู่จึงถูกดำเนินคดีโดย Burke ถูกประหารด้วยการแขวนคอ ส่วน Hare ได้ถูกคุมขัง 

หลังจากประหาร Burke แล้ว ศพของเขาก็ถูกนำมาที่มหาวิทยาลัย เอดินบะระ เพ่อนำมาชำแหล่ะเพื่อการศึกษา และเนื่องจากเป็นศพคนดังก็เลยมีผู้มาเข้าชมและฟังเล็กเชอร์มากเป็นประวัติการณ์ และได้กลายเป็นตำนานเรื่องสยองขวัญแห่งเอดินบะระไป 

ในขณะนี้ Edinburgh Vault ได้ถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง ด้วยฟังก์ชันการใช้งานใหม่ที่เหมาะสมกับบริบทเป็นอย่างดี โดยบางส่วนถูกอนุรักษ์สภาพร้างทึบทึมชวนเหวอเอาไว้ เพื่อใช้สำหรับทัวร์ผี แต่อีกด้านหนึ่งใช้งานเป็นอีเว้นท์ต่างๆ คอนเสิร์ต เป็นคลับ ชมรม สถานที่พบปะต่างๆแม้แต่นำไปใช้ในงานแต่งงานก็มี
          
ใครจะใช้ที่นั่นเป็นงานแต่งงาน หรือ งานฮอลโลวีน หรือจะใช้จัดรายการคนอวดผี ก็เชิญติดต่อได้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่