สวัสดีพี่น้องชาวม่าวทุกท่าน
วันนี้ป๋มจะมาแบ่งปันข้อมูลสำหรับท่านเพื่อเปงวิทยาทาน
สำหรับไม่ให้ท่านเข้าไปรับดอยลูกใหม่ ซึ่งป๋มเห็นว่างบการเงินที่ผมนำมาแชร์อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจกับท่านนักลงพุงทั้งหลายพอสมควร
สิ่งที่ป๋มค้นพบก็คือ นับตั้งแต่ปี 2559 เรื่อยมาจนปี 2562 Betagro มียอดขายที่ค่อนข้างจะคงที่อยู่ในระดับ 4 หมื่นล้างบาทถ้วนแล้ว เป็นเวลากว่า 4 ปี (ซึ่งปี 2562 เป็นปีก่อน Covid)
แต่ในช่วงปี 2563 - 2564 ยอดขายของบริษัทกลับเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดที่ในระดับ 10% หลังจากแช่ที่ราวๆ 4 หมื่นล้านบาทเป็นเวลา กว่า 4 ปี (ไม่แน่ใจว่าคนกักตุนอาหารเยอะช่วงโควิดหรือคนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น

)
จุดที่น่าสังเกตคือ อัตรากำไรสุทธิของ BTG นั้นไม่ค่อย Sustainable สักเท่าไหร่ ซึ่งก็พอเข้าใจว่าสินค้าเกษตรมันเป็น Commodities และมีเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น Seasonal และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งบริษัทอื่นๆในกลุ่มเดียวกันก็มีความคล้ายคลึงกัน(?) ที่กำไรปี 63 พุ่งปรี๊ด
แต่ๆๆๆ สำหรับการยื่นไฟล์ลิ่งนั้น เปงที่รู้กันดีในวงการโบรค ช่วงเวลา 3 ปีสุดท้ายก่อนจดทะเบียนคือการตกแต่งบัญชี ให้มีกำไรงดงาม ซึ่งผมก็ขออนุญาตโนคอมเม้นท์ในเรื่องนี้(แม้ว่าผมอยากจะคอมเม้นท์โค่ ด ๆ จากการที่ผมเคยผ่านการทำงานโบรคมาก็ตามที) จากประสบการณ์ ที่ปรึกษาทางการเงินของท่านเหล่านั้นก็จะพยายามแต่งสวยแต่งหล่อให้บริษัทกำไรสูงสุด
มาดูค่า ROA/ROE
ซึ่งเมื่อเทียบกับ CPF ที่มียอดขายสูงเป็นพิเศษในปี 2563 เช่นกัน
เปรียบเทียบกันหมัดต่อหมัด
CPF Marketcap อยู่ที่ 220,000 ล้านบาท มียอดขาย ในปี 2564 อยู่ในระดับ 5.12 แสนล้านบาท และมีกำไรราวๆ 1.3 หมื่นล้านบาท
BTG Marketcap อยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท (คิดที่ราคา 40 บาท) มียอดขาย ในปี 2564 อยู่ในระดับ 5.14 หมื่นล้านบาท และมีกำไรราว 1.4 พันล้านบาท
GFPT Marketcap อยู่ที่ 1.84 หมื่นล้านบาท มียอดขายในปี 2564ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท และ กำไรสุทธิ ราวๆ 209 ล้านบาท
โดยปกติการใช้ P/E ในระดับสูงๆ นั้นส่วนมากมักเกิดขึ้นกับบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของกำไรที่สม่ำเสมอในระดับ 20-30% เพราะเราจะสามารถ Predict Forward P/E ในอนาคตได้ เพราะในอนาคต P/E จะลดต่ำลงเรื่อยๆจากอัตราการเติบโตของกำไร อย่างพวก Tech อเมริกาหลายบริษัท 50 เท่า หรือ เป็นร้อยเท่าก็มี แต่บริษัทดังกล่าวมีการเติบโตของรายได้ / กำไรในรูปแบบ Exponential
ส่วนบริษัทที่มียอดขายค่อนข้างคงตัวแล้ว ทั่นนักลงพุงที่ชาญฉลาดของผม จงปายวิแคะต่อกันเอง จุ๊บุๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น หุ้น Ipo นั้นมีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งที่มีอนาคตมีการเติบโตของกำไรจริงๆ ซึ่งผมก็ไม่อยากจะทำให้พวกท่านเข็ดขยาดกับหุ้น ipo เพียงแต่จะแนะนำและเตือนให้เทรดด้วยความระมัดระวัง
สำหรับผมหุ้นสินค้าเกษตรจัดเป็น อะไรที่ Seasonal และท่านสามารถเลือกสรรค์ซื้อได้ในช่วงเวลาที่กำไรปรับตัวลดลง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
สำหรับท่านนักลงพุงที่เหงา อยากหาเพื่อนคุยในยามเทรดสามารถทัก DM มาพูดคุยกันได้ที่
https://www.facebook.com/Alohainvest/
ช่วงนี้ไม่ได้ลงคอนเท้นท์อะไรมากมายเพราะกำลังหา Passion อยู่ ขรี้เกียจฮับ 55555555555
[เปิดเผยงบที่แท้ทรู 5 ปีของ หมูอนามัยเบทาโกร] BTG ใครจะเข้าไปเก็งกำไรก็ดูตาม้าตาเรือกันด้วย
วันนี้ป๋มจะมาแบ่งปันข้อมูลสำหรับท่านเพื่อเปงวิทยาทาน
สำหรับไม่ให้ท่านเข้าไปรับดอยลูกใหม่ ซึ่งป๋มเห็นว่างบการเงินที่ผมนำมาแชร์อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจกับท่านนักลงพุงทั้งหลายพอสมควร
สิ่งที่ป๋มค้นพบก็คือ นับตั้งแต่ปี 2559 เรื่อยมาจนปี 2562 Betagro มียอดขายที่ค่อนข้างจะคงที่อยู่ในระดับ 4 หมื่นล้างบาทถ้วนแล้ว เป็นเวลากว่า 4 ปี (ซึ่งปี 2562 เป็นปีก่อน Covid)
แต่ในช่วงปี 2563 - 2564 ยอดขายของบริษัทกลับเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดที่ในระดับ 10% หลังจากแช่ที่ราวๆ 4 หมื่นล้านบาทเป็นเวลา กว่า 4 ปี (ไม่แน่ใจว่าคนกักตุนอาหารเยอะช่วงโควิดหรือคนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น
จุดที่น่าสังเกตคือ อัตรากำไรสุทธิของ BTG นั้นไม่ค่อย Sustainable สักเท่าไหร่ ซึ่งก็พอเข้าใจว่าสินค้าเกษตรมันเป็น Commodities และมีเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น Seasonal และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งบริษัทอื่นๆในกลุ่มเดียวกันก็มีความคล้ายคลึงกัน(?) ที่กำไรปี 63 พุ่งปรี๊ด
แต่ๆๆๆ สำหรับการยื่นไฟล์ลิ่งนั้น เปงที่รู้กันดีในวงการโบรค ช่วงเวลา 3 ปีสุดท้ายก่อนจดทะเบียนคือการตกแต่งบัญชี ให้มีกำไรงดงาม ซึ่งผมก็ขออนุญาตโนคอมเม้นท์ในเรื่องนี้(แม้ว่าผมอยากจะคอมเม้นท์โค่ ด ๆ จากการที่ผมเคยผ่านการทำงานโบรคมาก็ตามที) จากประสบการณ์ ที่ปรึกษาทางการเงินของท่านเหล่านั้นก็จะพยายามแต่งสวยแต่งหล่อให้บริษัทกำไรสูงสุด
มาดูค่า ROA/ROE
ซึ่งเมื่อเทียบกับ CPF ที่มียอดขายสูงเป็นพิเศษในปี 2563 เช่นกัน
เปรียบเทียบกันหมัดต่อหมัด
CPF Marketcap อยู่ที่ 220,000 ล้านบาท มียอดขาย ในปี 2564 อยู่ในระดับ 5.12 แสนล้านบาท และมีกำไรราวๆ 1.3 หมื่นล้านบาท
BTG Marketcap อยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท (คิดที่ราคา 40 บาท) มียอดขาย ในปี 2564 อยู่ในระดับ 5.14 หมื่นล้านบาท และมีกำไรราว 1.4 พันล้านบาท
GFPT Marketcap อยู่ที่ 1.84 หมื่นล้านบาท มียอดขายในปี 2564ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท และ กำไรสุทธิ ราวๆ 209 ล้านบาท
โดยปกติการใช้ P/E ในระดับสูงๆ นั้นส่วนมากมักเกิดขึ้นกับบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของกำไรที่สม่ำเสมอในระดับ 20-30% เพราะเราจะสามารถ Predict Forward P/E ในอนาคตได้ เพราะในอนาคต P/E จะลดต่ำลงเรื่อยๆจากอัตราการเติบโตของกำไร อย่างพวก Tech อเมริกาหลายบริษัท 50 เท่า หรือ เป็นร้อยเท่าก็มี แต่บริษัทดังกล่าวมีการเติบโตของรายได้ / กำไรในรูปแบบ Exponential
ส่วนบริษัทที่มียอดขายค่อนข้างคงตัวแล้ว ทั่นนักลงพุงที่ชาญฉลาดของผม จงปายวิแคะต่อกันเอง จุ๊บุๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น หุ้น Ipo นั้นมีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งที่มีอนาคตมีการเติบโตของกำไรจริงๆ ซึ่งผมก็ไม่อยากจะทำให้พวกท่านเข็ดขยาดกับหุ้น ipo เพียงแต่จะแนะนำและเตือนให้เทรดด้วยความระมัดระวัง
สำหรับผมหุ้นสินค้าเกษตรจัดเป็น อะไรที่ Seasonal และท่านสามารถเลือกสรรค์ซื้อได้ในช่วงเวลาที่กำไรปรับตัวลดลง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
สำหรับท่านนักลงพุงที่เหงา อยากหาเพื่อนคุยในยามเทรดสามารถทัก DM มาพูดคุยกันได้ที่
https://www.facebook.com/Alohainvest/
ช่วงนี้ไม่ได้ลงคอนเท้นท์อะไรมากมายเพราะกำลังหา Passion อยู่ ขรี้เกียจฮับ 55555555555