การหาความหมายของการใช้ชีวิตของเด็กอายุ 22

สวัสดีทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ
เรียกผมว่า อาเธอร์ ก็แล้วกันครับ (ไม่ใช่ลุงไนท์จากช่อง Gssspotted นะครับ ฮ่า ) ตอนนี้ผม 22 ปีแล้ว กำลังศึกษาปริญญาตรีอยู่ครับ ผมป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตอนอายุ 16 แต่คาดการณ์ว่าน่าจะป่วยมานานแล้วแค่อาการออกตอนอายุเท่านั้นพอดี ผมเองคิดว่าตัวเองเป็นบุคคลิกผิดปกติชนิดย้ำคิด ( OCPD ) เป็นคนที่ต้องทำทุกอย่างในงานออกมาเพอร์เฟคทุกอย่าง มาตรฐานสูง ผมยอมรับว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องและตอนที่ผมเป็นโรคซึมเศร้าผมก็คิดว่าคงหายได้เองก่อนอาการจะหนักจนพยายามฆ่าตัวตายไป 9 ครั้งใน 2 ปี ปัจจุบันโรคสงบอยู่มีฉุนเฉียวบ้างบางครั้ง ผมไม่เคยลงมือทำร้ายใครนอกจากตัวเอง เ

ผมเรียนเก่ง โดดเด่นในห้อง มักจะกระตือรือร้นในการเรียน แต่ผมกลับเลือกไม่คบเพื่อนเลย มีคนเข้าหาผมเยอะนะ แต่พอผมโดนเอาเปรียบหรือมาเพื่อหาผลประโยชน์แล้วจากไป ผมก็เลือกที่จะอยู่คนเดียว ผมมีเพื่อนอยู่แค่ 2 คน คนแรกเป็นเพื่อน ม.ปลาย เจอกันปีละครั้งบางปีไม่เจอกันเลย ทะเลาะกันจนไล่กันไปตายอยู่ช่วง ม.ปลาย ฮ่า ๆ  ผมเป็น Demisexual แต่เอาจริง ๆ ผมไม่เคยสนใจใครในเชิงทางเพศเลย มันเลยคิดว่าผมชอบมันในเรื่องอย่างว่าละมั้ง แต่ตอนนี้ก็คุยกันปกติหลังจากผมตามตื้อเป็นเพื่อนอยู่ 4 ปีหลังจบ ม.ปลาย ผมคิดว่าผมอยากเป็นเพื่อนกับเขาไปจนวาระสุดท้ายของผมและผมจะยกทุกสิ่งให้เพื่อนคนนี้ เขาเป็นคนแรกที่เข้ามาถามผมว่าเป็นอะไรไหมหลังจากที่ผมเริ่มปลีกตัวและไม่เข้าเรียนจากปกติในห้องเรียนผมจะแซวอาจารย์และตอบคำถามทุกครั้งและเราสนิทกันมากก่อนผมป่วยด้วยละมั้ง อีกคนเป็นเพื่อนใกล้บ้านกัน ผมอยู่ต่างจังหวัดแต่ที่บ้านก็มีฐานะพอสมควร เพื่อนคนนี้เป็นญาติคนละสายเลือดกันทางฝั่งคุณยาย ผมไม่ค่อยได้คุยมากนักตอนช่วงมัธยม แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยผมก็ได้กลับมาพูดคุยด้วยบ่อย ๆ (สมัยเด็ก ๆ เราชอบแอบไปเล่นกับกลุ่มเด็กแถวบ้านบ่อย ๆ ก่อนผมจะย้ายไปอยู่กับป้าในตัวเมือง) 

ถ้าพูดถึงสังคมบ้านผมแล้วผมโตมาในครอบครัวใหญ่มีป้าและลุงทางสายยายรวมท้ังหมด 9 คนและอยู่กับฝั่งยายเป็นหลัก แม่ผมเป็นน้องคนเล็กสุด นั่นทำให้ผมมีครอบครัวที่ใหญ่มาก ๆ แม้จะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันแต่เวลามีงานเฉลิมฉลองเรารวมตัวกันค่อนข้างใหญ่กว่าคนทั่วไปมาก ประมาณ 20 - 30 คน เกือบเท่ากับนักเรียน ม.ปลาย 1 ห้องเลยทีเดียว ผมเป็นน้องเล็กสุดในบ้าน พี่ ๆ ต่างเอ็นดูและดูแลอย่างดี หลานผมห่างกันแค่ 2 ปีเท่านั้น ส่วนพี่คนโตสุดตอนนี้อายุ 53 แล้ว (ห่างจากแม่ผม 3 ปี) และทั้งบ้านเป็นข้าราชการโดย 80% เป็นครู

ป้า ๆ ผมหลายคนไม่ได้มีเงินทองมากนักแต่พอส่งลูกส่งหลานไปเรียนได้ ตามที่คุณยายสอนตามความคิดคนสมัยก่อนอาชีพข้าราชการนั้นมั่นคง มีบำเน็จ บำนาญ รักษาพยาบาลเบิกจ่ายตรงได้ เบิกค่าเทอมลูกได้จำนวนหนึ่ง และน่าจะเป็นความภูมิใจของทางบ้านที่ได้เป็นข้าราชการ สำหรับผมตอนแรกก็คิดแบบนั้น

พอเข้ามัธยมต้นผมได้เข้าวงดนตรีของทางโรงเรียนตามคำเชิญชวนของเพื่อนเนื่องจากคนไม่พอ ด้วยความที่เป็นเด็กและเห็นว่าเป็นเพื่อนกันผมจึงตกลงโดยไม่ลังเล และอีกอย่างผมสนใจดนตรีหลังจากได้ดูเรื่อง Pirates of the carribbean โดยได้ยิน Soundtrack ตอน Jack กำลังหาทางกลับมาจาก Devy Jones's locket ชื่อเพลงว่า Up is down ประพันธ์โดย Hans zimmer ซึ่งหลายคนอาจจะได้ยินเพลง Time จากหนังเรื่อง Inception หรือหนังเรื่อง Interstellar มากกว่า ส่วนอีกเพลงที่จุดประกายผมคือเพลง Discombobulate จากเรื่อง Sherlock holmes เวอร์ชั่น Robert downey JR. ผมเลยอยากหาโอกาสเข้าถึงดนตรี แต่อย่างว่าดนตรีคลาสสิคและ Soundtrack ในไทยนั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมและวง Orchestra นั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ ผมเลยได้แต่ฝันว่าอยากเล่นในวงใหญ่สักครั้ง ผมสนใจไวโอลีนกับเปียโน แต่สำหรับเด็กต่างจังหวัดที่บ้านก็ไม่ได้มีเงินมากนัก ครูสอนเฉพาะก็ไม่มี ก็เลยได้แต่เก็บไว้และหาอาชีพอื่นที่พอจะไปรอด ผมเรียน English Program มาตั้งแต่ประถม ป.1 - ป. 6 ในแบบเข้มข้น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ พลศึกษา ต้องเรียนเป็นทั้งภาษาไทยที่มีครูไทยสอนและแบบภาษาอังกฤษที่มีอาจารย์ฝรั่งสอนอีกที ผมเลยได้ภาษาอังกฤษติดตัวมา ฟังพูดอ่านเขียนได้ แต่จะต่างจากคนทั่วไปที่ gramma ผมไม่ได้เลยเพราะผมใช้แค่สนทนา เขียน daily เขียนโต้ตอบอาจารย์ฝรั่งเท่านั้น เพราะฉนั้นเมื่อการสื่อสารมันผ่านมันก็ผ่านและผมก็คุ้นชินกับการใช้ภาษาอังกฤษในเชิงภาษาพูดเป็นหลัก 

ทำไมคนที่ก็ดูมีความรู้ดี ฐานะที่บ้านดี สังคมโดยรอบน่าจะดี ถึงป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ล่ะ?
ผมมักจะเจอคำถามนี้อยู่เป็นประจำ ก็นั่นน่ะสิภายนอกมันดูดีมากเลย อยากเรียนอะไรก็ได้ในทางวิชาการ อยากได้อะไรถึงไม่ได้ในทันทีแต่รอสักหน่อยที่บ้านเขาก็ให้ สังคมแน่นอนเพื่อน ๆ รุมล้อมอยากให้อยู่กลุ่มทำงาน ความจริงอีกด้านคือผมต้องพึ่งพาญาติเป็นหลักเนื่องจากพ่อกับแม่ผมล้มเหลวทางด้านการเงินอยากมาก ป้า ๆ ต้องคอยช่วยเหลือตลอด และก่อนยายเสียคุณยายให้ผมไปอยู่กับป้าคนรองสุดท้อง ซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีสามีหรือลูก ผมต้องรองรับอารมณ์จากป้าผมในยามที่เขาหงุดหงิด ถ้าหากเขาบอกให้ทำอะไรเราต้องทำให้เขาทันทีไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ด้วยช่วงที่ผมเข้าสู่วัยต่อต้านทำให้ทะเลาะกันเป็นประจำและบ้านอยู่ในตัวเมืองห่างจากบ้านผมอยู่ 10 กิโลเมตร ผมระบายกับใครไม่ได้ ผมมีปัญหาในการจัดการเรื่องงานเพราะมักจะหลง ๆ ลืม ๆ การบ้านหรือโปรเจคในวิชาต่าง ๆ ที่เยอะทำให้มีปัญหากับอาจารย์ ผมเป็นคนเถรตรงและไม่ชอบการทุจริต เพราะงั้นเวลาสอบถ้าผมไม่รู้ผมไม่คิดจะลอกใครและส่งกระดาษเปล่าให้ ผมไม่เก่งคณิตศาสตร์เลยจะเรียกว่าไม่เก่งก็ไม่ได้สิเพราะคนที่สอนพื้นฐานให้ผมถ้าไม่เรียนพิเศษกับเขา เขาก็ไม่สนใจและเขาเป็นอาจารย์ประจำวิชาในช่วงมัธยมต้นด้วย ทำให้ผมได้ 0 วิชาคณิตศาสตร์ตลอดการศึกษามัธยมต้นและปลาย แต่พอเปลี่ยนเป็นเรื่องเซตที่ไม่ต้องใช้พื้นฐานคณิตศาสตร์ผมทำได้เต็มเลยล่ะ แต่ส่วนใหญ่ผมใช้เวลาไปกับวงดนตรี ผมจะซ้อมช่วงเช้าตอนคนอื่นเข้าแถวกันและหลังเลิกเรียนตอน 16 นาฬิกา - 17 นาฬิกาโดยประมาณ แต่ช่วงที่ใกล้แข่ง สพฐ. เราจะซ้อมบางครั้งถึง 18 - 19 นาฬิกาและนอนโรงเรียนเพื่อซ้อมในวันศุกร์ - เย็นวันอาทิตย์ บรรยากาศในการซ้อมนั้นต้องเรียกว่ากดดันและหนักมากเพราะอาจารย์นั้นเข้มงวดรวมถึงวิทยากรเอง ถ้าวันไหนคนขาดซ้อมก็จะโดนด่าไปชั่วโมงกว่าหรือไม่ได้ซ้อมเลย ยืนฟังอาจารย์ด่าอยู่อย่างนั้น

แล้วทำไมไม่ออกล่ะ ทนให้เขาด่าทำไม?
คงเป็นเพราะอยากพยายามทำอะไรให้สำเร็จล่ะมั้งหรือการออกไปก็จะถูกมองว่าทำอะไรได้ไม่สุดทางเป็นพวกครึ่ง ๆ กลาง ๆ (ซึ่งผมบอกเลยว่าเป็นคล้าย ๆ โซตัสดี ๆ นี่แหละ) ผมชอบวงดนตรี ผมชอบที่เห็นพวกเราทำมันสำเร็จเป็นที่รู้จักในวงการในระดับประเทศจากวงเล็กในต่างจังหวัดสู่ระดับนานาชาติ นอกจากรายการ สพฐ. แล้วพวกผมยังเข้าร่วมรายการนานาชาติด้วยเพราะงั้นสิ่งที่สำคัญคือการฝึกคนที่ทำไม่ได้ คนที่เข้ามาใหม่ และรักษาคนเก่าไว้เพราะการฝึกซ้อมบอกเลยว่าถ้าไม่รักจริงทนอยู่ไม่ได้แน่นอนและเรายังต้องส่งต่อความรู้ให้รุ่นหลังอีกด้วย เพราะงั้นนอกจากเรื่องที่บ้าน ที่เรียน และที่ชมรมผมเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัวและกดดันอยู่ลึก ๆ จนกระทั่งจบงานที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมและถือเป็นงานใหญ่สำหรับวงการนี้ การซ้อมเต็มไปด้วยถ้อยคำผรุสวาท การใช้ความรุนแรงต่อสิ่งของรอบตัว การแบ่งพรรคพวก จนกระทั่งผมลืมไปแล้วว่าความสุขคืออะไร การเล่นดนตรีทำให้ผมสุขอีกต่อไป มีแต่ต้องเล่นให้ได้ ทำให้ได้ เพื่อที่จะไม่ให้โดนด่า ไม่โดนตวาด หลังงานจบเราได้ที่ 1 และที่สุดท้าย ในสองประเภทการแข่งขันจากที่เราลงไว้ 3 ประเภท ผมกลับไม่ยินดีเลยแม้แต่น้อย แค่รู้สึกว่างเปล่า เหมือนวิญญาณที่กลวงอยู่ภายในไร้ซึ่งความต้องการใด ๆ จากนั้นมันเต็มไปด้วยความสับสนเนื่องจากเข้า ม.6 แล้วผมกลับไม่รู้ตัวว่าจะไปทางไหนต่อ ผมเกลียดการเล่นดนตรี กลัวการอยู่ท่ามกลางฝูงชน กลัวการตวาดและกลัวการถูกตัดสินวิพากย์วิจารณ์ ผมเลยเก็บตัว ออกห่างจากสังคม ไม่อยากได้ยินคำนินทาอะไร

นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะเปลี่ยนชีวิตของวัยรุ่นคนหนึ่งและดิ่งลงเหวไปจนถึงปัจจุบัน

นี่เป็นผลงานเขียนชิ้นแรกการเรียงลำดับเรื่องอาจจะไม่ปะติดปะต่อมากนักเนื่องจากไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี หากผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
มีความเห็นยังไงแชร์กันได้ครับ ผมไม่ต้องการความเห็นใจหรือสงสารเพียงแต่แค่อยากแชร์ส่วนหนึ่งในชีวิตที่บางคนอาจไม่ได้ประสบไม่เคยประสบและไม่คาดคิดว่ามีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นเพียงเท่านั้น
เดี๋ยวมาเขียนต่อนนะครับวันนี้ดีกมากแล้ว ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่