การลงทุนในตลาดหุ้น มีอยุ่ 2 อย่างที่เกิดขึ้น
1. ราคาหุ้น
2.ปริมาณการซื้อขาย
การพล็อตหรือสร้างกราฟแท่งเทียน ก็นำราคา open high low closed มาสร้าง
indicator ต่างๆ ก็ใช้ราคา และ ปริมาณการซื้อขายเป็นหลัก นำมาคำนวณใส่สูตรต่างๆเข้าไป
ดังนั้นการอ่านกราฟก็คือการอ่านแนวโน้มว่า แรงซื้อเข้ามาแบบนี้ ราคาแบบนี้
แสดงว่ามีคนเข้ามาเก็บต้นทุนเฉลี่ยของคนเก็บเท่านี้
การลงทุนย่อมต้องการกำไร ถ้าต้นทุนเท่านี้ต้องการกำไร 10 % ราคาควรเป็นเท่านี้
20,30..........................100,200,300%................. ราคาควรเป็นเท่านี้
กำไรที่ต้องการกี่ % บางทีก็มีเรื่องของพื้นฐานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยว่าเติบโตดีหรือไม่
ถ้าแรงขายเข้ามาแบบนี้ ราคาไหลลงอย่างนี้ แสดงว่าหุ้นน่าจะลงต่อเท่านั้นเท่านี้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อมีแรงซื้อเข้าเก็บหุ้นเพราะมองเห็นว่าหุ้นตัวนั้นจะดี
หรือต้องการแค่สร้างราคาเพื่อทำกำไรเป็นรอบๆในจังหวะที่ตลาดเอื้อ
ก็สามารถเปลี่ยนได้ทันทีหากมีเหตุการณ์มากระทบ
จากซื้ออยู่ดีๆมาเป็นขาย หรือ ขายอยู่ดีๆกลับลำมาซื้อ
ซึ่งก็จะทำให้กราฟเปลี่ยนไปในทันที แนวโน้มก็เปลี่ยนในทันทีเช่นกัน
การเคลื่อนไหวของราคา และแรงซื้อขาย ไม่ได้เกิดจากกราฟ (แต่มีส่วนช่วยในการตัดสินใจ)
การเคลื่อนไหวของกราฟเกิดจากราคาและแรงซื้อขาย
การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ดี ไม่ใช่ว่าวิเคราะห์ถูกว่าจะขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้
ไม่ใช่ว่าวิเคราะห์ถูกว่าจะลงไปเท่านั้นเท่านี้
ไม่ใช่ว่าทำกำไรได้ทุกครั้ง
แต่ควรรู้ว่าแนวโน้มเป็นอย่างไร จุดไหนควรเข้าซื้อ จุดไหนควรขาย
แรงซื้อส่วนใหญ่ซื้อ เราซื้อตาม แรงขายส่วนใหญ่ขาย เราขายตาม
ซื้อได้เร็วบ้าง ช้าบ้าง ขายได้เร็วบ้าง ช้าบ้าง
กำไรมากบ้างน้อยบ้าง กำหนดไม่ได้
สำคัญคือซื้อที่จุดเริ่ม ขายที่จุดสุดท้าย
อาจจะขาดทุนได้ แต่ส่วนใหญ่จะกำไร ถ้าการอ่านเทคนิคดีพอ
คนที่ทำกำไรในตลาดหุ้นได้ ไม่มีการเดาสุ่ม ไม่มีการใช้อารมณ์คาดว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ส่วนใหญ่มีหลักการไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่งในการกำหนดจุดซื้อ หรือขาย
สำหรับคนที่ดูพื้นฐานก็ว่ากันไป
สำหรับนักเทคนิค หรือ เก็งกำไร ก็ดูที่ราคา และแรงซื้อแรงขาย เป็นหลัก
นักเทคนิค ดูกราฟ
นักเก็งกำไร ดูกราฟในใจ
อย่าไปซีเรียสกับการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด
แต่ให้ระมัดระวัง เมื่อแนวโน้มเป็นขาลง
เพราะบางครั้งมันก็ลงไม่เยอะ แล้ว sideway เพื่อเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้น
แต่บางครั้งมันก็ลงจนร้องรู้งี้ ขายไปก่อนก็ดี
แนวโน้มขึ้นก็เช่นกัน บางครั้งก็ขึ้นน้อย แล้วก็เปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลง
set จะขึ้นเท่าไหร่ ลงเท่าไหร่ ก็คาดการณ์กันไป
แต่การดูจุดที่เปลี่ยนแนวโน้มว่าขึ้นหรือลง สำคัญกว่า
เมื่อมันเปลี่ยนเราก็เปลี่ยนตามมัน อย่าไปคิดว่ารอบนี้มันคงไม่ลงลึก
หรือรอบนี้มันคงไม่ขึ้นเยอะ
เพราะคิดผิดครั้งเดียวอาจหมายถึงดอยสิบปี หรือ ขายหมูยกเล้า
กราฟบอกแค่แนวโน้ม แรงซื้อแรงขายคือของจริง
1. ราคาหุ้น
2.ปริมาณการซื้อขาย
การพล็อตหรือสร้างกราฟแท่งเทียน ก็นำราคา open high low closed มาสร้าง
indicator ต่างๆ ก็ใช้ราคา และ ปริมาณการซื้อขายเป็นหลัก นำมาคำนวณใส่สูตรต่างๆเข้าไป
ดังนั้นการอ่านกราฟก็คือการอ่านแนวโน้มว่า แรงซื้อเข้ามาแบบนี้ ราคาแบบนี้
แสดงว่ามีคนเข้ามาเก็บต้นทุนเฉลี่ยของคนเก็บเท่านี้
การลงทุนย่อมต้องการกำไร ถ้าต้นทุนเท่านี้ต้องการกำไร 10 % ราคาควรเป็นเท่านี้
20,30..........................100,200,300%................. ราคาควรเป็นเท่านี้
กำไรที่ต้องการกี่ % บางทีก็มีเรื่องของพื้นฐานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยว่าเติบโตดีหรือไม่
ถ้าแรงขายเข้ามาแบบนี้ ราคาไหลลงอย่างนี้ แสดงว่าหุ้นน่าจะลงต่อเท่านั้นเท่านี้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อมีแรงซื้อเข้าเก็บหุ้นเพราะมองเห็นว่าหุ้นตัวนั้นจะดี
หรือต้องการแค่สร้างราคาเพื่อทำกำไรเป็นรอบๆในจังหวะที่ตลาดเอื้อ
ก็สามารถเปลี่ยนได้ทันทีหากมีเหตุการณ์มากระทบ
จากซื้ออยู่ดีๆมาเป็นขาย หรือ ขายอยู่ดีๆกลับลำมาซื้อ
ซึ่งก็จะทำให้กราฟเปลี่ยนไปในทันที แนวโน้มก็เปลี่ยนในทันทีเช่นกัน
การเคลื่อนไหวของราคา และแรงซื้อขาย ไม่ได้เกิดจากกราฟ (แต่มีส่วนช่วยในการตัดสินใจ)
การเคลื่อนไหวของกราฟเกิดจากราคาและแรงซื้อขาย
การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ดี ไม่ใช่ว่าวิเคราะห์ถูกว่าจะขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้
ไม่ใช่ว่าวิเคราะห์ถูกว่าจะลงไปเท่านั้นเท่านี้
ไม่ใช่ว่าทำกำไรได้ทุกครั้ง
แต่ควรรู้ว่าแนวโน้มเป็นอย่างไร จุดไหนควรเข้าซื้อ จุดไหนควรขาย
แรงซื้อส่วนใหญ่ซื้อ เราซื้อตาม แรงขายส่วนใหญ่ขาย เราขายตาม
ซื้อได้เร็วบ้าง ช้าบ้าง ขายได้เร็วบ้าง ช้าบ้าง
กำไรมากบ้างน้อยบ้าง กำหนดไม่ได้
สำคัญคือซื้อที่จุดเริ่ม ขายที่จุดสุดท้าย
อาจจะขาดทุนได้ แต่ส่วนใหญ่จะกำไร ถ้าการอ่านเทคนิคดีพอ
คนที่ทำกำไรในตลาดหุ้นได้ ไม่มีการเดาสุ่ม ไม่มีการใช้อารมณ์คาดว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ส่วนใหญ่มีหลักการไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่งในการกำหนดจุดซื้อ หรือขาย
สำหรับคนที่ดูพื้นฐานก็ว่ากันไป
สำหรับนักเทคนิค หรือ เก็งกำไร ก็ดูที่ราคา และแรงซื้อแรงขาย เป็นหลัก
นักเทคนิค ดูกราฟ
นักเก็งกำไร ดูกราฟในใจ
อย่าไปซีเรียสกับการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด
แต่ให้ระมัดระวัง เมื่อแนวโน้มเป็นขาลง
เพราะบางครั้งมันก็ลงไม่เยอะ แล้ว sideway เพื่อเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้น
แต่บางครั้งมันก็ลงจนร้องรู้งี้ ขายไปก่อนก็ดี
แนวโน้มขึ้นก็เช่นกัน บางครั้งก็ขึ้นน้อย แล้วก็เปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลง
set จะขึ้นเท่าไหร่ ลงเท่าไหร่ ก็คาดการณ์กันไป
แต่การดูจุดที่เปลี่ยนแนวโน้มว่าขึ้นหรือลง สำคัญกว่า
เมื่อมันเปลี่ยนเราก็เปลี่ยนตามมัน อย่าไปคิดว่ารอบนี้มันคงไม่ลงลึก
หรือรอบนี้มันคงไม่ขึ้นเยอะ
เพราะคิดผิดครั้งเดียวอาจหมายถึงดอยสิบปี หรือ ขายหมูยกเล้า