คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
บริบทเปลี่ยนไปตามยุคสมัยครับ ในที่นี้ขอเเน้นเฉพาะเมืองในการควบคุมของอยุทธยาโดยตรง ไม่รวมประเทศราช
ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุทธยาถึงกรุงศรีอยุทธยาตอนต้น รูปแบบการปกครองนั้นมีความใกล้เคียงกับ "นครรัฐ" (city-state) หรือที่นักประวัติศาสตร์บางคนใช้คำว่า "รัฐแว่นแคว้น" (Chartered States) คือมีรัฐเล็กจำนวนมากที่อยู่ในอาณัติของรัฐใหญ่ เช่น กรุงศรีอยุทธยาเป็นเจ้าอธิราชเหนือรัฐอื่นๆ ที่มีสามนตราชหรือเจ้าขัณฑสีมาที่มีอำนาจเต็มเป็นผู้ปกครอง เช่น ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) มีสุพรรณภูมิและลพบุรีปกครองโดยสามนตราชที่เป็นพระญาติ มีพญาประเทศราช 16 เมืองคือ เมืองมะละกา เมืองชวา เมืองตะนาวศรี เมืองนครศรีธรรมราช เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลำเลิง เมืองสงขลา เมืองจันทบูร เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิจิตร เมืองกำแพงเพ็ชร เมืองนครสวรรค์ เป็นเมืองขึ้น
เดิมในสมัยอยุทธยาตอนต้นที่อยุทธยายังแผ่ขยายอาณาเขตไปไม่กว้างมาก มีอำนาจปกครองเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาภาคกลาง ปรากฏว่าเมืองนครศรีธรรมราช หรือเมืองเหนือเช่น พิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร ยังถูกจัดเป็นเมืองประเทศราชอยู่ ในสมัยนั้นจึงเข้าใจว่ายังมีกษัตริย์ปกครองเมืองตนเองอยู่ และมีการสืบตระกูลในเชื้อสายของตนเอง
แม้ต่อมาอยุทธยาจะขยายอำนาจไปครอบครองหัวเมืองเหล่านี้ไว้ได้ หัวเมืองเหล่านี้ก็ยังคงมีกษัตริย์ปกครองตนเองโดยยอมอยู่ใต้อำนาจกษัตริย์อยุทธยาอีกต่อหนึ่ง เช่น ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าสามพญา) หัวเมืองฝ่ายเหนือต่างมีเจ้าปกครองโดยอยู่ใต้อำนาจอยุทธยาอีกต่อหนึ่ง ได้แก่ พระมหาธรรมราชาธิราช (พรญาบาลเมือง) เจ้าเมืองพิษณุโลก พรญารามราชเจ้าเมืองสุโขทัย พรญาเชลียงเจ้าเมืองสวรรคโลก และพรญาแสนสอยดาวเจ้าเมืองกำแพงเพชร นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติ เพราะพระราชเทวีของสมเด็จพระบรมราชาธิราชเป็นพี่น้องกับพรญาบาลเมือง และเป็นพระมารดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ
ช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 ราวรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ศูนย์อำนาจขนาดใหญ่รอบนอกที่เคยเป็นประเทศราชถูกผนวกเข้ามาเป็น "เมืองพญามหานคร" แยกออกมาจาก "เมืองประเทศราช" มีเขตอิทธิพลขยายออกไปกว้างขวางมากขึ้นกว่าในช่วงอยุทธยาตอนต้น
กฎมณเฑียรบาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ กล่าวถึงพญามหานครถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา 8 เมือง คือ พิษณุโลก ศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก) สุโขทัย กำแพงเพชร นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ตะนาวศรี ทวาย จากการตรวจสอบหลักฐานพบว่าในสมัยอยุทธยาตอนกลาง ตำแหน่ง "พญามหานคร" ผู้ปกครองเมืองมักเป็นพระราชวงศ์หรือขุนนางผู้ใหญ่คนสำคัญ
กฎมณเฑียรบาลยังกล่าวถึงพระราชกุมารที่เกิดจากลูกหลวงได้กินเมืองเอก พระราชกุมารที่เกิดจากหลานหลวงได้กินเมืองโท เมืองลูกหลวงคือ พิษณุโลก สวรรคโลก กำแพงเพชร ลพบุรี สิงห์บุรี เมืองหลานหลวงคือ อินทร์บุรี พรหมบุรี มีการวิเคราะห์การแบ่งเมืองชั้นเอกชั้นโทในยุคนั้นอาจยังไม่เหมือนในสมัยหลัง โดยตามกฎมณเฑียรบาลเมืองลูกหลวงน่าจะเป็นเมืองชั้นเอก เมืองหลานหลวงเป็นเมืองชั้นโท แสดงให้เห็นว่ากรุงศรีอยุทธยาพยายามแทรกแซงการปกครองหัวเมืองเหนือด้วยการส่งเชื้อสายราชวงศ์ของตนเองไปปกครองเมืองแทนเจ้าดั้งเดิม
พระราชบัญญัติในสมัยรัชกาลที่ 1 อ้างถึง “กำหนดกฎมนเทียรบาลกระษัตรแต่ปางก่อน” ว่ามีเมืองพญามหานคร 16 เมือง (เข้าใจว่าเพิ่มขึ้นหลังรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ) ได้แก่ พิษณุโลก ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร ตาก นครราชสีมา พิชัย เพชรบูรณ์ ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง พัทลุง สงขลา ถลาง จันทบูร นครศรีธรรมราช ตะนาวศรี ทวาย (ควรจะมีสุโขทัยด้วย) โดยกำหนดว่าเมืองเหล่านี้ให้ “อนุวงษราชวงษ” เป็นพญามหานครครอบครองเป็นเจ้าของ จึงแสดงว่าผู้ปกครองเมืองเหล่านี้เป็นเจ้าหรือเชื้อสายเจ้า (พบว่ามีขุนนางด้วย) แต่มาจากการแต่งตั้งของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ไม่ได้สืบตระกูลโดยอัตโนมัติเหมือนอย่างประเทศราชในอดีต
เมืองพญามหานครหลายเมืองยังพบหลักฐานว่ามีเจ้านายระดับสูงปกครองอยู่หลังรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ โดยเฉพาะเมืองพิษณุโลกที่เป็นเมืองระดับเอกอุของฝ่ายเหนือ ยังมีพระราชวงศ์เป็นพระมหาอุปราชปกครองหลายรัชกาล
สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถยังทรงจัดตำแหน่งข้าราชการและระบบการปกครองหัวเมืองใหม่ คือการบัญญัติพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและนาทหารหัวเมือง โดยมีตำแหน่งเจ้าเมือง และผู้รั้งเมืองที่ส่วนกลางเป็นผู้แต่งตั้งโดยตรง ไม่ได้เป็นระบบกึ่งนครรัฐที่มีกษัตริย์สืบตระกูลแบบในอดีต ทำให้ราชสำนักส่วนกลางเข้าไปมีอำนาจควบคุมหัวเมืองโดยตรง แม้ว่าในช่วงแรกพญามหานครยังมีอำนาจมาก แต่กรุงศรีอยุทธยาก็ค่อยๆ พัฒนาจากสภาพ "รัฐแว่นแคว้น" มาเป็น "รัฐราชอาณาจักร" ที่ราชธานีสามารถแผ่ขยายอำนาจผนวกดินแดนที่เคยเป็นนครรัฐต่างๆ เข้ามาอยู่ในอำนาจภายใต้การควบคุมโดยตรงได้
สภาพ "รัฐราชอาณาจักร" เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนหลังช่วงเสียกรุง พ.ศ. 2112 เป็นต้นมา เพราะความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์สุพรรณภูมิและราชวงศ์พระร่วงจบสิ้นลง มีการถ่ายเทประชากรจากหัวเมืองเหนือขึ้นมาอยู่ที่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามากขึ้น ภาวะสงครามต่อเนื่องทำให้ส่วนกลางสามารถควบคุมกำลังพลได้สะดวกขึ้น เมื่อมีการฟื้นฟูหัวเมืองฝ่ายเหนือที่ถูกทิ้งร้างไปก็สามารถตั้งขุนนางจากส่วนกลางไปปกครองโดยตรง ทำให้การปกครองมีเอกภาพมากขึ้น
หลักฐานชั้นต้นของดัตช์สมัยพระเจ้าปราสาททองระบุว่า หัวเมืองเหนือทั้งสี่คือ พิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของราชอาณาจักร เป็นหัวเมืองใหญ่มีกำแพงเมืองแข็งแกร่ง เจ้าเมืองต้องเป็นพระราชวงศ์ หรือหากไม่ใช่ก็ต้องเป็นผู้ที่มีสถานะยิ่งใหญ่ทรงอิทธิพลสูงสุดเท่านั้น แต่พระเจ้าปราสาททองเองก็ทรงมีนโยบายลดอำนาจหัวเมืองลงมาก เช่น สลับตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นประจำ หรือให้เจ้าเมืองลงมาประจำการในราชธานีและให้ขุนนางที่มีอำนาจน้อยกว่าไปรักษาเมืองแทน ทำให้อิทธิพลของพญามหานครเสื่อมลงไป จนในสมัยอยุทธยาตอนปลายก็ไม่พบหลักฐานว่ามีการตั้งพระราชวงศ์ที่มีอำนาจเต็มไปปกครองเมืองอีกแล้ว
สมัยอยุทธยาตอนปลาย การปกครองหัวเมืองถูกควบคุมโดยราชธานีอย่างใกล้ชิดมากขึ้น มีการแบ่งหัวเมืองฝ่ายเหนือ หัวเมืองฝ่ายใต้ และหัวเมืองชายทะเลให้อัครมหาเสนาบดีในกรุงรับผิดชอบดูแล มียกกระบัตรเมืองที่เป็นผู้ตรวจราชการเมืองที่กรมวังแต่งตั้ง สามารถใช้ตราเสนาบดีกระทรวงต่างๆ สั่งการหัวเมืองเรียกเก็บภาษีอากรส่วยบรรณาการสำหรับราชการ เรียกเกณฑ์ไพร่พล เรียกคู่ความพิจารณาอรรถคดี ราชสำนักมีการออกกฎหมายหรือพระราชกำหนดต่างๆ ในการควบคุมหัวเมืองหลายอย่าง เช่น การห้ามเจ้าเมืองไปมาหาสู่กันเองเพื่อป้องกันการซ่องสุมอำนาจ ห้ามเจ้าเมืองเข้ากรุงหากไม่มีท้องตราเรียกหา มีกฎระเบียบข้อบังคับและบทลงโทษสำหรับเจ้าเมืองที่คิดกบฏหลายประการ
เรียกได้ว่ากรุงศรีอยุทธยาตอนปลายพัฒนาการปกครองเป็น "รัฐราชอาณาจักร" ที่มีเอกภาพค่อนข้างชัดเจนแล้ว ซึ่งเป็นสภาพการปกครองที่ถูกส่งต่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในช่วงที่อยุทธยาสามารถควบคุมหัวเมืองได้มากแล้ว พระมหากษัตริย์สามารถแต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าเมืองหรือผู้รักษาเมืองตามพระราชวินิจฉัย จะตั้งขุนนางที่ทรงไว้วางพระทัยในราชธานีออกไปครองเมืองก็ได้ ตั้งตามที่มีขุนนางผู้ใหญ่เสนอมาก็ได้ หรือเห็นสมควรว่าเชื้อสายเจ้าเมืองคนเก่าหรือกรมการของเมืองนั้นควรได้ครองเมืองต่อจะตั้งให้สืบทอดตำแหน่งก็ได้ เสนาบดีผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบกำกับหัวเมืองอาจมีส่วนในการตั้งผู้รักษาเมืองได้เช่นกัน
ระบบขุนนางในสมัยอยุทธยาและรัตนโกสินทร์ไม่ได้มีกฎหมายบังคับตายตัวว่าให้สืบทอดในวงศ์ตระกูลเหมือนยุโรป แต่บ่อยครั้งที่คนให้วงศ์ตระกูลเดียวกันมักจะได้รับราชการในกรมกองเดียวกัน และอาจสืบทอดตำแหน่งไปสู่บุตรหลานได้ เพราะสมัยโบราณการเรียนรู้งานราชการมักสืบทอดกันในวงศ์ตระกูล ทำให้บุตรหลานขุนนางผู้ใหญ่มีโอกาสได้เรียนรู้งานราชการมากกว่าคนนอก
ตำแหน่งเจ้าเมืองบางเมืองมีการสืบทอดในวงศ์ตระกูล วิเคราะห์ว่าเพราะในสมัยโบราณที่อำนาจในการปกครองของราชธานียังไม่ได้ทั่วถึง จึงจำเป็นที่จะมอบหมายหน้าที่ดูแลหัวเมืองบางเมืองไว้ให้วงศ์ตระกูลที่มีบทบาทและอิทธิพลรวมถึงมีความชำนาญในพื้นที่ช่วยรับผิดชอบดูแลเมืองนั้นๆ และอาจมีปัจจัยเรื่องชาติพันธุ์ของประชากรมาเกี่ยวข้องด้วย
ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์ บันทึกว่าขุนนางทุกตำแหน่งสืบตระกูล แต่หากมีความผิดตระกูลนั้นก็อาจถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และมีน้อยตระกูลที่จะรักษาตัวอยู่ได้ยั่งยืน รัชกาลที่ 5 ก็มีพระราชนิพนธ์ว่า "ถ้าขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยผู้ใดมีบุตรดีที่ได้ทดลองแล้ว พระเจ้าแผ่นดินเห็นสมควรที่จะรับราชการสืบตระกูลบิดาได้ ก็เลื่อนยศให้สืบตระกูลบิดาไปบ้าง แต่ที่ไม่ได้สืบตระกูลบิดาเสียนั้นโดยมาก เพราะบุตรไม่ดีเหมือนบิดา"
เช่นเดียวกับตำแหน่งเจ้าเมืองที่วงศ์ตระกูลที่มีอิทธิพลในท้องถิ่นอาจได้สืบทอดตำแหน่งต่อ ลา ลูแบร์บันทึกว่า เมืองพิษณุโลก เมืองนครศรีธรรมราช เมืองตาก เมืองตะนาวศรี เมืองเพชรบุรี เป็นเมืองที่มีการสืบวงศ์ตระกูลต่อๆ กันมาบ้าง แต่กษัตริย์อยุทธยาทุกรัชกาลพยายามลดทอนอำนาจเจ้าเมืองลงเท่าที่สามารถทำได้ และมักแต่งตั้งข้าหลวงต่างพระองค์เป็น “ผู้รั้ง” ไปผลัดเปลี่ยนกันปกครองเมืองทุก 3 ปีแทน
ลา ลูแบร์ กล่าวว่าผู้รั้งมีอำนาจหน้าที่เหมือนเจ้าเมือง แต่ได้รับผลประโยชน์น้อยกว่า ผู้รั้งจะตั้งในสองกรณีคือ 1. เมื่อกษัตริย์ไม่ต้องการจะตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ 2. เจ้าเมืองมีเหตุจำเป็นต้องออกไปนอกเขตปกครองของตนจึงตั้งผู้รั้งรักษาการแทน ในกรณีแรกผู้รั้งได้รับผลประโยชน์เท่าที่กษัตริย์กำหนดให้ ในกรณีหลังผู้รั้งได้ผลประโยชน์ของเจ้าเมืองกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งเป็นของเจ้าเมือง
ตั้งแต่สมัยอยุทธยาที่ราชธานีกำหนดให้หัวเมืองอยู่ภายใต้การกำกับของเสนาบดีในราชธานี การแต่งตั้งเจ้าเมืองหรือกรมการเมืองแทบทุกตำแหน่งจึงต้องผ่านการรับรองจากเสนาบดีหรือเจ้ากรมในราชธานี ดังที่พระธรรมนูญสมัยพระเจ้าปราสาททอง (เนื้อหามีการแก้ไขในรัชกาลที่ 1) กำหนดว่าในพระราชโองการแต่งตั้งข้าราชการผู้มีความชอบไปรั้งหรือครองหัวเมือง หรือท้องตราที่ส่งไปยังหัวเมืองให้ตั้งเจ้าเมือง ปลัดเมือง รองปลัด ของเมืองต่างๆ ต้องประทับตราของเสนาบดีในพระราชโองการหรือท้องตราด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเมืองนั้นขึ้นอยู่กับกรมใด
เช่นเดียวกับพระราชกำหนดใหม่เรื่องระเบียบการตั้งกรมการชาวด่าน จุลศักราช 1164 (พ.ศ. 2345) สมัยรัชกาลที่ 1 กฎหมายสมัยรัชกาลที่ 1 กำหนดว่าตำแหน่ง ผู้รักษาเมือง ผู้รั้ง ปลัด รองปลัด เมืองขึ้นมหาดไทยให้มหาดไทยตั้ง เมืองขึ้นกลาโหมให้กลาโหมตั้ง เมืองขึ้นกรมท่าให้กรมท่าตั้ง
ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุทธยาถึงกรุงศรีอยุทธยาตอนต้น รูปแบบการปกครองนั้นมีความใกล้เคียงกับ "นครรัฐ" (city-state) หรือที่นักประวัติศาสตร์บางคนใช้คำว่า "รัฐแว่นแคว้น" (Chartered States) คือมีรัฐเล็กจำนวนมากที่อยู่ในอาณัติของรัฐใหญ่ เช่น กรุงศรีอยุทธยาเป็นเจ้าอธิราชเหนือรัฐอื่นๆ ที่มีสามนตราชหรือเจ้าขัณฑสีมาที่มีอำนาจเต็มเป็นผู้ปกครอง เช่น ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) มีสุพรรณภูมิและลพบุรีปกครองโดยสามนตราชที่เป็นพระญาติ มีพญาประเทศราช 16 เมืองคือ เมืองมะละกา เมืองชวา เมืองตะนาวศรี เมืองนครศรีธรรมราช เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลำเลิง เมืองสงขลา เมืองจันทบูร เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิจิตร เมืองกำแพงเพ็ชร เมืองนครสวรรค์ เป็นเมืองขึ้น
เดิมในสมัยอยุทธยาตอนต้นที่อยุทธยายังแผ่ขยายอาณาเขตไปไม่กว้างมาก มีอำนาจปกครองเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาภาคกลาง ปรากฏว่าเมืองนครศรีธรรมราช หรือเมืองเหนือเช่น พิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร ยังถูกจัดเป็นเมืองประเทศราชอยู่ ในสมัยนั้นจึงเข้าใจว่ายังมีกษัตริย์ปกครองเมืองตนเองอยู่ และมีการสืบตระกูลในเชื้อสายของตนเอง
แม้ต่อมาอยุทธยาจะขยายอำนาจไปครอบครองหัวเมืองเหล่านี้ไว้ได้ หัวเมืองเหล่านี้ก็ยังคงมีกษัตริย์ปกครองตนเองโดยยอมอยู่ใต้อำนาจกษัตริย์อยุทธยาอีกต่อหนึ่ง เช่น ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าสามพญา) หัวเมืองฝ่ายเหนือต่างมีเจ้าปกครองโดยอยู่ใต้อำนาจอยุทธยาอีกต่อหนึ่ง ได้แก่ พระมหาธรรมราชาธิราช (พรญาบาลเมือง) เจ้าเมืองพิษณุโลก พรญารามราชเจ้าเมืองสุโขทัย พรญาเชลียงเจ้าเมืองสวรรคโลก และพรญาแสนสอยดาวเจ้าเมืองกำแพงเพชร นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติ เพราะพระราชเทวีของสมเด็จพระบรมราชาธิราชเป็นพี่น้องกับพรญาบาลเมือง และเป็นพระมารดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ
ช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 ราวรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ศูนย์อำนาจขนาดใหญ่รอบนอกที่เคยเป็นประเทศราชถูกผนวกเข้ามาเป็น "เมืองพญามหานคร" แยกออกมาจาก "เมืองประเทศราช" มีเขตอิทธิพลขยายออกไปกว้างขวางมากขึ้นกว่าในช่วงอยุทธยาตอนต้น
กฎมณเฑียรบาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ กล่าวถึงพญามหานครถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา 8 เมือง คือ พิษณุโลก ศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก) สุโขทัย กำแพงเพชร นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ตะนาวศรี ทวาย จากการตรวจสอบหลักฐานพบว่าในสมัยอยุทธยาตอนกลาง ตำแหน่ง "พญามหานคร" ผู้ปกครองเมืองมักเป็นพระราชวงศ์หรือขุนนางผู้ใหญ่คนสำคัญ
กฎมณเฑียรบาลยังกล่าวถึงพระราชกุมารที่เกิดจากลูกหลวงได้กินเมืองเอก พระราชกุมารที่เกิดจากหลานหลวงได้กินเมืองโท เมืองลูกหลวงคือ พิษณุโลก สวรรคโลก กำแพงเพชร ลพบุรี สิงห์บุรี เมืองหลานหลวงคือ อินทร์บุรี พรหมบุรี มีการวิเคราะห์การแบ่งเมืองชั้นเอกชั้นโทในยุคนั้นอาจยังไม่เหมือนในสมัยหลัง โดยตามกฎมณเฑียรบาลเมืองลูกหลวงน่าจะเป็นเมืองชั้นเอก เมืองหลานหลวงเป็นเมืองชั้นโท แสดงให้เห็นว่ากรุงศรีอยุทธยาพยายามแทรกแซงการปกครองหัวเมืองเหนือด้วยการส่งเชื้อสายราชวงศ์ของตนเองไปปกครองเมืองแทนเจ้าดั้งเดิม
พระราชบัญญัติในสมัยรัชกาลที่ 1 อ้างถึง “กำหนดกฎมนเทียรบาลกระษัตรแต่ปางก่อน” ว่ามีเมืองพญามหานคร 16 เมือง (เข้าใจว่าเพิ่มขึ้นหลังรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ) ได้แก่ พิษณุโลก ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร ตาก นครราชสีมา พิชัย เพชรบูรณ์ ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง พัทลุง สงขลา ถลาง จันทบูร นครศรีธรรมราช ตะนาวศรี ทวาย (ควรจะมีสุโขทัยด้วย) โดยกำหนดว่าเมืองเหล่านี้ให้ “อนุวงษราชวงษ” เป็นพญามหานครครอบครองเป็นเจ้าของ จึงแสดงว่าผู้ปกครองเมืองเหล่านี้เป็นเจ้าหรือเชื้อสายเจ้า (พบว่ามีขุนนางด้วย) แต่มาจากการแต่งตั้งของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ไม่ได้สืบตระกูลโดยอัตโนมัติเหมือนอย่างประเทศราชในอดีต
เมืองพญามหานครหลายเมืองยังพบหลักฐานว่ามีเจ้านายระดับสูงปกครองอยู่หลังรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ โดยเฉพาะเมืองพิษณุโลกที่เป็นเมืองระดับเอกอุของฝ่ายเหนือ ยังมีพระราชวงศ์เป็นพระมหาอุปราชปกครองหลายรัชกาล
สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถยังทรงจัดตำแหน่งข้าราชการและระบบการปกครองหัวเมืองใหม่ คือการบัญญัติพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและนาทหารหัวเมือง โดยมีตำแหน่งเจ้าเมือง และผู้รั้งเมืองที่ส่วนกลางเป็นผู้แต่งตั้งโดยตรง ไม่ได้เป็นระบบกึ่งนครรัฐที่มีกษัตริย์สืบตระกูลแบบในอดีต ทำให้ราชสำนักส่วนกลางเข้าไปมีอำนาจควบคุมหัวเมืองโดยตรง แม้ว่าในช่วงแรกพญามหานครยังมีอำนาจมาก แต่กรุงศรีอยุทธยาก็ค่อยๆ พัฒนาจากสภาพ "รัฐแว่นแคว้น" มาเป็น "รัฐราชอาณาจักร" ที่ราชธานีสามารถแผ่ขยายอำนาจผนวกดินแดนที่เคยเป็นนครรัฐต่างๆ เข้ามาอยู่ในอำนาจภายใต้การควบคุมโดยตรงได้
สภาพ "รัฐราชอาณาจักร" เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนหลังช่วงเสียกรุง พ.ศ. 2112 เป็นต้นมา เพราะความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์สุพรรณภูมิและราชวงศ์พระร่วงจบสิ้นลง มีการถ่ายเทประชากรจากหัวเมืองเหนือขึ้นมาอยู่ที่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามากขึ้น ภาวะสงครามต่อเนื่องทำให้ส่วนกลางสามารถควบคุมกำลังพลได้สะดวกขึ้น เมื่อมีการฟื้นฟูหัวเมืองฝ่ายเหนือที่ถูกทิ้งร้างไปก็สามารถตั้งขุนนางจากส่วนกลางไปปกครองโดยตรง ทำให้การปกครองมีเอกภาพมากขึ้น
หลักฐานชั้นต้นของดัตช์สมัยพระเจ้าปราสาททองระบุว่า หัวเมืองเหนือทั้งสี่คือ พิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของราชอาณาจักร เป็นหัวเมืองใหญ่มีกำแพงเมืองแข็งแกร่ง เจ้าเมืองต้องเป็นพระราชวงศ์ หรือหากไม่ใช่ก็ต้องเป็นผู้ที่มีสถานะยิ่งใหญ่ทรงอิทธิพลสูงสุดเท่านั้น แต่พระเจ้าปราสาททองเองก็ทรงมีนโยบายลดอำนาจหัวเมืองลงมาก เช่น สลับตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นประจำ หรือให้เจ้าเมืองลงมาประจำการในราชธานีและให้ขุนนางที่มีอำนาจน้อยกว่าไปรักษาเมืองแทน ทำให้อิทธิพลของพญามหานครเสื่อมลงไป จนในสมัยอยุทธยาตอนปลายก็ไม่พบหลักฐานว่ามีการตั้งพระราชวงศ์ที่มีอำนาจเต็มไปปกครองเมืองอีกแล้ว
สมัยอยุทธยาตอนปลาย การปกครองหัวเมืองถูกควบคุมโดยราชธานีอย่างใกล้ชิดมากขึ้น มีการแบ่งหัวเมืองฝ่ายเหนือ หัวเมืองฝ่ายใต้ และหัวเมืองชายทะเลให้อัครมหาเสนาบดีในกรุงรับผิดชอบดูแล มียกกระบัตรเมืองที่เป็นผู้ตรวจราชการเมืองที่กรมวังแต่งตั้ง สามารถใช้ตราเสนาบดีกระทรวงต่างๆ สั่งการหัวเมืองเรียกเก็บภาษีอากรส่วยบรรณาการสำหรับราชการ เรียกเกณฑ์ไพร่พล เรียกคู่ความพิจารณาอรรถคดี ราชสำนักมีการออกกฎหมายหรือพระราชกำหนดต่างๆ ในการควบคุมหัวเมืองหลายอย่าง เช่น การห้ามเจ้าเมืองไปมาหาสู่กันเองเพื่อป้องกันการซ่องสุมอำนาจ ห้ามเจ้าเมืองเข้ากรุงหากไม่มีท้องตราเรียกหา มีกฎระเบียบข้อบังคับและบทลงโทษสำหรับเจ้าเมืองที่คิดกบฏหลายประการ
เรียกได้ว่ากรุงศรีอยุทธยาตอนปลายพัฒนาการปกครองเป็น "รัฐราชอาณาจักร" ที่มีเอกภาพค่อนข้างชัดเจนแล้ว ซึ่งเป็นสภาพการปกครองที่ถูกส่งต่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในช่วงที่อยุทธยาสามารถควบคุมหัวเมืองได้มากแล้ว พระมหากษัตริย์สามารถแต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าเมืองหรือผู้รักษาเมืองตามพระราชวินิจฉัย จะตั้งขุนนางที่ทรงไว้วางพระทัยในราชธานีออกไปครองเมืองก็ได้ ตั้งตามที่มีขุนนางผู้ใหญ่เสนอมาก็ได้ หรือเห็นสมควรว่าเชื้อสายเจ้าเมืองคนเก่าหรือกรมการของเมืองนั้นควรได้ครองเมืองต่อจะตั้งให้สืบทอดตำแหน่งก็ได้ เสนาบดีผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบกำกับหัวเมืองอาจมีส่วนในการตั้งผู้รักษาเมืองได้เช่นกัน
ระบบขุนนางในสมัยอยุทธยาและรัตนโกสินทร์ไม่ได้มีกฎหมายบังคับตายตัวว่าให้สืบทอดในวงศ์ตระกูลเหมือนยุโรป แต่บ่อยครั้งที่คนให้วงศ์ตระกูลเดียวกันมักจะได้รับราชการในกรมกองเดียวกัน และอาจสืบทอดตำแหน่งไปสู่บุตรหลานได้ เพราะสมัยโบราณการเรียนรู้งานราชการมักสืบทอดกันในวงศ์ตระกูล ทำให้บุตรหลานขุนนางผู้ใหญ่มีโอกาสได้เรียนรู้งานราชการมากกว่าคนนอก
ตำแหน่งเจ้าเมืองบางเมืองมีการสืบทอดในวงศ์ตระกูล วิเคราะห์ว่าเพราะในสมัยโบราณที่อำนาจในการปกครองของราชธานียังไม่ได้ทั่วถึง จึงจำเป็นที่จะมอบหมายหน้าที่ดูแลหัวเมืองบางเมืองไว้ให้วงศ์ตระกูลที่มีบทบาทและอิทธิพลรวมถึงมีความชำนาญในพื้นที่ช่วยรับผิดชอบดูแลเมืองนั้นๆ และอาจมีปัจจัยเรื่องชาติพันธุ์ของประชากรมาเกี่ยวข้องด้วย
ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์ บันทึกว่าขุนนางทุกตำแหน่งสืบตระกูล แต่หากมีความผิดตระกูลนั้นก็อาจถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และมีน้อยตระกูลที่จะรักษาตัวอยู่ได้ยั่งยืน รัชกาลที่ 5 ก็มีพระราชนิพนธ์ว่า "ถ้าขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยผู้ใดมีบุตรดีที่ได้ทดลองแล้ว พระเจ้าแผ่นดินเห็นสมควรที่จะรับราชการสืบตระกูลบิดาได้ ก็เลื่อนยศให้สืบตระกูลบิดาไปบ้าง แต่ที่ไม่ได้สืบตระกูลบิดาเสียนั้นโดยมาก เพราะบุตรไม่ดีเหมือนบิดา"
เช่นเดียวกับตำแหน่งเจ้าเมืองที่วงศ์ตระกูลที่มีอิทธิพลในท้องถิ่นอาจได้สืบทอดตำแหน่งต่อ ลา ลูแบร์บันทึกว่า เมืองพิษณุโลก เมืองนครศรีธรรมราช เมืองตาก เมืองตะนาวศรี เมืองเพชรบุรี เป็นเมืองที่มีการสืบวงศ์ตระกูลต่อๆ กันมาบ้าง แต่กษัตริย์อยุทธยาทุกรัชกาลพยายามลดทอนอำนาจเจ้าเมืองลงเท่าที่สามารถทำได้ และมักแต่งตั้งข้าหลวงต่างพระองค์เป็น “ผู้รั้ง” ไปผลัดเปลี่ยนกันปกครองเมืองทุก 3 ปีแทน
ลา ลูแบร์ กล่าวว่าผู้รั้งมีอำนาจหน้าที่เหมือนเจ้าเมือง แต่ได้รับผลประโยชน์น้อยกว่า ผู้รั้งจะตั้งในสองกรณีคือ 1. เมื่อกษัตริย์ไม่ต้องการจะตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ 2. เจ้าเมืองมีเหตุจำเป็นต้องออกไปนอกเขตปกครองของตนจึงตั้งผู้รั้งรักษาการแทน ในกรณีแรกผู้รั้งได้รับผลประโยชน์เท่าที่กษัตริย์กำหนดให้ ในกรณีหลังผู้รั้งได้ผลประโยชน์ของเจ้าเมืองกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งเป็นของเจ้าเมือง
ตั้งแต่สมัยอยุทธยาที่ราชธานีกำหนดให้หัวเมืองอยู่ภายใต้การกำกับของเสนาบดีในราชธานี การแต่งตั้งเจ้าเมืองหรือกรมการเมืองแทบทุกตำแหน่งจึงต้องผ่านการรับรองจากเสนาบดีหรือเจ้ากรมในราชธานี ดังที่พระธรรมนูญสมัยพระเจ้าปราสาททอง (เนื้อหามีการแก้ไขในรัชกาลที่ 1) กำหนดว่าในพระราชโองการแต่งตั้งข้าราชการผู้มีความชอบไปรั้งหรือครองหัวเมือง หรือท้องตราที่ส่งไปยังหัวเมืองให้ตั้งเจ้าเมือง ปลัดเมือง รองปลัด ของเมืองต่างๆ ต้องประทับตราของเสนาบดีในพระราชโองการหรือท้องตราด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเมืองนั้นขึ้นอยู่กับกรมใด
เช่นเดียวกับพระราชกำหนดใหม่เรื่องระเบียบการตั้งกรมการชาวด่าน จุลศักราช 1164 (พ.ศ. 2345) สมัยรัชกาลที่ 1 กฎหมายสมัยรัชกาลที่ 1 กำหนดว่าตำแหน่ง ผู้รักษาเมือง ผู้รั้ง ปลัด รองปลัด เมืองขึ้นมหาดไทยให้มหาดไทยตั้ง เมืองขึ้นกลาโหมให้กลาโหมตั้ง เมืองขึ้นกรมท่าให้กรมท่าตั้ง
แสดงความคิดเห็น
เจ้าเมืองในสมัยอยุธยา สามารถแต่งตั้งทายาทได้หรือเปล่าครับ
ถ้าเกิดไม่ได้ หากเจ้าเมืองเสียชีวิต ตำแหน่งก็จะว่างไปเลย จนกว่าพระมหากษัตริย์จะแต่งตั้งให้แบบนี้หรือเปล่าครับ