สวัสดีเหล่านักเดินทางที่หลงรักการผจญภัยทั้งหลาย
ห่างหายไปนานกับการเขียนบันทึกการเดินทางของมักฟิล์มแฮง เนื่องด้วยความขี้เกียจเป็นปัจจัยหลักและงานการเป็นปัจจัยรอง ทำให้ไม่ค่อยได้เขียนบันทึกการเดินทางออกมาเลย ทั้งที่ไปบ่อยมาก
จนปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา สมาคมเป้เดินได้ ได้รวมตัวกันหาเรื่องเหนื่อย อยากไปกินไก่ป่า กลางเทือกเขาในประเทศลาว
การเดินทางเล็กๆ แบบวันเดย์ทริปเลยเริ่มต้นขึ้น
ที่ ๆ เราจะไปนั้น เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ที่ตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่างเขตพรหมแดนแขวงไซยะบุรี กับแขวงหลวงพระบาง
โดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดน
ก่อนการเดินทาง 1 วัน ...
ณ บ้านพักของบรรดานักเดินทางแสวงหาความเหนื่อย ที่ไซยะบูรี
วันนี้เป็นวันอากาศดีมาก เย็นสบาย ฝนตกลงมาปรอยๆ มีหมอกหนาลอยเอื่อยๆ คอยห่มขุนเขายามเช้า สายลมอ่อนๆ ลอยมากระทบหน้า ทุกคนต่างมีความเห็นตรงกัน อากาศแบบนี้เหมาะแก่การเดินเข้าที่สุด นึกภาพตอนเดินบนเขาพรุ่งนี้แล้ว ถึงกับฟินไว้รอ
วันจริง...
แดดโคตรแรง..แรงแบบแรงมากแสบผิวไปหมด ฟ้านี่ใสกิ๊ก เมฆไม่มีซักก้อน ถ้าใครเคยอยู่บนเขากลางแดดคงพอจะนึกออกว่าแดดแรงบนเข้าเป็นอย่างไร
ทุกคนมองหน้ากัน และได้แต่ทำใจ แค่เริ่มต้นเดินทางก็เหนื่อยไว้รอแล้ว
7 โมงเช้า ...
เราแว๊นมอเตอร์ไซค์ไปที่บ้านตาลานหมู่บ้านเล็กๆ ริมฝั่งโขงที่โดนโอบกอดด้วยขุนเขา ที่นี่เป็นสถานที่เริ่มต้นการเดินทางของเรา พอถึงบ้านตาลาน
เราขับรถเลยออกจากตัวหมู่บ้านประมาน 500 เมตร เลี้ยวลงจอดที่บ้าน นัท ไกด์นำทางท้องถิ่นที่จะพาเราเดินเขาในวันนี้
ผมนัดแนะกับนัทไว้ล่วงหน้าให้ทำข้าวเช้าไว้ให้ทีมงาน เป็นเมนู ลาบเป็ด กับ ต้มเป็ด
นัทใช้เป็ดสองตัวในการทำ อาหารออกแนวบ้านๆ แต่รสชาติอร่อยมาก แฟนนัทลงมือทำด้วยตัวเอง
แฟนนัทบอกว่าเคยเป็นแม่ครัวของแคมป์ก่อสร้างมาก่อน
ด้วยความลงตัวของรสชาติอาหารทำให้ทุกคนต่างกินกันเยอะ..... ก่อนปีนเขา
ท้องอิ่ม เราก็พร้อมออกเดินทาง...
ระหว่างรอนัทเตรียมข้าวของ เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนออกเดินทางกันหน่อย
ขอแนะนำคณะเดินทางของเรากันนิดนึงนะครับ เรามากันทั้งหมด 6 คน
ผม (ภูมิมี่ใสใส)
เนเน่ สาวสวยที่สุดในทีม
ปอเปรียว เดียร์ (ลอง) อ้ายสอนไซ และ เบียร์รี่
ส่วนทางไกด์ของเรา มี 3 คน คือ นัท น้องนี่ (แฟนนัท) และ แสงสุลี (น้องชายของนี่)
…………………………………………
หลังจากเตรียมของเสร็จ เราก็พร้อมออกเดินทาง
เราเริ่มเดินทางโดยลัดเลาะไปทางด้านหลังบ้านของนัท ผ่านเล้าเป็ด (น่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง ของมื้อเช้าสุดโอชา) ถัดจากเล้าเป็ดเป็นลำธารเล็กๆไหล เอื่อยๆ แค่เริ่มต้นบรรยากาศก็โคตรจะดี ผมเลยถามนัทไปว่า
“วันนี้เราจะเดินไปไกลแค่ไหน”
“ไม่ไกลพี่เดินประมาณ 30 นาที”
พอได้ฟังแบบนี้ก็ผมก็อุ่นใจ
ทริปชิลๆ (ยิ้มอ่อน)
...............
นัท....หลอกกู
ผ่านเล้าเป็ดไปไม่นาน นัทพาเราตัดขึ้นเขาทางขวามือ เดินไปได้ 10 เมตรได้ ทุกคนต่างอุทาน “ เชี่ยไรเนี่ย”
ทางขึ้นเขาชันเกือบจะ 90 องศา พื้นเป็นดินกรวดเดินยากมาก
อยากให้คนเคยผ่านซำแฮกมาแล้ว เอา10 ไปคูณจะได้เส้นทางเดินของเฟสแรกนี้
ระหว่างทางเราต้องคอยหาต้นไม้เพื่อจับพยุงตัว เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม้เจ้ากรรมส่วนใหญ่ดันผุอีก
หลายคนล้มระเนระนาด กลิ้งคลุกฝุ่นกันเป็นแถว (โดยเฉพาะผม)
อาการของผมไม่สู้จะดี หอบแฮกๆ หน้ามืดจะเป็นลม ดาวลอยมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ ต้องหยุดพักทุก 2 เมตร (2เมตรจริงๆ)
พอได้หยุดพัดจะก้าวแต่ละที ยกขาแทบไม่ขึ้น
กว่าจะผ่านเฟสแรกมาได้ กินเวลาเกือบ 1 ชม.เต็มๆ (ไหนบอกครึ่งชม.ได้กินไก่ไงว่ะ)
........................................................................................................
เฟสสอง เป็นทางเดินง่ายๆ ลัดเลาะไปตามสันเขา เฟสนี้เราเดินกันสบายๆ เหมือนพักเหนื่อยไปในตัว
จนมาเจอรั้วหนามบักจับ เป็นรั้วแสดงเขตแดนของชาวบ้านที่นี่
มีรั้วแต่ไม่มีทางเข้า.....วิธีที่จะผ่านไปมี 3 วิธี ลอด ข้าม มุด
หลายคนเลือกวิธีข้ามไป ทันใดนั้น
เดียร์ (ลอง) พูดขึ้นมา ดีนะที่เรียน รด. มา เคลื่อนที่ด้วยวิธีการโผ
เดียร์(ลอง) โยนเป้ที่บรรจุโซจู 5 ขวดกับหวานเจี๊ยบ (รี) 2 แบนด์ ข้ามรั้วไปก่อน
จากนั้นเดียร์ ก็หาทำเลเหมาะ กลิ้งม้วนตัวเป็นใส้กรอกผ่านรัวไปอย่างง่ายดาย
ถือว่าการเรียน รด. มีประโยชย์มากกว่าการเลี่ยงการจับใบดำใบแดง 5555+
ผ่านรั้วแรกมายังมีรั้วสองรั้วสามให้เราข้ามอีก (เราเดินผ่านที่ชาวบ้านหลายแปลง)
จนมาเจอเถียงนาน้อยของชาวบ้าน อ้ายสอนไซกับเบียร์รี่เลยโผ ลงนอนกระเท่เล่อย่างหมดแรง
“พร้อมอุทานว่า อ้ายอย่าพาผมมาอีกจักเทือเด้อ” 5555+
เราเติมพลังกันด้วยหวานเจี๊ยบกับโฮกาเด้น ที่ให้นัทแบกใส่น้ำแข็งมา
โคตรชื่นใจเลย..... หวานเจี๊ยบบบ
ระหว่างที่ดื่มด่ำกับหวานเจี๊ยบอยู่นั้น ผมเหลือบไปเห็นน้องนี่ขุดดินอยู่เสาคันแทนา เลยแปลกใจเดินเข้าไปดู
น้องนี่ยื่นตัวจิโป่มให้ดู ของดีชัดๆ เป็นจิ้งหรีดตัวใหญ่ที่อร่อยมาก ภาษาเหนือจะเรียกจิกุ่ม
ผมหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปก่อนที่เธอจะเก็บจิโป่มตัวนั้นเข้าข้องน้อยของเธอ
พอหายเหนื่อยเราเดินทางต่อลัดเลาะไปตามทุ่งนา
ข้าวบางส่วนเหลืองอร่าม ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วแต่ข้าวอีกบางส่วนยังเขียวอยู่ผมสงสัยทำไมข้าวไม่สุกพร้อมกัน เลยถาม นัทไป
(ข้าวที่นี่ปลูกบนภูเขาเรียกว่าข้าวไร่ เมล็ดกลมป้อมคล้ายข้าวญี่ปุ่นแต่จะยาวกว่านิดนึง ผมซื้อมากินบ่อยๆ เพราะเหนี่ยวนุ่มอร่อยเกินราคามาก)
นัทบอกว่าข้าวที่นี่ มี 3 แบบ คือ ข้าวดอ ข้าวกลาง และข้าวปี
ต่างแค่ระยะเวลาการสุก โดยข้าวดอจะสุกก่อนตามด้วยข้าวกลางและข้าวปีตามลำดับ
แต่รสชาติเหมือนกันทุกอย่าง นัทบอกว่าตอนแต่งงานกับน้องนี่ ย้ายมาอยู่บ้านตาลานปีแรกๆ แม่ยายใช้ให้มาขนข้าวลงจากเขา ได้รอบเดียวยอมแพ้เลย นัทยังบอกอีกว่า ปีไหนข้าวดีผลผลิตเยอะต้องขนกันเป็นเดือนๆ กว่าจะขนข้าวลงจากไร่หมด
เราเดินผ่านนาข้าวจนทะลุที่โล่งเชิงเขา วิวสวยมาก ด้านหลังเป็นนาข้าว มีแบ็กกราวด์เป็นทิวเขาสลับซับซ้อน
ด้านล่างเป็นแม่น้ำโขง จับใจจริงๆ เราถ่ายรูปเล่นเป็นที่ระลึกกัน ก่อนจะเดินต่อ
ถัดจากเชิงเขาไปไม่นานเราเข้าสู่ป่าดิบชื่น มันเหมือนตัดมาคนละโลก บรรยากาศอึมครึมขึ้นทันที ดินแฉะ มีไม้ใบเขียว เถาวัลย์เกาะตามก้อนหิน
นัทชี้ให้ดูหอยชนิดหนึ่ง ที่นี่เรียกหอยหอมที่ไทยเรียกหอยภูเขา
ที่เรียกหอยหอมมากจากกลิ่นหอมของเนื้อมันตอนปรุงอาหารซึ่งรสชาติอร่อยมาก (ผมลองแล้วอิอิ)
ผมหาข้อมูลของหอยชนิดนี่ใน Google พบว่าบ้านเราพบน้อยมากจนแทบจะไม่มีแล้ว มันทำให้ผมรู้สึก ว้าว กับความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า
ระยะการเดินผ่านป่าดิบชื่นไม่นาน เราเริ่มเห็นแสงลอดผ่านใบไม้ อารมณ์เหมือนในหนัง ปากทางจะมีพืชจำพวกเฟิร์นขึ้นชูใบรับแสง
หลุดจากป่าดิบชื้นเราเจอผืนนาอีกผืนที่อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเข้า ข้าวส่วนใหญ่บนนี้เป็นข้าวดอ วิวยังสวยเหมือนเดิม
เราหยุดพักกันที่เถียงนาน้อยอีกแห่ง จิบหวานเจี๊ยบพอหายเหนื่อยก่อนจะเดินลุยนาข้าวขึ้นไปหย่อมป่าดิบเล็กๆ ที่ๆเราจะไปตั้งแคมป์ย่างไก่กัน
ทางเข้าป่าดิบนั้นรกชัฏมาก เปรียวกับแสงสุลีต้องหยิบมีดอาคม มาเปิดป่าถางหญ้า ตัดเถาวัลย์ เราต้องมุดๆ แล้วก็ มุด ผ่านดงหนาม
กว่าจะหลุดมาลานหินโล่งริมผาได้ ก็ทุลักทุเลพอสมควร
ความเหนื่อยถาโถมเข้ามา ผมทิ้งตัวนั่งพัก อยู่ๆเสียงอ้ายสอนไชก็ร้องขึ้นมาว่า อ้าวนี่ไงทางชาวบ้านเดินทางโล่งๆ สบายๆ .........
ทุกคนมองหน้าไปทางนัท
นัทยิมแหย่ๆ ก่อนตอบว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ มาแถวนี้ครั้งแรก”
จาก 30 นาที ที่นัทบอกไว้ เราใช้เวลาทั้งสิ้น 3 ชม. ไม่ขาดไม่เกินกว่าจะมาถึงจุดหมาย
ปีนเขา เข้าป่า เพื่อไปกินปิ้งไก่ กลางเทือกเขาไซยะบูรี ลาวเหนือ