คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
.
------ เรียนสนทนากับท่านเจ้าของกระทู้ครับ
"อนัตตา 1: การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่
แต่ไม่มีใครเวียนว่ายตายเกิด"
---------- ครับ
แต่คำกล่าว ทั้ง 2 ปรฌยคนี้ กล่าวแบบความจริงสมติ(คำพูดแบบที่ชาวโลกเข้าใจ" ผสมกับคำพูดแบบแสดง ความจริงแท้(ปรมัตถ์)
ถ้ากล่าวแบบจริงแท้ (เพื่อไม่ให้สับสน) น่าจะกล่าวว่า การเกิด การดับ ของขันธ์ มีอยู่ แต่ผู้เกิดผู้ดับไม่มี)
(เพราะ ขันธ์ เกิดตามเหตุปัจจัย(ตัณหา )
และ ดับครั้งสุดท้ายในแต่ละภพตามปกติของกฏธรรมชาติกรรม(กรรมนิยาม)
สมาชิกหมายเลข 1353137
12 พฤศจิกายน 2565 เวลา 15:34:47 น.
ศาสนาพุทธ ปฏิบัติธรรม มหาสติปัฏฐาน 4 วิปัสสนากรรมฐาน
อนัตตาเป็นคำที่เข้าใจยาก การอธิบายเฉพาะความหมายตามตัวอักษรทำให้คนตีความไม่ตรงกัน
------- เข้าใจว่า อนัตตา อธิบายให้เข้าใจได้ 2 ลักษณะ ได้แก่
1. กายและจิต(ขันธ์5) เกิดเับตลอดเวลา
จิตเกิดดับ ในเวลาดีดนิ้วครั้ง้ดียว มากว่า ล้านบ้านครั้ง(แสนโกฏิขฯะ(จิตเกิดดับ1 ครั้ง เรียก 1 ขณะ)
(กาย (รูป มีอายุ 17 ขณะจิต จึงดับ)
การที่จิตและกายมีอายุสั้นมากๆๆๆๆ เข่นนี้ และเป็นจิตใหม่ตลอดเวลานี้
จึงไม่อาจนับว่าจิตใด เป็นตัวตนของใคร หรือตัวตนอะไรได้
2. กายและจิต(และเจตสิก(สิ่งที่เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิตแต่ละครั้ง(เวทนา สัญญา สังขารขันธ์)
(ขันธ์5)
เกิดจากเหตุปัจจัย(ตัณหา) และไม่มีเกิดขึ้นอีก เมื่อไม่มีตัณหาในจิต
สิ่งที่เกิดขึ้น จึงเป็นเพีบง ผลที่เกิดจากเหตุ เมื่อเหตุไม่มีแล้ว ก็ไม่มีผลเกิดขึ้นมาอีก
จึงไม่มี จิต(และกาย) ที่คงที่ ที่จะถือได้ว่าเป็นใครหรือตัวตนอะไร
.
------ เรียนสนทนากับท่านเจ้าของกระทู้ครับ
"อนัตตา 1: การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่
แต่ไม่มีใครเวียนว่ายตายเกิด"
---------- ครับ
แต่คำกล่าว ทั้ง 2 ปรฌยคนี้ กล่าวแบบความจริงสมติ(คำพูดแบบที่ชาวโลกเข้าใจ" ผสมกับคำพูดแบบแสดง ความจริงแท้(ปรมัตถ์)
ถ้ากล่าวแบบจริงแท้ (เพื่อไม่ให้สับสน) น่าจะกล่าวว่า การเกิด การดับ ของขันธ์ มีอยู่ แต่ผู้เกิดผู้ดับไม่มี)
(เพราะ ขันธ์ เกิดตามเหตุปัจจัย(ตัณหา )
และ ดับครั้งสุดท้ายในแต่ละภพตามปกติของกฏธรรมชาติกรรม(กรรมนิยาม)
สมาชิกหมายเลข 1353137
12 พฤศจิกายน 2565 เวลา 15:34:47 น.
ศาสนาพุทธ ปฏิบัติธรรม มหาสติปัฏฐาน 4 วิปัสสนากรรมฐาน
อนัตตาเป็นคำที่เข้าใจยาก การอธิบายเฉพาะความหมายตามตัวอักษรทำให้คนตีความไม่ตรงกัน
------- เข้าใจว่า อนัตตา อธิบายให้เข้าใจได้ 2 ลักษณะ ได้แก่
1. กายและจิต(ขันธ์5) เกิดเับตลอดเวลา
จิตเกิดดับ ในเวลาดีดนิ้วครั้ง้ดียว มากว่า ล้านบ้านครั้ง(แสนโกฏิขฯะ(จิตเกิดดับ1 ครั้ง เรียก 1 ขณะ)
(กาย (รูป มีอายุ 17 ขณะจิต จึงดับ)
การที่จิตและกายมีอายุสั้นมากๆๆๆๆ เข่นนี้ และเป็นจิตใหม่ตลอดเวลานี้
จึงไม่อาจนับว่าจิตใด เป็นตัวตนของใคร หรือตัวตนอะไรได้
2. กายและจิต(และเจตสิก(สิ่งที่เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิตแต่ละครั้ง(เวทนา สัญญา สังขารขันธ์)
(ขันธ์5)
เกิดจากเหตุปัจจัย(ตัณหา) และไม่มีเกิดขึ้นอีก เมื่อไม่มีตัณหาในจิต
สิ่งที่เกิดขึ้น จึงเป็นเพีบง ผลที่เกิดจากเหตุ เมื่อเหตุไม่มีแล้ว ก็ไม่มีผลเกิดขึ้นมาอีก
จึงไม่มี จิต(และกาย) ที่คงที่ ที่จะถือได้ว่าเป็นใครหรือตัวตนอะไร
.
แสดงความคิดเห็น
อนัตตา 1: การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่ แต่ไม่มีใครเวียนว่ายตายเกิด
ปลายทางของศาสนาพุทธคือรู้แจ้งอนัตตา เมื่อรู้แจ้งอนัตตาจึงรู้เห็นตามความเป็นจริง
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าใจคำว่าอนัตตาให้ถูกต้อง กระทู้นี้จะมายกตัวอย่างหนึ่งของอนัตตา
ขันธ์ห้าเป็นธาตุตามธรรมชาติ เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง และดับลงตามธรรมชาติ (อนิจจัง)
ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครบังคับควบคุม ไม่มีใครสิงอยู่ในขันธ์ห้า
เมื่อมีอวิชชาหลงยึดขันธ์ห้าเป็นตัวเราของเรา
คิดว่าขันธ์ห้าคือเรา เราคือขันธ์ห้า ขันธ์ห้ามีในเรา เรามีในขันธ์ห้า (สักกายทิฏฐิ)
เห็นการเกิดดับของขันธ์ห้าตัวเก่า และยึดขันธ์ห้าตัวใหม่ต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อเห็นขันธ์ห้าเกิดดับก็หลงคิดว่าตัวเราเกิดดับไปด้วย จึงเข้าใจผิดว่า "เรา" เวียนว่ายตายเกิด
การสืบเนื่องของจิตข้ามชาติที่เรียกว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีอยู่ มีจิตใหม่เกิดต่อจากจิตเก่าที่ดับไป
ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวิบากกรรมจากอดีตชาติ ไม่มีวาสนาความคุ้นเคยที่สั่งสมมา และไม่มีการระลึกชาติที่แล้ว
ประเด็นอยู่ที่ว่าการสืบเนื่องของจิตข้ามชาตินั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ไม่มีตัวเราสืบทอดจิตข้ามชาติ (อย่าจำผิดเป็น ตัวเราไม่ได้สืบทอดจิตข้ามชาติ เพราะไม่มีตัวเราตั้งแต่แรก)
เมื่อหลงผิดว่ามีตัวเราของเราในขันธ์ห้า ย่อมไม่พ้นจากการเข้าใจผิดว่าเราเวียนว่ายตายเกิด (เกิดดับตามขันธ์ห้า)
เมื่อใดเห็นว่าไม่มีตัวเราของเราในขันธ์ห้า เมื่อนั้นไม่มีเราเวียนว่ายตายเกิด (ซึ่งก็ไม่มีตั้งแต่แรกแต่เพิ่งรู้ว่าไม่มี)
"การเวียนว่ายตายเกิด" ไม่ใช่คำสำคัญ คำสำคัญอยู่ที่ "ตัวเรา"
ทุกอย่างล้วนเป็นอนัตตา หมายถึงธาตุตามธรรมชาติมีอยู่ แต่ไม่มีการยึดมั่นตัวตนในธาตุตามธรรมชาติ
ไม่มีเราในขันธ์ห้า ไม่มีเราในนิพพาน ไม่มีเราในอะไรหรือที่ไหนทั้งนั้น เมื่อไม่มีเราจึงไม่มีความยึดมั่นทั้งปวงในโลก
(ระวังสับสนกับนิรัตตา นิรัตตาคือการปฏิเสธการมีอยู่ของธาตุตามธรรมชาติ
เปรียบเหมือนโลกนี้คือความฝันหรือโปรแกรมจำลองในคอมพิวเตอร์)