วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 19

กระทู้คำถาม
วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์  และ  Q 


19

       เวลาใกล้ห้าทุ่มที่ป่าทั้งผืนถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงบ ไม่ต่างจากบ้านหลังนี้ที่ทุกคนต่างสลบไสลในห้องของตัวเอง คงมีแต่เพียงปกป้องเท่านั้น
ที่ตื่นอยู่ เขามองดูนาฬิกาข้อมือ ได้เวลาที่เขาจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจพิเศษแล้ว ชายหนุ่มค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนอย่างแผ่วเบา เดินออกจากห้อง
ตรงไปที่ประตูหน้าบ้านเพราะคนงานทั้งสองมีห้องพักอยู่ด้านหลัง การที่เขาออกประตูหน้าจะไม่ทำให้คนงานรู้หรือได้ยิน กลอนประตูถูกถอดอย่างเบาที่สุด

       ปกป้องซึ่งอยู่ในชุดดำพรางพร้อมกระเป๋าขนาดกลางสะพายติดตัวลงบันไดมาถึงพื้น เขาเดินตรงไปยังลานจอดมอเตอร์ไซค์ใต้ถุนบ้าน จากนั้นก็จูงมันออกมาจนพ้นเขตบ้านออกไปตามถนนจนกระทั่งไกลพอที่คนในบ้านจะไม่ได้ยินเสียงติดเครื่องยนต์

      ชายหนุ่มคิดถึงคำบอกเล่าของยูโซฟเกี่ยวกับเรื่องกลุ่มคนแปลกหน้าที่ลักลอบขึ้นฝั่ง มันเป็นสิ่งผิดปกติที่ผลักดันให้ปกป้องไม่อาจนิ่งนอนใจ
เขาจำเป็นต้องออกไปสังเกตการณ์ที่ชายฝั่งให้รู้ว่ามีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และคนเหล่านั้นคือพวกไหน 

     เขาถูกอบรมมาว่างานข่าวเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะมันหมายถึงจำนวนชีวิตที่สามารถรักษาไว้ได้ การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นหลายครั้ง จนทำให้
มีการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินนั้น ทางการต้องยอมรับว่าเป็นเพราะการข่าวยังอ่อน หากเจ้าหน้าที่รัฐได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากคนในพื้นที่แล้ว
คนเหล่านี้จะส่งสัญญาณเตือนให้รู้เป็นอย่างดีเมื่อมีการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้าย แต่ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่มีแต่การตั้งรับกับสูญเสียเท่านั้น สายสืบที่มี
อยู่ในพื้นที่ก็ยังไม่สามารถหาข่าวได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรง

     ดังนั้นปกป้องจึงต้องพยายามใกล้ชิดกับชาวบ้านให้มากที่สุด และเบาะแสที่เขารับทราบมาจากสภากาแฟเมื่อเช้า ก็เป็นสัญญาณเตือนให้เขาต้องออกมาพิสูจน์และรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด

     ปกป้องขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านถนนเล็กๆ ที่ผ่านกลางป่าตรงไปยังหมู่บ้านนาพญาที่จะพาเขาออกไปสู่ชายฝั่งทะเล  ที่เขาเลือกใช้เส้นทางนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเขา บางช่วงเขาจำเป็นต้องลัดเลาะไปตามสวนยางและสวนปาล์ม ซึ่งเป็นเส้นทางที่เขาศึกษามาแล้วอย่างชำนาญ เขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็สามารถมาถึงชายขอบหมู่บ้านนาพญา จุดที่เขาตั้งใจว่าจะเอามอเตอร์ไซค์มาจอดซ่อนไว้ นับจากนี้ไปอีก 200 เมตร เขาจะต้องเดินเท้าโดยลัดเลาะผ่านป่าจนทะลุออกไปยังแนวหาดทราย

      ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีแล้วที่จะเดินผ่านเส้นทางที่เป็นป่า เขาพยายามทำเวลาให้ถึงที่หมายก่อนเที่ยงคืนตามที่ยูโซฟบอกว่าเรือจะมาถึงเวลานั้น เมื่อระยะทางข้างหน้าเริ่มเห็นแนวของหาดทราย ปกป้องหาตำแหน่งที่จะซ่อนตัว เขาพกกล้องส่องทางไกลระบบอินฟราเรดติดตัวมาด้วย แม้คืนนี้จะเป็นคืนข้างแรมที่มีเพียงพระจันทร์เสี้ยวเล็กๆ แต่ก็สว่างพอทำให้มองเห็นความเคลื่อนไหวที่ชายหาดและทะเลได้ แต่การพก
กล้องอินฟราเรดติดตัวไว้ยามเมื่อออกมาสอดแนมตอนค่ำคืน ทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นในการปฏิบัติภารกิจ

      จากที่ซ่อนตัว เขาสามารถมองเห็นชายหาดในมุมกว้าง แต่คืนที่ไม่ได้มืดสนิทเช่นนี้มักไม่ใช่คืนที่จะมีการลักลอบทำสิ่งผิดกฎหมาย บางทีอาจจะไม่ใช่คืนนี้ เขาคิดอย่างกังวลว่างานครั้งนี้อาจจะเสียเที่ยวก็ได้

      เขามองผ่านกล้องส่องทางไกลออกไปในท้องทะเลเพื่อดูความเคลื่อนไหวอยู่สักพักแต่ยังไม่เห็นอะไร มีเพียงแต่ท้องทะเลที่เงียบสงบจากแรงลม 
เขานอนราบไปบนพื้นหญ้าที่สูงท่วมหัวในป่าสน สายตาจับจ้องความเคลื่อนไหวผ่านเลนส์กล้อง เขาหายใจอย่างแผ่วเบา

      เวลาผ่านไปไม่นาน ปกป้องเห็นความเคลื่อนไหวปรากฏขึ้น เรือประมงขนาดเล็กลำหนึ่งไม่ติดธงค่อยๆ แล่นเข้ามาจอดลอยลำห่างฝั่ง จอดแช่นานเหมือนรอเวลานัดหมาย ไม่นานก็มีเรือขนาดใกล้เคียงกันอีก 2 ลำตามมาจอดขนาบข้าง อึดใจต่อมาปกป้องก็ได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเลาะริมหาดเข้ามา
จอดรอห่างฝั่งเล็กน้อย ปกป้องเบนกล้องไปยังทิศทางนั้น เป็นรถกระบะขนาดหกล้อสองคันท้ายกระบะคลุมด้วยผ้าใบมิดชิด เขาเห็นกลุ่มคน 3 คนก้าว
ลงจากรถมายืนรอพร้อมส่งสัญญาณไฟฉายกระพริบไปยังเรือที่จอดรออยู่ จากนั้นเรือทั้ง 3 ลำจึงแล่นตรงเข้ามาใกล้ฝั่งมากที่สุดตรงที่ชายทั้งสามส่งสัญญาณ

      แล้วปกป้องก็ต้องใจเต้นแรงเมื่อเห็นว่ามีคนทยอยกระโดดลงจากเรือแล้วเดินลุยน้ำมาที่ชายหาด ทั้งหมดเป็นชายที่มีผิวสีคล้ำกว่าคนไทย บางคนนุ่งโสร่ง 

       ไม่รอช้า คนที่อยู่บนฝั่งรีบเข้าไปต้อนให้แต่ละคนขึ้นรถกระบะที่คลุมหลังคามิดชิดนั้นโดยเร็ว สภาพที่แต่ละคนเดินมาขึ้นรถนั้นดูอิดโรยอ่อนเปลี้ย
มีคนหนึ่งที่ล้มลงคล้ายไม่มีแรงจะทรงตัว เพื่อนๆ ทำท่าจะเข้าช่วย แต่ถูกคนคุมใช้ไม้ในมือฟาดและจี้ให้ออกเดิน ส่วนคนที่ล้มลงนั้น ไม่มีใครกล้าเข้าช่วยอีกเพราะกลัวถูกตี จากนั้นคนคุมก็ใช้เท้าเขี่ย กระตุ้นให้คนที่ล้มลงลุกขึ้นมาได้เอง ช่างเป็นภาพที่ไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง คนเหล่านี้ไม่ต่างจากทาสที่เขาเคยเห็นในหนังสมัยก่อน  

      แล้วปกป้องก็ต้องขนลุกซู่ไปทั้งตัวเมื่อเห็นภาพของชายสองคนช่วยกันหามร่างๆ หนึ่งลงมาจากเรือลำสุดท้ายอย่างทุลักทุเล แล้วนำมาวางแปะบนชายหาด มีอีกคนเข้าไปคุกเข่าและร่ำไห้อยู่ข้างๆ ร่างนั้น พร้อมกับพยายามเขย่าตัว

      หมายความว่าอย่างไรกันนี่ นั่นคือคนตายใช่ไหม ตายระหว่างทางอย่างนั้นหรือ  !

      ปกป้องเห็นผู้คุมคนหนึ่งเดินกลับไปที่รถกระบะแล้วหยิบพลั่วออกมาสองอัน นำมายื่นให้กับคนสองคนที่แบกศพลงมาจากเรือ ให้ทำการขุดหลุมฝังศพเพื่อนที่ตายคนนั้น ผู้คุมเดินนำคนทั้งสองให้แบกศพมุ่งหน้ามาทางเขา

     ปกป้องรีบตัดสินใจว่าเขาจะซุ่มอยู่ตรงนี้อีกไม่ได้แล้ว ด้วยความว่องไวเขารีบหลีกเร้นกายออกไปยังต้นสนขนาดใหญ่แล้วปีนขึ้นไปอยู่บนนั้นอย่างรวดเร็วและเงียบกริบราวกับการเคลื่อนไหวของนินจา 

     จากชัยภูมิบนคาคบไม้ เขาสามารถมองเห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นกำลังช่วยกันขุดหลุมฝังศพผู้เคราะห์ร้ายในบริเวณป่าสนแห่งนี้

     “ทำไมมันไม่ทิ้งศพลงทะเลให้รู้แล้วรู้รอดไปวะ” หนึ่งในผู้คุมถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

     “ก็มันเพิ่งมาตายตอนเข้าใกล้ฝั่ง ขืนทิ้งลงทะเล มันก็ลอยขึ้นอืดมาเป็นหลักฐานให้พวกเราโดนจับน่ะซิ พูดโง่ๆ ไปได้”

     “แล้วนี่เราจะต้องมาคอยฝังพวกมันทุกรอบเลยหรือไง คราวที่แล้วก็ตายสองศพ เสียเวลา  ship หาย” 

     “เสียเวลาไม่เท่าเสียรายได้หรอกโว้ย ขาดทุนค่าหัวไปหนึ่งหัวแล้ว”

     “ไอ้พวกแขกตัวดำๆ อย่างนี้ กูนึกว่ามันจะอึด ที่ไหนได้ แค่ลงเรือมาไม่กี่วันก็ตายแล้ว แล้วแบบนี้มันจะขายแรงงานไหวหรือ”

     “ช่างแม่..งมัน เรามีหน้าที่ขนคน  ได้ค่าขนรายหัวก็จบ ไม่ต้องไปสนใจหรอกวะว่าพวกมันจะเป็นอย่างไรกันต่อไป”

     “คราวนี้ไม่มีผู้หญิงเหมือนคราวก่อนหรือ”

     “ทำไมวะ อยาก...หรือ”

    “เฮ้ย ของฟรี ใครๆ ก็ชอบ”

     แล้วต่างก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนานบนความทุกข์เดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ตาดำๆ ที่ต้องตกมาเป็นทาสแรงงาน

     ปกป้องขบกรามแน่นด้วยความแค้นเคืองคนใจบาปพวกนี้ เขามั่นใจเต็มร้อยแล้วว่าคนกลุ่มนี้คือพวกโรฮิงญา และสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าคือขบวนการค้ามนุษย์อย่างแน่นอน

     เหตุการณ์ทั้งหมด ปกป้องใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือจับภาพไว้ได้ แม้ภาพจะไม่ชัดนัก แต่ก็พอเห็นภาพรางๆและบ่งบอกได้ว่ามีเรือ กลุ่มคนและรถบรรทุกมารอรับ  และในภาพยังแนบตำแหน่งพิกัด GPS ไว้ได้อีกด้วย

     และนี่คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่เขาจะต้องรีบส่งให้หน่วยเหนือโดยด่วน วิษณุจะต้องพอใจกับข้อมูลนี้
 

      รุ่งเช้าวันถัดมา ปกป้องร้อนรนที่จะรีบส่งข่าวกลุ่มคนที่ลักลอบขึ้นฝั่งให้วิษณุทราบ เขาคิดว่าจะทำทีออกไปที่ตลาดอีกครั้งเพื่อไม่ให้คนในบ้านสงสัย

      ปกป้องเดินออกจากห้องก็เห็นเนตริยานั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวที่โต๊ะอาหาร

      “คุณ... วันนี้ผมจะออกไปธุระที่ตลาด คุณทานข้าวไปก่อนเลยนะ” ปกป้องพูดด้วยน้ำเสียงที่รีบร้อน ท่าทางที่เขาแสดงออกไม่เหมือนกับหลายๆ วันก่อนหน้านี้ที่มักจะอ่อนโยนและใส่ใจกับเนตริยามากกว่านี้

      เนตริยาไม่ได้พูดตอบอะไรก่อนจะเบือนหน้าหนีออกไป เกิดความรู้สึกแปลกๆ ในใจ คล้ายหงุดหงิดไม่พอใจที่เขาไม่อยู่ทานข้าวเช้าด้วยอีกครั้งแล้ว
นี่คงเป็นเพราะหล่อนเคยชินกับการที่ปกป้องคอยดูแลเอาอกเอาใจ ใช่หรือไม่ หญิงสาวพยายามสำรวจความรู้สึกของตัวเอง แล้วต้องข่มใจบอกตัวเองว่าหล่อนไม่ควรแคร์เขาหรือใส่ใจว่าเขาจะไปที่ใด จะอยู่ทานข้าวด้วยหรือไม่ ที่ผ่านมา ที่โจรมานั่งร่วมโต๊ะคอยดูแลตักอาหารให้เชลยก็แปลกมากแล้ว

      ท่าทางเมินๆ ไม่พูดของหญิงสาวเช่นนั้น ทำไมปกป้องจะไม่รู้ว่าหล่อนงอน ในส่วนลึกจิตใจนั้นเขารู้ดีว่าการทำท่าเฉยเมยไม่ใส่ใจหล่อนแบบนั้นอาจทำให้หล่อนรู้สึกผิดแปลกไปจากเคย แต่เวลาแบบนี้ เวลาที่เขาต้องมุ่งทำงานสำคัญเป็นหลัก ทำให้เขาต้องละเลยหล่อนไปอย่างช่วยไม่ได้ 

     “กว่าผมจะเสร็จธุระก็ประมาณสายๆ หากคุณต้องการอะไร เรียกนาดีร์ได้นะ อ้อ เขากำลังเตรียมจัดอาหารเช้าขึ้นมาให้คุณ” 

     ปกป้องพูดเสร็จก็เดินลงบันไดลงไปชั้นล่าง โดยที่ไม่ได้หันมาสบตาหล่อน หากเพียงเขาหันมามองสักนิด เขาจะสังเกตเห็นความเหงาในดวงตาคู่นั้น  

      นาดีร์นำอาหารเช้ามาเสิร์ฟให้แล้ว แต่เนตริยาได้แต่เขี่ยอาหารในจานไปมาพร้อมกับสายตาเหม่อลอย ยามที่เขาเดินจากไปแล้วมีเสียงมอเตอร์ไซค์ขับออกไปจากบ้าน หล่อนอดที่จะใจหายไม่ได้ 

      ความคิดนี้ทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่ใช่แล้ว เธอต้องไม่คิดแบบนี้ แล้วพยายามคิดถึงเหตุผลที่เธอมาที่นี่เพราะเหตุใด หญิงสาวต้องพยายาม
เตือนใจตัวเองว่าเขาเป็นโจรที่ลักพาตัวเธอมา เธอต้องไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเขา แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาจะได้เห็นสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ใช่เพื่อตัวเองเลยสักครั้ง เขาเสียสละเพื่อผู้อื่นมาตลอด นอกจากนี้หล่อนยังรู้ถึงพื้นฐานชีวิตของปกป้องว่าเคยทำอะไรมา เรียนจบอะไรมา เคยเป็นข้าราชการด้วยซ้ำ ไม่ใช่โจรโดยสันดานแม้แต่น้อย   

      และเนตริยาก็ยังต้องเตือนใจให้คิดถึงเรื่องที่หล่อนถูกปกป้องลักพาตัวมาเพื่อเรียกค่าไถ่ เรียกเงินจากครอบครัวของหล่อน ครอบครัวที่แค่พอมีกินไม่ได้ร่ำรวยแม้แต่น้อย นี่พ่อแม่หล่อนจะต้องเดือดร้อนวิ่งวุ่นหาเงินมากมายเท่าไหร่มาไถ่ตัวหล่อน 

     คิดแล้วให้โกรธแค้นผู้ชายคนนี้ หล่อนจะต้องโกรธเกลียดเขาจึงจะถูก ไม่ใช่มามีความรู้สึกดีๆ ให้โจรที่ลักพาตัวเธอมา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่