ส่วนที่ 1
เข้าใจจริงในธรรมที่กล่าวสอน จะสะท้อนเป็นปีติให้สดใส
แต่อย่ายึดติดผู้สอนจนคลั่งไคล เพราะจะไกลจากธรรมอันแท้จริง
เพียงปฏิบัติตามมิให้ผิด ใช้สติปัญญาพิจารณาทุกสิ่ง
เข้าถึงธรรมเป็นธรรมจริงจริง จะไม่หลงวิ่งยึดติดตัวตนบุคคล
ส่วนที่ 2
ธรรมควรน้อมนำมาเป็นหลัก ไม่จมปลักเชื่อในตัวบุคคล
ถึงกล่าวธรรมแต่หลอกลวงไม่หลงกล ไม่นำตนไปบำเรอผู้กล่าวธรรม
ผู้มีธรรมสอนธรรมด้วยใจแน่ มิเห็นแก่ลาภยศที่น้อมนำ
เพราะรู้เข้าใจในผลของกรรม ที่จะทำให้เศร้าหมองมิถึงที่สุด(นิพพาน)
กลอนอาจจะไม่สัมผัสดี และไม่สละสรวย แต่ใจความสือความหมายอย่างตรงๆ
หมายเหตุ กลอนนี้ในสมัยนั้น มีการสอนธรรมผิดๆ และสร้างอาณาจักรตนกลุ่มตนขึ้นมา แต่ในสมัยนี้ ด้วยเหตุยุคนี้มีผู้ตั้งตนเป็นอาจารย์บรรยาธรรม หลงไปว่าสอนธรรมถูกตามจินตมยปัญญา แต่กำลังสร้างอกุศลกรรมโดยไม่รู้ตัว ด้วยมีเจตชีนำ
1.ไม่ให้ผู้คนไปปฏิบัติธรรม
2.ไม่ควรบวชชี หรือขีพราหม์
3.การบริจากเพื่อการสร้างสำนักปฏิบัติธรรม เป็นการทำลายพุทธศาสนา
4.การเจริญสมาธิระดับ ฌาน เป็น มิจฉาสมาธิ
ทั้ง 4 นั้นทำให้มีผู้หลงไปเชื่อตามด้วย ร่วมกันทำอกุศลกรรมโดยไม่รู้ตัวนั้นเอง.
กลอนแต่งเอง เกี่ยวกับผู้สอนธรรม และผู้ศึกษาธรรม เขียนไว้เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว
เข้าใจจริงในธรรมที่กล่าวสอน จะสะท้อนเป็นปีติให้สดใส
แต่อย่ายึดติดผู้สอนจนคลั่งไคล เพราะจะไกลจากธรรมอันแท้จริง
เพียงปฏิบัติตามมิให้ผิด ใช้สติปัญญาพิจารณาทุกสิ่ง
เข้าถึงธรรมเป็นธรรมจริงจริง จะไม่หลงวิ่งยึดติดตัวตนบุคคล
ส่วนที่ 2
ธรรมควรน้อมนำมาเป็นหลัก ไม่จมปลักเชื่อในตัวบุคคล
ถึงกล่าวธรรมแต่หลอกลวงไม่หลงกล ไม่นำตนไปบำเรอผู้กล่าวธรรม
ผู้มีธรรมสอนธรรมด้วยใจแน่ มิเห็นแก่ลาภยศที่น้อมนำ
เพราะรู้เข้าใจในผลของกรรม ที่จะทำให้เศร้าหมองมิถึงที่สุด(นิพพาน)
กลอนอาจจะไม่สัมผัสดี และไม่สละสรวย แต่ใจความสือความหมายอย่างตรงๆ
หมายเหตุ กลอนนี้ในสมัยนั้น มีการสอนธรรมผิดๆ และสร้างอาณาจักรตนกลุ่มตนขึ้นมา แต่ในสมัยนี้ ด้วยเหตุยุคนี้มีผู้ตั้งตนเป็นอาจารย์บรรยาธรรม หลงไปว่าสอนธรรมถูกตามจินตมยปัญญา แต่กำลังสร้างอกุศลกรรมโดยไม่รู้ตัว ด้วยมีเจตชีนำ
1.ไม่ให้ผู้คนไปปฏิบัติธรรม
2.ไม่ควรบวชชี หรือขีพราหม์
3.การบริจากเพื่อการสร้างสำนักปฏิบัติธรรม เป็นการทำลายพุทธศาสนา
4.การเจริญสมาธิระดับ ฌาน เป็น มิจฉาสมาธิ
ทั้ง 4 นั้นทำให้มีผู้หลงไปเชื่อตามด้วย ร่วมกันทำอกุศลกรรมโดยไม่รู้ตัวนั้นเอง.