เราผิดมากใช่หรือเปล่า

เรารู้จักกับแฟน เดือนมิถุนายน 2562 ผ่านทาง facebook ซึ่งเรายอมรับว่าเราเป็นคนไปจีบเขาเอง แต่ตอนที่เริ่มคุยกันเราก็ถามเขาแล้วนะว่า เขามีแฟนอยู่ไหม เขาก็ตอบเรามาว่า แยกกันอยู่ ไม่มี ซึ่งเราก็เข้าใจว่าเขาไม่มีแฟนจริงๆ เพราะว่าเปิดวีดีโอคอลคุยกันทุกคืน คาสายกันทุกคืนจนหลับ เราก็ไม่เห็นแฟนเขา หลังจากนั้น 2-3 เดือนก็มีการนัดเจอกัน แล้วก็เกิดมีอะไรกันขึ้นมา ความสำคัญของเราก็ยังราบรื่นไปได้ด้วยดี เขาเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดทุกเดือน โดยให้เหตุผลว่าต้องกลับไปดูแม่ที่ต่างจังหวัด ซึ่งเราก็ไม่เคยก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวของเขา จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2562 เพื่อนเขาได้แท็กรูปเด็กผู้หญิงแรกคลอดคนนึง หน้าตาเหมือนเขามาก เราก็ถามเขาว่าเป็นลูกของเขาหรือเปล่า เขาก็ตอบเรามาว่าเป็นเด็กในแคมป์ของคนงานก่อสร้าง ไม่ใช่ลูกของเขา แล้วเขาก็ลบแท็กนั้นทิ้ง เราก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่ง ต้นเดือนธันวาคม ภรรยาเขาเดินทางลงมาจากต่างจังหวัดพร้อมลูก เราก็ทำอะไรไม่ถูก ภรรยาเขาลงมาแค่วันเดียว ทะเลาะกันแล้วก็กลับต่างจังหวัดไป โดยที่แฟนเราเขาพูดกับภรรยาเขาว่า เขาเลือกที่จะอยู่กับเราและขอเลิกกับภรรยา ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงในเวลานั้น หลังจากนั้นผ่านไปได้ 2 สัปดาห์ เขาก็บ่นกับเราว่าที่ทำงานที่เขาทำอยู่ กดดันมาก เขาอยู่ที่นั่นไม่ได้แล้ว เพราะว่าที่นั่นมีแต่ญาติของภรรยาเขา เราก็ตัดสินใจรับเขามาอยู่ด้วยที่นี่ โดยที่เราจะต้องเปิดห้อง ครั้งแรกในการเข้าอยู่ประมาณ 8,000 บาท เมื่อเขาย้ายมาเขาไม่มีวุฒิการศึกษา ไม่มีเอกสารใดๆติดตัวมาเลยเนื่องจากเขาทำงานก่อสร้างในเวลานั้น ทำให้เขาไม่ได้ทำงานเป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเราเป็นคนดูแลทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็ได้งานขายของ ทำได้สัปดาห์นึงก็ออก ไปสมัครงานโฮมโปรทำได้สัปดาห์นึงก็ออก ไปสมัครงานที่ไหนในช่วงนั้นก็ไม่ได้งานเลย สรุปแล้วว่างงานอยู่ประมาณ 1 ปี จนกระทั่งเราหางานให้เขาได้ เป็นพนักงานเซเว่น เขาทำเซเว่นได้ประมาณ 2 เดือน เขาก็ได้เลือกตำแหน่งขึ้นเป็นผู้ช่วย เราไม่เคยเห็นเงินเดือนของเขาเลย ไม่เคยถามถึง เดือนนึงจะให้เราอยู่ประมาณ 3,000 - 4,000 บาท และจ่ายค่าห้องให้ แต่เช้ามาเขาจะต้องรับเงินไปทำงานวันละ 100 บาท บุหรี่วันละ 1 ซอง แล้วกินข้าวกับเราสามเวลา ซึ่งเราก็ไม่เคยว่าอะไร หลังจากระยะเวลาผ่านไปประมาณ 1 ปี 6 เดือน ภรรยาเขากับเราก็มีการโทรคุยกัน ทำให้เรารู้ว่าเขายังติดต่อภรรยาเขาอยู่ตลอดเวลา และให้ความหวังกับภรรยาเขาว่าเขาจะกลับไปอยู่กับภรรยาและลูกเขาตลอดเวลา แต่เราก็ไม่ได้ถามเขาโดยตรง จนกระทั่ง กลางปี 2564 Facebook เราโดนปิด แล้วเราขายของออนไลน์ ลูกค้าโอนเงินมาแล้วแล้วไม่สามารถดูข้อมูลลูกค้าออกจากในเพจได้ ทำให้มีการฟ้องร้องกันซึ่งต้องใช้เงินชดเชยคือลูกค้า 25000 บาท เราก็ได้คุยกับเขาว่า ให้ทำบัตรเครดิตกู้ให้เราหน่อย เขาก็รับปากที่จะไปทำบัตรเครดิตนั้นให้ วันที่ 27 มิถุนายนเขาลาออกจากเซเว่น ให้เหตุผลว่าจะไปทำงานกับเพื่อนที่นครปฐม เป็นงานรับเหมาก่อสร้าง แต่เขาจะต้องเดินทางกลับไปต่างจังหวัดเพื่อไปเลือกตั้ง ลงคะแนนช่วยญาติพี่น้อง เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เขารับปากเราว่าวันที่ 30 เงินออกจะส่งค่าห้อง และถ้ากินมาให้ แล้วถ้าได้เงินกู้ก็จะส่งมาให้เราเอาไปเคลียร์ลูกค้าที่เป็นคดีความอยู่ หลังจากที่เขากลับบ้านไปวันที่ 27 เราไม่สามารถติดต่อเขาได้อีกเลย โทรไปก็ไม่รับสาย แชทไป 3 ถึง 400 ข้อความก็ไม่มีการตอบรับ อ่านแต่ไม่ตอบ เรารู้แล้วว่าเราโดนทิ้งแน่ๆ ไม่มีการส่งเงินใดๆมาให้ แต่ภรรยาเขาโทรมาหาเรา แล้วพูดกับเราว่า สามีจะกลับไปอยู่กับครอบครัวเขาแล้ว พวกเขาจะพากันไปอยู่ที่ใต้ สามีให้เงินเข้าเยอะแยะมากมาย ซึ่งเราก็เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เราจะต้องเจอ หลังจากนั้นผ่านไปได้อีก 3 วัน สามีเราตัดสินใจเดินทางกลับลงมา พร้อมเงินติดตัวแค่ 1,000 บาท ไม่มีค่าเช่าบ้าน ไม่มีเงินกิน ไม่มีงานทำ จนผ่านไปได้อีก 1 เดือนเจ้าของห้องจะล็อคห้องแล้วเพราะไม่ได้จ่ายมา 2 เดือน เขาเลยตัดสินใจจะไปทำงานกับเพื่อนที่นครปฐม โดยให้เพื่อนเดินทางมาขนของ ในขณะนั้นเราทำงานอยู่ที่พระราม 2 เลิกงาน 6 โมงครึ่ง จะต้องขี่รถไปตรงแม็คโครนครปฐม ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ไปถึงที่พักประมาณ 20:00 น นอนประมาณ 5 ทุ่ม ตื่นตี 5 ครึ่งทุกวัน เพื่อจะเดินกะทางกลับมาทำงาน เราทำแบบนี้เป็นกิจวัตรอยู่ประมาณ 2 เดือน ในระหว่างที่เรายังเดินทางไปนครปฐม เรื่องคดีความบีบจำกัดมาแล้ว ทนายให้เวลาเรา 7 วันในการคืนเงิน เราจนทางออกเราเลยโทรกลับไปหาสามีเก่าซึ่งเป็นพ่อของลูก เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยที่เราบอกเขาว่าเราขอไปโทรศัพท์ เราไปยืนคุยอยู่หน้าเซเว่นประมาณ 10 นาที พอเรากลับมาแล้วโดนทำร้ายร่างกายตบตีสารพัด กระทืบสารพัด ด้วยข้อหาที่เราโทรกลับไปหาพ่อของลูก เราผิดด้วยหรือที่เราต้องหาทางเอาตัวรอด ในขณะที่เขาไม่ได้ช่วยอะไรเรา เงินที่กู้มาได้เอาให้เมียไปจนหมดโดยที่ไม่เหลือลงมาให้เรา หลังจากนั้นเขาย้ายงานกลับมาอยู่ที่คลองสาน เราก็ยังคงต้องเดินทางแบบนี้ทุกวัน เพียงแต่ระยะเวลามันลดลง จนกระทั่งต้นปี 2565 เขาย้ายที่ทำงานอีกครั้งมาทำงานที่พระราม 2 เราต้องหาเงินเช่าบ้านอีกครั้ง เป็นจำนวน 8,000 บาท ซึ่งเงินที่เขาให้เราอีกต้นเดือนให้ 2,000 บาท และวิกกลางเดือนให้ 4,000 บาทเป็นค่าใช้จ่ายโดยที่เขาจะเป็นคนจ่ายค่าห้องให้เราทั้งหมด ตลอดเวลาที่คบกันเขาไม่เคยซื่อสัตย์กับเราเลย แอบคุยกับคนนู้นคนนี้ตลอดเวลา จนมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 เราจับได้ว่าเขาแอบคุยกับผู้หญิงคนนึง ตอนนั้นด้วยความโมโหเราก็ไล่เขา เขาขอแก้ตัวว่าจะไม่ทำผิดอีก และแล้ววันที่ 26 ตุลาคมเราก็จับได้อีกว่าเขาทำเหมือนเดิม บอกกับทุกคนว่าเขาไม่มีครอบครัว เราก็เลยบอกเขาว่าถ้าไม่อยากอยู่กับเราก็ให้เขาย้ายไป อย่าหักหลังกันอย่าทรยศกันซ้ำๆ หลังจากนั้นเราก็ไม่คุยกับเขาอีกเลย จนวันที่ 30 ตุลาคม เขาเดินเข้าห้องพักมาแล้วพูดกับเราว่า เขาจะแยกห้อง แต่ปรากฏว่าเขามีเงินไม่พอที่จะแยก เขาก็เลยยังไม่ได้แยกห้องไป เขาพูดกับเราว่า อยู่กับเรา 3 ปี ชีวิตเขาไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย ทั้งๆที่เขามาอยู่กับเรา ทำศัลยกรรมเสริมจมูกมาแล้ว 2 ครั้ง กางเกงที่ใส่เป็นแม็คและรีวายทุกตัว มือถือใช้เครื่องละเป็นหมื่นทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยมีแบบนี้ กินอาหารภัตตาคาร กินอาหารตามร้านอาหาร แต่เขากลับบอกว่าชีวิตเราไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เขาไปพูดกับเพื่อนๆเขาว่า วันที่ 7 ที่จะถึงนี้เงินออกเขาจะย้ายห้อง เขาจะแยกไปอยู่คนเดียว เราก็เลยถามเขาว่า การแยกห้องคลังนี้คือเราเลิกกันเด็ดขาดแล้วใช่ไหม เขาบอกว่าไม่ได้เลิก แค่แยกกันอยู่ ในระหว่างที่แยกกันไปใหม่ๆอย่าเพิ่งทิ้งเขานะ รอให้เขาตั้งตัวได้ก่อน เรางงกับคำพูดของเขาว่ามันแปลว่าอะไร เพื่อนๆคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นยังไง เพื่อนๆคิดว่าเราควรจะเดินไปทางไหนต่อดี ถามว่าเรารักเขาไหมเรารักเขานะ ก็ถามใจตัวเองอีกมุมนึงคือถ้าเราไม่มีเขา เราก็จะสุขและสบายกว่านี้ ขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆหน่อยนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่