วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์ และ Q
21
ระหว่างเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านนาพญาที่ติดกับชายฝั่งทะเล ปกป้องนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาควรเล่าให้แสวงฟังถึงสิ่งที่เขาไปรับรู้มา
“ที่สภากาแฟเขาพูดกันว่าชาวประมงบ้านนาพญาเห็นกลุ่มคนนับร้อยลงจากเรือขึ้นฝั่ง แล้วมีรถยนต์หลายคันมารับคนกลุ่มนี้ไป”
แสวงหันหน้ามามองปกป้องด้วยความแปลกใจ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
“คนเป็นร้อยเลยหรือครับที่มาขึ้นฝั่ง คนพวกนั้นมาจากไหนกันครับ”
“ชาวบ้านบอกว่าหน้าไม่เหมือนคนไทย อาจจะไม่ใช่คนไทย และที่สำคัญฉันสังหรณ์ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสะมะแอ”
“เกี่ยวข้องกับสะมะแอ ? นายน้อยคิดว่าคนพวกนี้จะมาเป็นกองหนุนหรือครับ” แสวงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เขารู้ดีว่าสะมะแอคือใครและทำอะไร
ถ้าปกป้องคิดว่าคนที่ถูกขนมาขึ้นฝั่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสะมะแอเช่นนี้ แสดงว่าสะมะแอกำลังสะสมกองกำลังจำนวนมากซึ่งจะต้องมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นแน่ ในใจลึกๆ แสวงหวาดกลัวการเข้าไปในค่ายของสะมะแอไม่น้อย และปกป้องสามารถสังเกตอาการนี้ได้จากสีหน้าวิตกกังวลที่แสวงแสดงออกมา
“เรายังไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่ที่ฉันเล่าให้ฟังนี้ก็เพื่อให้แสวงระวังตัว หากวันนี้ที่เราเข้าไป แล้วถ้าเกิดไปเห็นอะไรผิดปกติในค่ายนั่น พยายามปิดหูปิดตาไว้นะ ไม่อยากเป็นข้ออ้างที่พวกมันจะมาปิดปากเรา”
แสวงฟังแล้วขนลุกซู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยไปที่นั่น แต่ครั้งก่อนที่ไปพร้อมกับนายแพทย์ปริญญ์ เขายังอุ่นใจมากกว่านี้เพราะสะมะแอนับถือและไว้ใจ
ผู้เป็นพ่อมากกว่าลูกชาย
“ครับ ผมจะระวัง” แสวงรับปาก
“เราคงกลับออกมาได้ก่อนค่ำนะ” คำเปรยนั้นทำให้แสวงเหยียบคันเร่งแรงกว่าปกติที่เคยขับในสภาพถนนเช่นนี้
หนทางจากบ้านพักไปถึงแหล่งกบดานของสะมะแอนั้นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงของการเดินทาง เพราะต้องข้ามเขาหลายลูกที่มีเพียงถนนแคบๆ พอให้รถสัญจรผ่านได้ แต่ปกป้องหวังว่าจะทำเวลาให้ดีที่สุดในการเดินทาง เพราะอาจจะต้องใช้เวลาอยู่ในค่ายพอสมควรเพื่อดูแลรักษาลูกน้องบางคนของสะมะแออีกด้วย
บนถนนเส้นหลักผ่านตลาดมุ่งหน้าทิศตะวันตกสู่หมู่บ้านนาพญา แสวงสามารถทำความเร็วได้มากกว่าปกติ เพราะเป็นถนนลาดยาง แต่เมื่อมาถึงทางแยกก่อนเข้าหมู่บ้านนาพญา จะมีทางเลี้ยวขวาแยกเข้าไปในป่า สภาพถนนเป็นดินลูกรังตัดข้ามภูเขาหลายลูก ทำให้แสวงไม่สามารถเหยียบคันเร่งรถได้เต็มที่ แต่เขาก็พยายามรักษาความเร็วไม่ให้ลดลงไปเท่าที่เขาจะทำได้
ช่วงขึ้นเขาที่ลาดชัน แสวงต้องบังคับพวงมาลัยอย่างระมัดระวัง เพราะขอบเหวลึกด้านข้างไร้แนวรั้วป้องกัน อาจจะทำให้รถทั้งคันลื่นไถลตกลงเหวไปได้หากคนขับขาดสติแม้เพียงวูบเดียว แต่ด้วยความชำนาญเส้นทางที่เขาเคยขับรถผ่านถนนเส้นนี้หลายครั้งแล้ว ทำให้แสวงมั่นใจในทุกโค้งและทุกสภาพพื้นถนน
เมื่อลงจากเนินเขาสู่หุบเขาลึกก็ต้องผ่านป่าดงดิบทึบ ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้แน่นหนา สิ่งที่พอจะทำให้รู้ว่านี่คือถนน คือทางยาวเต็มไปด้วยใบไม้น้อยใหญ่ปกคลุม ความกว้างของถนนพอสำหรับรถวิ่งเลนเดียว แสวงสามารถทำความเร็วได้ดีในถนนแบบนี้ เขาเหยียบคันเร่งฝ่ากิ่งไม้เล็กๆ และก้อนหินขนาดไม่ใหญ่นัก
แต่ทันใดนั้น! ตรงหน้าเขามีกิ่งไม้ขนาดใหญ่พาดขวางถนน เขาเหยียบเบรกเต็มแรงจนทั้งเขาและผู้โดยสารต่างหัวทิ่ม โชคดีที่ทั้งคู่คาดเข็มขัดนิรภัย จึงทำให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากการถูกกระแทก
“ทำไมมีกิ่งไม้ใหญ่มาขวางทางแบบนี้” แสวงบ่นออกมา
“น่าจะเพิ่งล้มนะ” ปกป้องมั่นใจเช่นนั้น เพราะอีกไม่ไกลจะถึงด่านแรกของทางเข้าค่ายสะมะแอ ไม่น่าจะมีใครจงใจมาหยุดเขาไว้แบบนี้
ทั้งคู่มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจก่อนจะเปิดประตูลงจากรถและไปช่วยกันยกกิ่งไม้ออกจากถนน เมื่อสังเกตให้ชัดเจนจากสภาพแวดล้อมแล้ว กิ่งไม้นี้
น่าจะหักมาจากต้นตะเคียนข้างทางที่สูงใหญ่หลายคนโอบ เมื่อมองไปรอบๆ ปกป้องก็เห็นต้นตะเคียน ต้นยางป่าและไม้เต็งที่สูงใหญ่ขนาดไล่เลี่ยกันหลายร้อยต้น ทำให้เขานึกดีใจที่ความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ยังมีอยู่ให้เห็น
สภาพป่าที่ยังคงสมบูรณ์อยู่ได้เช่นนี้ เป็นเพราะอิทธิพลของสะมะแอทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาบุกรุกป่าแถบนี้ ปกป้องพลันคิดถึงบริเวณหมู่บ้าน
นาพญาที่ป่าแถบนั้นถูกบุกรุกจากกลุ่มนายทุน สภาพป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์เพราะห่างไกลจากน้ำมือมนุษย์ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมากลับมีนายทุนหลายเจ้า
เดินเข้าออกป่าเป็นว่าเล่น เพื่อเข้ามากอบโกยทรัพยากรเหล่านี้ไปเป็นของตัวเอง และเรื่องผิดกฎหมายนี้เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่สามารถจัดการได้ หรือไม่ก็
รู้เห็นเป็นใจโดยการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียมากกว่า
หลังจากที่ทั้งคู่ช่วยกันเคลื่อนย้ายกิ่งไม้ไปไว้ข้างทางแล้ว แสวงก็รีบออกรถไปตามถนนอย่างไม่รอช้า ถนนท่ามกลางป่าดงดิบช่วงนี้มีสภาพถนนค่อนข้างดีคงเป็นเพราะเพิ่งได้รับการปรับปรุงจากคนที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปข้างใน
การที่ปกป้องพยายามสืบทราบความเคลื่อนไหวของสะมะแอด้วยการเข้ามาส่งยารักษาโรคเรื้อรังของเจ้าของค่ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลยเพราะหนทางที่จะเข้าถึงค่ายนั้นทั้งไกลและลำบาก และที่สำคัญสะมะแอจัดหน่วยเฝ้าระวังไว้อย่างดี แค่มีคนแปลกหน้าผ่านเส้นทางนี้เข้ามาไม่ถึง 300 เมตร ก็ต้องถูกสกัดก่อนแล้ว
ชายหนุ่มเคยปรึกษาเรื่องนี้กับวิษณุเรื่องที่เขาอยากเข้ามาสอดแนม แต่ถูกวิษณุขัดเสียก่อน
‘ครูว่ามันเสี่ยงเกินไป แค่เธอเข้าไปส่งยาแต่ละครั้งก็สามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลได้พอสมควร ไม่จำเป็นต้องลักลอบเข้าไปหาข่าวอีกหรอก’
‘แต่การส่งยาต้องรอถึง 4 เดือนกว่าผมจะได้เข้าไปอีกครั้ง ถ้าพวกมันมีแผนที่จะก่อการร้ายขึ้นอีก ผมก็อยากส่งข่าวให้ทันเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดการสูญเสียนะครับ’ ปกป้องพยายามแย้ง เพราะในความรู้สึกของเขา เหมือนต้องรอคอยโดยไม่ได้ทำงาน
‘สายของเราตามตะเข็บจังหวัดก็สามารถเป็นหูเป็นตาได้ อย่าลืมว่าหน้าฉากของเธอ กว่าจะสร้างความเชื่อถือมาจนทุกวันนี้ได้ ใช้เวลากว่าสองชั่วอายุคน’
‘ยังไงหรือครับ’
‘ก็หมอปริญญ์ไง พ่อเธอเป็นที่รักและไว้ใจของคนที่นั่นรวมถึงสะมะแอด้วย และเธอกำลังจะได้รับความไว้ใจนี้ต่อจากพ่อ แต่ถ้าเธอพลาดถูกจับได้ เวลาและความดีที่สั่งสมมาตลอดนั้นมันคงสูญเปล่า’
ปกป้องไม่อาจแย้งอะไรได้อีก เพราะการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาคือวินัยของทหาร
เมื่อขับผ่านป่าดงดิบออกมาได้ แสวงยังต้องขับรถขึ้นยอดเขาสูงเพื่อขึ้นไปยังค่ายของสะมะแอที่อยู่บนนั้น ทางขึ้นเขามีด่านของกลุ่มสะมะแอตั้งเครื่องกีดขวาง ชายฉกรรจ์ 5 คนยืนเฝ้าด่าน พร้อมอาวุธครบมือไม่ต่างจากภาพที่เคยเห็นในหนังสงคราม ทั้งที่ผืนป่าแห่งนี้ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของคนเหล่านี้แม้แต่น้อย
หนึ่งในนั้นออกมาโบกให้รถชะลอความเร็วเมื่อเห็นรถกระบะวิ่งฝุ่นตลบเข้ามา
แสวงค่อยๆ แตะเบรกเมื่อใกล้ถึงด่าน แล้วรถจอดนิ่งสนิทข้างๆ ชายที่มายืนโบกรถ แสวงเลื่อนกระจกลงแล้วบอกว่า
“ผมนำยาที่สะมะแอสั่งซื้อมาส่ง และหมอจะมาตรวจอาการด้วย”
ชายคนนั้นเดินมามองปกป้อง ดูเหมือนเขาจะจำหน้าหมอที่เคยมาเมื่อหลายเดือนก่อน อีกทั้งเขาได้รับคำสั่งอนุญาตมาก่อนล่วงหน้าแล้ว จึงหันไปพยักหน้าให้สัญญาณพรรคพวกให้ดึงเครื่องกีดขวางออก
แสวงค่อยๆ เคลื่อนรถผ่านเข้าด่านไป ถนนข้างหน้าเป็นดินลูกรังยาวขึ้นไปบนเขาสูง แสวงขับรถหลบหลุมบ่อที่เกิดจากน้ำเซาะดิน บางช่วงของถนนเป็นเศษหิน ทำให้ล้อรถกระบะโฟร์วีลไดร์ฟไถลไปไม่มากนัก ยิ่งขึ้นเขาสูงแสวงยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังเพราะข้างทางเป็นเหวลึก เบื้องล่างยังอัดแน่นไปด้วยป่าเขียวขจี ค่ายของสะมะแออยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ปกป้องจำได้เพราะข้างหน้าเป็นด่านสุดท้าย
เมื่อมาถึงด่าน หนึ่งในคนเฝ้าด่านนั้นเคยบาดเจ็บและได้ปกป้องช่วยรักษาให้ เขาเดินเข้ามาใกล้รถที่จอดสนิทลง
“หวัดดีหมอ”
“หายดีแล้วนะ” ปกป้องทักตอบ
ฝ่ายนั้นยิ้มพยักหน้าแล้วโบกมืออนุญาตให้แสวงขับผ่านไปได้
ถึงช่วงที่ใกล้จะถึงค่าย แสวงเคลื่อนรถไปด้วยความเร็วปกติ ปกป้องพูดเน้นย้ำเรื่องสำคัญกับแสวง
“เข้ามาในค่ายครั้งนี้ต้องระมัดระวังตัวมากกว่าครั้งก่อนๆ นะ อย่าประมาทเด็ดขาด”
“ครับนายน้อย มาคราวนี้ผมพกมีดมาด้วย” แสวงพูดพร้อมขยับด้ามมีดที่ซุกซ่อนไว้ที่เอวใต้เสื้อให้ปกป้องเห็น
แม้ปกป้องจะไม่อยากให้แสวงพกอาวุธเท่าใดนัก แต่ก็วางใจว่าแสวงคงจะไม่ทำอะไรวู่วาม จึงยอมให้พกอาวุธไว้เพื่อความอุ่นใจ สำหรับตัวเขาเลือกที่จะไม่พกอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น เพราะกลัวว่าหากฝ่ายตรงข้ามจับได้ นั่นหมายถึงการแสดงความเป็นปฏิปักษ์ แม้เขาไม่พกอาวุธแต่เขาก็เตรียมพร้อมที่จะสู้ด้วยมือเปล่าแล้วช่วงชิงอาวุธจากฝ่ายตรงข้ามมาป้องกันตัวเอง
ปกป้องไม่มั่นใจเต็มร้อยนักว่าสะมะแอไว้วางใจเขาเทียบเท่ากับหมอปริญญ์ ฉะนั้นสะมะแอคงต้องส่งลูกน้องไปสืบดูความเคลื่อนไหวของเขาแน่นอน คนที่ฝังตัวอยู่ในป่าลึกราวกับเสือเฝ้าถ้ำเช่นนี้ คงไม่ยอมปิดหูปิดตาจากโลกภายนอก ยิ่งถ้ำแห่งนี้ลึกและมืดมนเพียงใด
เสือก็ยังเป็นเสือที่พร้อมจะผงาดทุกเมื่อ
ปกป้องรู้ตัวดีว่าสะมะแอระวังตัวเต็มที่ตลอดเวลา และไม่ยอมไว้ใจเขาง่ายๆ จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าสะมะแอคงจะไม่โง่พอที่จะทำอันตรายเขา ซึ่งเป็นคนเดียวที่จะช่วยรักษาโรคเรื้อรังที่สะมะแอเป็นอยู่ได้
เมื่อรถขับเข้ามาถึงภายในบริเวณค่าย เป็นสภาพที่ปกป้องคุ้นตา ลานดินกว้างที่เป็นลานเอนกประสงค์ซึ่งปกป้องเดาได้ว่าที่ตรงนี้คือแหล่งรวมพลและฝึกอาวุธ แต่ในขณะที่มีคนนอกอย่างเขาเข้ามาเช่นนี้ ทุกกิจกรรมถูกยกเลิกและเก็บงำอย่างดี แต่กระนั้นเมื่อจอดรถลงที่หน้าบ้านไม้หลังใหญ่ของหัวหน้าค่าย ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขา และอาจจะรวมถึงปากกระบอกปืนหลายกระบอกเล็งมาอีกด้วย
บ้านหลังใหญ่สองชั้นยกพื้นสูงมีเพียงหลังเดียวในขณะที่มีกระต๊อบไม้เล็กๆ ขนาบอยู่สองข้าง น่าจะเป็นบ้านพักคนสนิท ส่วนที่แอบอยู่หลังแนวต้นไม้เป็นเรือนแถวแบบลักษณะบ้านคนงานสองชั้น 3 หลังด้วยกัน กะด้วยสายตาคร่าวๆ ว่าน่าจะเป็นที่พักสำหรับสมุนไม่ต่ำกว่าร้อยคนของสะมะแอ ถัดไปเป็นศาลาโล่งติดกับครัว ซึ่งน่าจะเป็นโรงอาหาร เขาเห็นคนงาน 4-5 คน กำลังหุงต้มเตรียมทำอาหารมื้อเย็น
อาหารมื้อเย็น ? เริ่มทำตั้งแต่บ่ายสามโมงเช่นนี้ จะต้องเตรียมไว้สำหรับคนกี่ร้อยคนกันแน่ เป็นคำถามที่วิ่งปราดๆ อยู่ในสมองของปกป้อง สายตาที่ฉับไวราวกับเหยี่ยวของเขา เร่งบันทึกภาพต่างๆ ที่เห็นลงไว้ในรอยหยักของสมองอย่างรวดเร็ว
ความร่มครึ้มของไม้ใหญ่โดยรอบ ปกคลุมแน่นทึบจนยากที่แสงแดดจะส่องลอดลงมาได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการมองเห็นจากเบื้องสูง หากมีเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์มาลาดตระเวนแถวนี้ จะไม่สามารถมองเห็นค่ายแห่งนี้ได้เลย อีกทั้งเป็นความชาญฉลาดของผู้ก่อตั้งค่ายซึ่งนอกจากจะเลือกชัยภูมิซึ่งเป็นที่ราบบนภูเขาสูงซึ่งมีลำธารไหลผ่านให้เป็นแหล่งน้ำใช้สอยแล้ว ชะง่อนผาด้านหลังยังเป็นช่องเขาที่มีลมพัดกระโชก จนยากที่เฮลิคอปเตอร์จะเข้ามาโดยไม่เสียการทรงตัว
ดังนั้น ที่มั่นของขบวนการแบ่งแยกดินแดนนี้ จึงยากที่จะมีใครค้นพบและทำลายลงได้ !
วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 21
“ที่สภากาแฟเขาพูดกันว่าชาวประมงบ้านนาพญาเห็นกลุ่มคนนับร้อยลงจากเรือขึ้นฝั่ง แล้วมีรถยนต์หลายคันมารับคนกลุ่มนี้ไป”
แสวงหันหน้ามามองปกป้องด้วยความแปลกใจ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
“คนเป็นร้อยเลยหรือครับที่มาขึ้นฝั่ง คนพวกนั้นมาจากไหนกันครับ”
“ชาวบ้านบอกว่าหน้าไม่เหมือนคนไทย อาจจะไม่ใช่คนไทย และที่สำคัญฉันสังหรณ์ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสะมะแอ”
“เกี่ยวข้องกับสะมะแอ ? นายน้อยคิดว่าคนพวกนี้จะมาเป็นกองหนุนหรือครับ” แสวงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เขารู้ดีว่าสะมะแอคือใครและทำอะไร
ถ้าปกป้องคิดว่าคนที่ถูกขนมาขึ้นฝั่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสะมะแอเช่นนี้ แสดงว่าสะมะแอกำลังสะสมกองกำลังจำนวนมากซึ่งจะต้องมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นแน่ ในใจลึกๆ แสวงหวาดกลัวการเข้าไปในค่ายของสะมะแอไม่น้อย และปกป้องสามารถสังเกตอาการนี้ได้จากสีหน้าวิตกกังวลที่แสวงแสดงออกมา
“เรายังไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่ที่ฉันเล่าให้ฟังนี้ก็เพื่อให้แสวงระวังตัว หากวันนี้ที่เราเข้าไป แล้วถ้าเกิดไปเห็นอะไรผิดปกติในค่ายนั่น พยายามปิดหูปิดตาไว้นะ ไม่อยากเป็นข้ออ้างที่พวกมันจะมาปิดปากเรา”
แสวงฟังแล้วขนลุกซู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยไปที่นั่น แต่ครั้งก่อนที่ไปพร้อมกับนายแพทย์ปริญญ์ เขายังอุ่นใจมากกว่านี้เพราะสะมะแอนับถือและไว้ใจ
ผู้เป็นพ่อมากกว่าลูกชาย
“ครับ ผมจะระวัง” แสวงรับปาก
“เราคงกลับออกมาได้ก่อนค่ำนะ” คำเปรยนั้นทำให้แสวงเหยียบคันเร่งแรงกว่าปกติที่เคยขับในสภาพถนนเช่นนี้
หนทางจากบ้านพักไปถึงแหล่งกบดานของสะมะแอนั้นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงของการเดินทาง เพราะต้องข้ามเขาหลายลูกที่มีเพียงถนนแคบๆ พอให้รถสัญจรผ่านได้ แต่ปกป้องหวังว่าจะทำเวลาให้ดีที่สุดในการเดินทาง เพราะอาจจะต้องใช้เวลาอยู่ในค่ายพอสมควรเพื่อดูแลรักษาลูกน้องบางคนของสะมะแออีกด้วย
บนถนนเส้นหลักผ่านตลาดมุ่งหน้าทิศตะวันตกสู่หมู่บ้านนาพญา แสวงสามารถทำความเร็วได้มากกว่าปกติ เพราะเป็นถนนลาดยาง แต่เมื่อมาถึงทางแยกก่อนเข้าหมู่บ้านนาพญา จะมีทางเลี้ยวขวาแยกเข้าไปในป่า สภาพถนนเป็นดินลูกรังตัดข้ามภูเขาหลายลูก ทำให้แสวงไม่สามารถเหยียบคันเร่งรถได้เต็มที่ แต่เขาก็พยายามรักษาความเร็วไม่ให้ลดลงไปเท่าที่เขาจะทำได้
ช่วงขึ้นเขาที่ลาดชัน แสวงต้องบังคับพวงมาลัยอย่างระมัดระวัง เพราะขอบเหวลึกด้านข้างไร้แนวรั้วป้องกัน อาจจะทำให้รถทั้งคันลื่นไถลตกลงเหวไปได้หากคนขับขาดสติแม้เพียงวูบเดียว แต่ด้วยความชำนาญเส้นทางที่เขาเคยขับรถผ่านถนนเส้นนี้หลายครั้งแล้ว ทำให้แสวงมั่นใจในทุกโค้งและทุกสภาพพื้นถนน
เมื่อลงจากเนินเขาสู่หุบเขาลึกก็ต้องผ่านป่าดงดิบทึบ ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้แน่นหนา สิ่งที่พอจะทำให้รู้ว่านี่คือถนน คือทางยาวเต็มไปด้วยใบไม้น้อยใหญ่ปกคลุม ความกว้างของถนนพอสำหรับรถวิ่งเลนเดียว แสวงสามารถทำความเร็วได้ดีในถนนแบบนี้ เขาเหยียบคันเร่งฝ่ากิ่งไม้เล็กๆ และก้อนหินขนาดไม่ใหญ่นัก
แต่ทันใดนั้น! ตรงหน้าเขามีกิ่งไม้ขนาดใหญ่พาดขวางถนน เขาเหยียบเบรกเต็มแรงจนทั้งเขาและผู้โดยสารต่างหัวทิ่ม โชคดีที่ทั้งคู่คาดเข็มขัดนิรภัย จึงทำให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากการถูกกระแทก
“ทำไมมีกิ่งไม้ใหญ่มาขวางทางแบบนี้” แสวงบ่นออกมา
“น่าจะเพิ่งล้มนะ” ปกป้องมั่นใจเช่นนั้น เพราะอีกไม่ไกลจะถึงด่านแรกของทางเข้าค่ายสะมะแอ ไม่น่าจะมีใครจงใจมาหยุดเขาไว้แบบนี้
ทั้งคู่มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจก่อนจะเปิดประตูลงจากรถและไปช่วยกันยกกิ่งไม้ออกจากถนน เมื่อสังเกตให้ชัดเจนจากสภาพแวดล้อมแล้ว กิ่งไม้นี้
น่าจะหักมาจากต้นตะเคียนข้างทางที่สูงใหญ่หลายคนโอบ เมื่อมองไปรอบๆ ปกป้องก็เห็นต้นตะเคียน ต้นยางป่าและไม้เต็งที่สูงใหญ่ขนาดไล่เลี่ยกันหลายร้อยต้น ทำให้เขานึกดีใจที่ความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ยังมีอยู่ให้เห็น
สภาพป่าที่ยังคงสมบูรณ์อยู่ได้เช่นนี้ เป็นเพราะอิทธิพลของสะมะแอทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาบุกรุกป่าแถบนี้ ปกป้องพลันคิดถึงบริเวณหมู่บ้าน
นาพญาที่ป่าแถบนั้นถูกบุกรุกจากกลุ่มนายทุน สภาพป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์เพราะห่างไกลจากน้ำมือมนุษย์ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมากลับมีนายทุนหลายเจ้า
เดินเข้าออกป่าเป็นว่าเล่น เพื่อเข้ามากอบโกยทรัพยากรเหล่านี้ไปเป็นของตัวเอง และเรื่องผิดกฎหมายนี้เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่สามารถจัดการได้ หรือไม่ก็
รู้เห็นเป็นใจโดยการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียมากกว่า
หลังจากที่ทั้งคู่ช่วยกันเคลื่อนย้ายกิ่งไม้ไปไว้ข้างทางแล้ว แสวงก็รีบออกรถไปตามถนนอย่างไม่รอช้า ถนนท่ามกลางป่าดงดิบช่วงนี้มีสภาพถนนค่อนข้างดีคงเป็นเพราะเพิ่งได้รับการปรับปรุงจากคนที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปข้างใน
การที่ปกป้องพยายามสืบทราบความเคลื่อนไหวของสะมะแอด้วยการเข้ามาส่งยารักษาโรคเรื้อรังของเจ้าของค่ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลยเพราะหนทางที่จะเข้าถึงค่ายนั้นทั้งไกลและลำบาก และที่สำคัญสะมะแอจัดหน่วยเฝ้าระวังไว้อย่างดี แค่มีคนแปลกหน้าผ่านเส้นทางนี้เข้ามาไม่ถึง 300 เมตร ก็ต้องถูกสกัดก่อนแล้ว
ชายหนุ่มเคยปรึกษาเรื่องนี้กับวิษณุเรื่องที่เขาอยากเข้ามาสอดแนม แต่ถูกวิษณุขัดเสียก่อน
‘ครูว่ามันเสี่ยงเกินไป แค่เธอเข้าไปส่งยาแต่ละครั้งก็สามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลได้พอสมควร ไม่จำเป็นต้องลักลอบเข้าไปหาข่าวอีกหรอก’
‘แต่การส่งยาต้องรอถึง 4 เดือนกว่าผมจะได้เข้าไปอีกครั้ง ถ้าพวกมันมีแผนที่จะก่อการร้ายขึ้นอีก ผมก็อยากส่งข่าวให้ทันเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดการสูญเสียนะครับ’ ปกป้องพยายามแย้ง เพราะในความรู้สึกของเขา เหมือนต้องรอคอยโดยไม่ได้ทำงาน
‘สายของเราตามตะเข็บจังหวัดก็สามารถเป็นหูเป็นตาได้ อย่าลืมว่าหน้าฉากของเธอ กว่าจะสร้างความเชื่อถือมาจนทุกวันนี้ได้ ใช้เวลากว่าสองชั่วอายุคน’
‘ยังไงหรือครับ’
‘ก็หมอปริญญ์ไง พ่อเธอเป็นที่รักและไว้ใจของคนที่นั่นรวมถึงสะมะแอด้วย และเธอกำลังจะได้รับความไว้ใจนี้ต่อจากพ่อ แต่ถ้าเธอพลาดถูกจับได้ เวลาและความดีที่สั่งสมมาตลอดนั้นมันคงสูญเปล่า’
ปกป้องไม่อาจแย้งอะไรได้อีก เพราะการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาคือวินัยของทหาร
เมื่อขับผ่านป่าดงดิบออกมาได้ แสวงยังต้องขับรถขึ้นยอดเขาสูงเพื่อขึ้นไปยังค่ายของสะมะแอที่อยู่บนนั้น ทางขึ้นเขามีด่านของกลุ่มสะมะแอตั้งเครื่องกีดขวาง ชายฉกรรจ์ 5 คนยืนเฝ้าด่าน พร้อมอาวุธครบมือไม่ต่างจากภาพที่เคยเห็นในหนังสงคราม ทั้งที่ผืนป่าแห่งนี้ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของคนเหล่านี้แม้แต่น้อย
หนึ่งในนั้นออกมาโบกให้รถชะลอความเร็วเมื่อเห็นรถกระบะวิ่งฝุ่นตลบเข้ามา
แสวงค่อยๆ แตะเบรกเมื่อใกล้ถึงด่าน แล้วรถจอดนิ่งสนิทข้างๆ ชายที่มายืนโบกรถ แสวงเลื่อนกระจกลงแล้วบอกว่า
“ผมนำยาที่สะมะแอสั่งซื้อมาส่ง และหมอจะมาตรวจอาการด้วย”
ชายคนนั้นเดินมามองปกป้อง ดูเหมือนเขาจะจำหน้าหมอที่เคยมาเมื่อหลายเดือนก่อน อีกทั้งเขาได้รับคำสั่งอนุญาตมาก่อนล่วงหน้าแล้ว จึงหันไปพยักหน้าให้สัญญาณพรรคพวกให้ดึงเครื่องกีดขวางออก
แสวงค่อยๆ เคลื่อนรถผ่านเข้าด่านไป ถนนข้างหน้าเป็นดินลูกรังยาวขึ้นไปบนเขาสูง แสวงขับรถหลบหลุมบ่อที่เกิดจากน้ำเซาะดิน บางช่วงของถนนเป็นเศษหิน ทำให้ล้อรถกระบะโฟร์วีลไดร์ฟไถลไปไม่มากนัก ยิ่งขึ้นเขาสูงแสวงยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังเพราะข้างทางเป็นเหวลึก เบื้องล่างยังอัดแน่นไปด้วยป่าเขียวขจี ค่ายของสะมะแออยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ปกป้องจำได้เพราะข้างหน้าเป็นด่านสุดท้าย
เมื่อมาถึงด่าน หนึ่งในคนเฝ้าด่านนั้นเคยบาดเจ็บและได้ปกป้องช่วยรักษาให้ เขาเดินเข้ามาใกล้รถที่จอดสนิทลง
“หวัดดีหมอ”
“หายดีแล้วนะ” ปกป้องทักตอบ
ฝ่ายนั้นยิ้มพยักหน้าแล้วโบกมืออนุญาตให้แสวงขับผ่านไปได้
ถึงช่วงที่ใกล้จะถึงค่าย แสวงเคลื่อนรถไปด้วยความเร็วปกติ ปกป้องพูดเน้นย้ำเรื่องสำคัญกับแสวง
“เข้ามาในค่ายครั้งนี้ต้องระมัดระวังตัวมากกว่าครั้งก่อนๆ นะ อย่าประมาทเด็ดขาด”
“ครับนายน้อย มาคราวนี้ผมพกมีดมาด้วย” แสวงพูดพร้อมขยับด้ามมีดที่ซุกซ่อนไว้ที่เอวใต้เสื้อให้ปกป้องเห็น
แม้ปกป้องจะไม่อยากให้แสวงพกอาวุธเท่าใดนัก แต่ก็วางใจว่าแสวงคงจะไม่ทำอะไรวู่วาม จึงยอมให้พกอาวุธไว้เพื่อความอุ่นใจ สำหรับตัวเขาเลือกที่จะไม่พกอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น เพราะกลัวว่าหากฝ่ายตรงข้ามจับได้ นั่นหมายถึงการแสดงความเป็นปฏิปักษ์ แม้เขาไม่พกอาวุธแต่เขาก็เตรียมพร้อมที่จะสู้ด้วยมือเปล่าแล้วช่วงชิงอาวุธจากฝ่ายตรงข้ามมาป้องกันตัวเอง
ปกป้องไม่มั่นใจเต็มร้อยนักว่าสะมะแอไว้วางใจเขาเทียบเท่ากับหมอปริญญ์ ฉะนั้นสะมะแอคงต้องส่งลูกน้องไปสืบดูความเคลื่อนไหวของเขาแน่นอน คนที่ฝังตัวอยู่ในป่าลึกราวกับเสือเฝ้าถ้ำเช่นนี้ คงไม่ยอมปิดหูปิดตาจากโลกภายนอก ยิ่งถ้ำแห่งนี้ลึกและมืดมนเพียงใด เสือก็ยังเป็นเสือที่พร้อมจะผงาดทุกเมื่อ
ปกป้องรู้ตัวดีว่าสะมะแอระวังตัวเต็มที่ตลอดเวลา และไม่ยอมไว้ใจเขาง่ายๆ จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าสะมะแอคงจะไม่โง่พอที่จะทำอันตรายเขา ซึ่งเป็นคนเดียวที่จะช่วยรักษาโรคเรื้อรังที่สะมะแอเป็นอยู่ได้
เมื่อรถขับเข้ามาถึงภายในบริเวณค่าย เป็นสภาพที่ปกป้องคุ้นตา ลานดินกว้างที่เป็นลานเอนกประสงค์ซึ่งปกป้องเดาได้ว่าที่ตรงนี้คือแหล่งรวมพลและฝึกอาวุธ แต่ในขณะที่มีคนนอกอย่างเขาเข้ามาเช่นนี้ ทุกกิจกรรมถูกยกเลิกและเก็บงำอย่างดี แต่กระนั้นเมื่อจอดรถลงที่หน้าบ้านไม้หลังใหญ่ของหัวหน้าค่าย ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขา และอาจจะรวมถึงปากกระบอกปืนหลายกระบอกเล็งมาอีกด้วย
บ้านหลังใหญ่สองชั้นยกพื้นสูงมีเพียงหลังเดียวในขณะที่มีกระต๊อบไม้เล็กๆ ขนาบอยู่สองข้าง น่าจะเป็นบ้านพักคนสนิท ส่วนที่แอบอยู่หลังแนวต้นไม้เป็นเรือนแถวแบบลักษณะบ้านคนงานสองชั้น 3 หลังด้วยกัน กะด้วยสายตาคร่าวๆ ว่าน่าจะเป็นที่พักสำหรับสมุนไม่ต่ำกว่าร้อยคนของสะมะแอ ถัดไปเป็นศาลาโล่งติดกับครัว ซึ่งน่าจะเป็นโรงอาหาร เขาเห็นคนงาน 4-5 คน กำลังหุงต้มเตรียมทำอาหารมื้อเย็น
อาหารมื้อเย็น ? เริ่มทำตั้งแต่บ่ายสามโมงเช่นนี้ จะต้องเตรียมไว้สำหรับคนกี่ร้อยคนกันแน่ เป็นคำถามที่วิ่งปราดๆ อยู่ในสมองของปกป้อง สายตาที่ฉับไวราวกับเหยี่ยวของเขา เร่งบันทึกภาพต่างๆ ที่เห็นลงไว้ในรอยหยักของสมองอย่างรวดเร็ว
ความร่มครึ้มของไม้ใหญ่โดยรอบ ปกคลุมแน่นทึบจนยากที่แสงแดดจะส่องลอดลงมาได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการมองเห็นจากเบื้องสูง หากมีเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์มาลาดตระเวนแถวนี้ จะไม่สามารถมองเห็นค่ายแห่งนี้ได้เลย อีกทั้งเป็นความชาญฉลาดของผู้ก่อตั้งค่ายซึ่งนอกจากจะเลือกชัยภูมิซึ่งเป็นที่ราบบนภูเขาสูงซึ่งมีลำธารไหลผ่านให้เป็นแหล่งน้ำใช้สอยแล้ว ชะง่อนผาด้านหลังยังเป็นช่องเขาที่มีลมพัดกระโชก จนยากที่เฮลิคอปเตอร์จะเข้ามาโดยไม่เสียการทรงตัว
ดังนั้น ที่มั่นของขบวนการแบ่งแยกดินแดนนี้ จึงยากที่จะมีใครค้นพบและทำลายลงได้ !