บทที่ 12 พยานปากสุดท้าย
"นายพอจะซ่อมไอ้นี่ได้หรือเปล่า"
"เมื่อไหร่แกจะเลิกตามตอแยฉันสักที"
นายแตงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เมื่อได้เจอกับผมอีกครั้ง
"เอาน่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อไปฉันจะไม่มากวนแกอีก"
มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์จากมือผมไปดู
"มันเป็นมือถือรุ่นเก่า ซ่อมแผงวงจรนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว"
" แลัวยังจะสามารถดูข้อมูลภายในได้หรือเปล่า พวกข้อความหรือเบอร์โทรล่าสุดอะไรอย่างนี้"
"ถ้ามีซิมก็ไม่ยากหรอก"
"นานไหม ?"
"อีกสักพักหนึ่ง ขอเวลาฉันหน่อย"
ในระหว่างรอผมก็ออกไปเดินเล่นข้างนอก คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พยายามทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างละเอียดอีกครั้ง ผมเดินอย่างนั้นไปเรื่อยๆจนผ่านไปสัก 20 นาที แล้วชื่อๆหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม ใครอีกคนหนึ่งที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ที่ผมมองข้ามมาโดยตลอด
"เสร็จยัง ?"
"เครื่องติดได้แล้ว ฉันกำลังกดดูข้อมูลอยู่"
"ลองกดดูข้อความล่าสุดที่เข้ามาหน่อย"
"เดี้ยวสิ รอแปปได้ไหม นี่ไงมาแล้ว มันมาจากคนที่ชื่อว่ามิ้น"
"เขียนว่าไง ?"
"มันเขียนว่า "กลับบ้านด่วน มีหลักฐานเพิ่มเติมจะให้" "
"ไหนลองดูเบอร์ล่าสุดที่โทรเข้าหน่อย"
"ไม่มีเบอร์ที่โทรเข้า มีแต่โทรออก รู้สึกจะโทรไปหาเบอร์ที่ชื่อมิ้นอีกนั้นแหละ โทรไปตั้ง 17 สายในเวลาไล่ๆกัน"
"ฝ้งนู้นไม่ได้รับใช่ไหม ?"
"คิดว่าใช่ เดี้ยวนะ ฉันว่ามันยังมีอะไรแปลกๆอยู่"
"อะไร ?"
"ดูนี่สิ ข้อความส่วนใหญ่มีแต่นิษาที่เป็นคนส่งไปหามิ้น ดูสิมีชื่อนี้ตลอดเลย แต่มีของมิ้นที่ส่งมาหานิษาแค่ครั้งสุดท้ายครั้งเดียวเอง"
"ข้อความส่วนใหญ่เขียนว่าไง ดูแค่ของวันสุดท้ายพอ"
"ก็เรื่องทั่วๆไปอย่าง "วันนี้มีเรียนไหม" "จะออกไปสายหน่อยนะ" อะไรทำนองนี้ แต่ดูเหมือนว่ามิ้นไม่สนใจที่จะตอบมันเลย บางข้อความเธอไม่ได้กดอ่านมันด้วยซ้ำ"
"อืม เข้าใจแล้ว อ้อ ยังมีอีกเรื่อง อยากให้นายช่วยหาเจ้าของชื่อนี่ให้หน่อยได้ไหม เขาเป็นแฟนของมิ้น ลองหาในคอมมันน่าจะมีข้อมูลอยู่บ้าง"
"ได้สิ แล้วยังมีอะไรอีกไหม บอกมาทีเดียวให้หมดเลย ฉันไม่ได้ว่างทั้งวันนะ"
"ไม่มีอีกแล้ว แค่นี้แหละ"
ผมรอมันอีกสักราวสิบนาทีก็ได้ข้อมูลตามที่ต้องการ
"นี่ไง ตามชื่อที่นายให้มา ไอ้หมอนี่เปลี่ยนงานเปลี่ยนที่อยู่เป็นว่าเล่นเลย ล่าสุดทำงานเป็น รปภ. และนี่ก็คือที่อยู่ล่าสุดของมัน"
"อืม จากนี่ไปอีกไกลไหมเนี่ย อยู่คนละจังหวัดกันเลย"
"ก็สัก 200 กิโลเมตรเห็นจะได้ รอเดี๋ยวฉันจะวาดแผนที่ให้ แล้วนายก็ขับไปตามนั้นก็แล้วกัน"
"ขอบใจมาก และฉันสัญญาว่าจะไม่มาหาแกอีก"
ผมออกจากร้านของนายแตง ขับรถตามแผนที่ไปเรื่อยๆ จนเริ่มพลบค่ำจึงได้พบกับบ้านเช่าเก่าๆหลังหนึ่ง ผมเดินเข้าไปแล้วเคาะประตูอยู่พักใหญ่ ก็เห็นว่าผ้าม่านที่หน้าต่างถูกเปิดออกมาครึ่งหนึ่ง เห็นใบหน้าของผู้หญิงอายุราวๆสัก 30 ต้นๆ ออกมาแล้วพูดจาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
"มาหาใคร ?"
"นิกอยู่ไหมครับ"
"มีธุระอะไร ?"
"บอกเขาว่าญาติมิ้นก็แล้วกัน ฉันมีธุระด่วนจะคุยด้วย"
"รอแป็ปนึง"
หล่อนพูดเสร็จแล้วก็เดินกลับโดยที่ยังไม่เปิดประตูให้ผม จนผ่านไปสักสิบนาทีเธอก็กลับมา
"เข้ามาได้ แต่มีเวลาไม่มากนะเพราะนิกจะรีบไปเข้ากะ"
"ขอบคุณมาก"
ผมเดินผ่านห้องรับแขกที่รกรุงรังจนมาถึงหน้าห้องนอนห้องหนึ่ง โดยที่มีแฟนของนิกเดินตามมาติดๆ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็หมอนั่นกำลังแต่งตัวอยู่ดูเหมือนเขากำลังจะออกไปทำงาน
"เข้ามาก่อนสิ โรสเดี้ยวออกไปปิดประตูห้องด้วย เออน่า ไม่มีอะไรหรอกเดี้ยวฉันจัดการเอง"
ประโยคสุดท้ายเขาหันไปบอกแฟนสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังผม
"มีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอ"
"เรื่องมิ้น หลานสาวของฉันไง"
"ฉันบอกเรื่องนี้กับตำรวจไปหมดแล้วนี่"
"ไม่ ไม่ทั้งหมดหรอก มิ้นไม่ได้ตายด้วยอุบัติเหตุแกรู้เรื่องนี้ดี"
"ผมไม่รู้เรื่อง คุณต้องการอะไร"
"ฉันต้องการรู้เรื่องคืนนั้น คืนที่มีการบุกจับพวกค้ายา"
"คุณกำลังสืบเรื่องนี้อยู่งั้นเหรอ"
คราวนี้ผมเลือกที่จะเงียบแทนคำตอบ
"ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงมันต้องฆ่าผมแน่"
"มันที่นายว่าก็คือพ่อเลี้ยงของฉันเอง"
"เอ้ย !"
ไอ้หมอนั่นตะโกนจนสุดเสียง แล้วรีบก้มตัวลงไปเพื่อจะหยิบปืนที่ซ่อนอยู่ใต้หมอน แต่แล้วมันก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ปืนพกในมือผมซึ่งถือเตรียมไว้จ่ออยู่ที่ท้ายทอยมันก่อนแล้ว
"อย่า อย่าฆ่าผมเลยครับ ผมสัญญาว่าจะชดใช้ให้หมดทุกบาททุกสตางค์เลย"
"ถ้าฉันมาที่นี่เพื่อเก็บแก ฉันจะไม่เสียเวลาคุยกับแกสักคำเลย"
ผมเอาปืนจากไอ้หนุ่มนั่นมาเก็บไว้ แล้วลากเก้าอี้จากด้านหลังมานั่งตรงฝั่งตรงข้ามกับมัน
"คุณก็รู้เรื่องนี้ดีแล้วนี่ ยังจะต้องการอะไรจากผมอีก"
"ทุกอย่างมันเป็นแค่การคาดเดา นายต่างหากล่ะที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นนายต้องเล่าสิ่งที่นายรู้มาให้หมด เริ่มตั้งแต่คืนนั้นเลย"
"พวกนั้นแจ้งเราว่าจะมีการขนถ่ายยาเสพติดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน พวกเราก็เลยต้องเตรียมตัวออกปฏิบัติหน้าที่ โดยได้รับคำสั่งจากพวกตำรวจตระเวนชายแดนอีกที่"
ผมจุดบุหรี่สูบพร้อมกับยื่นให้มันหนึ่งมวน
"พวกเราทั้งหมดมีด้วยกัน 12 คน แบ่งไปกับพวกตำรวจตะเวนชายแดน 6 คน พวกนั้นเป็นทีมแรกที่เข้าปะทะ ส่วนพวกเราที่มีน้าเอ้เป็นหัวหน้าทีมก็เป็นกองหนุน หกคนแรกที่อยู่กับพวกตำรวจตะเวนชายแดนเป็นทีมแรกที่เข้าปะทะ โดยที่มีพวกเราคอยยิงคุ้มกัน"
"แล้วยังไงต่อ"
"หลังจากเข้าปะทะ พวกนั้นยิงต่อสู้กันได้สักพักจนกระทั่งพวกที่คุ้มกันกองคาราวานก็ต้านกำลังฝ่ายเราไม่ไหวต้องล่าถอยไป ส่วนพวกลูกหาบก็พากันทิ้งสัมถาระของมันเอาไว้ก่อนที่จะพากันวิ่งหนีแตกกระเจิง ทีมตำรวจเป็นฝ่ายไล่ติดตามไป ส่วนพวกเราได้รับคำสั่งให้เฝ้าสัมภาระเอาไว้จนกว่าที่พวกนั้นจะกลับมา"
"เป็นสัมภาระแบบไหน ?"
"เป็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้า แบบที่พวกเราใช้เวลาไปต่างจังหวัดนั้นแหละ เพียงแต่มันใหญ่กว่าปกตินิดหน่อย ในนั้นมีเฮโลอีนอัดอยู่เต็มไปหมด"
" มีทั้งหมดกี่ใบ ?"
"เจ็ดใบ ทั้งหมดจริงๆอะนะ แต่ที่ตำรวจได้ไปมีแค่หกใบ"
"อืมๆ แล้วไงต่อ"
"พวกผมสี่คนได้รับคำสั่งจากลุงเอ้อีกทีให้ไปหากระเป๋าที่เหลืออีกหนึ่งใบ เขาบอกว่าเห็นพวกนั้นบางคนทิ้งกระเป้าลงไปในหุบเขา โดยที่มีแกกับไอ้เกี้ยมเฝ้ากระเป๋าที่เหลือกันอยู่สองคน แม้จะไม่เต็มใจนักแต่พวกเราก็ต้องลงไปในหุบนรกนั่น มันชันอย่างกับหน้าผา เราเดินไปได้ไม่ถึงไหนก็พลัดหลงกันคนละทิศละทาง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงกระเป๋านั้นแล้ว คิดแต่จะหาทางขึ้นไปจากไอ้หุบบ้านี่เท่านั้น จนในที่สุดผมก็หาทางกลับขึ้นมาจนได้ ในขณะที่ผมเดินไปเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงแว่วเหมือนคนกำลังขุดดินและคุยกันเบาๆ ผมก็เลยเดินตามเสียงนั้นเข้าไป ก็ยิ่งชัดขึ้นจนรู้ได้ว่าเป็นเสียงคนคุยกันของน้าเอ้กับไอ้เกี้ยม ถึงตรงนี้ผมก็ลดเสียงฝีเท้าลงจนกลายเป็นย่องเพราะรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเลยซุ่มดูอยู่ตรงนั้น ไม่ห่างจากที่คนทั้งคู่อยู่มากนัก แล้ว ก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆเมื่อไอ้เกี้ยมที่เป็นคนขุดดินทำหน้าที่ของมันเสร็จ แต่ก็ยังไม่ทันที่จะขึ้นมาจากปากหลุม ลุงเอ้ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ใช้ปืนลูกซองที่ถืออยู่ในมือยิงเข้าไปที่ด้านหลังของไอ้เกี้ยมในระยะเผาขน ผมเห็นจะๆเลยตอนที่มันล้มลงกับพื้นนั่น"
"แล้วยังไงต่อ"
"ลุงเอ้ลากศพไอ้เกี้ยมออกจากปากหลุมห่างไปราวๆสักยี่สิบเมตรเห็นจะได้ ก่อนที่เขาจะกลับมาพร้อมกับกระเป๋าหนึ่งใบ แล้วโยนมันลงไปในหลุมพร้อมกับปืนลูกซองที่ใช้ยิงไอ้เกี้ยม แล้วก็ปิดปากหลุม"
"แล้วนายทำไงต่อ"
"ผมก็ค่อยๆย่องกลับไปยังทางเก่าที่ผมเดินมา ก่อนจะไปตามหาพวกที่หลงกันตั้งแต่ทีแรก แล้วทำเป็นว่าเพิ่งขึ้นมาจากหุบ"
"แล้วนายก็กลับไปที่จุดนัดพบ"
"ใช่"
"เกิดอะไรขึ้นที่นั้น"
"เขานั่งอยู่ตรงนั้น บนขอนไม้ มีเลือดโชกไปทั้งตัว ห่างจากที่เขานั่งไม่ไกลก็เป็นศพของไอ้เกี้ยม เขาทำท่าทางตื่นตระหนก ระล่ำระลักบอกกับเราว่าถูกซุ่มโจมตีจากพวกค้ายาที่ซ่อนตัวอยู่ ต่อสู้กันอยู่สักพักในที่สุดพวกนั้นก็หนีไปได้ส่วนไอ้เกี้ยมตาย ทุกอย่างมันจบในแบบที่ผมคิดเอาไว้เลย แล้วไม่นานพวกตำรวจตระเวนชายแดนก็กลับมา ลุงเอ้ก็เริ่มเล่าเรื่องที่เขาแต่งขึ้นให้พวกนั่นฟังก่อนที่พวกเราจะกลับไปที่โรงพัก"
"แล้วนายได้เล่าเรื่องที่นายรู้ให้ใครฟังหรือเปล่า"
"เปล่า จนเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ พวกหน่วยเฉพาะกิจก็กลับไปที่กรุงเทพ ผมเห็นเป็นโอกาสเหมาะก็เลยกลับที่นั้นอีกครั้งแล้วขโมยมาสองมัดเพื่อเอาไปขายให้พวกนักศึกษา"
"นายนี่มันหัวดีนี่ แล้วยังไงต่อ"
"ก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างเป็นไปได้สวย จนกระทั้งมิ้นดันมารู้เรื่องเข้า เธอแอบเห็นตอนผมส่งของให้เด็กพวกนั้น เราทะเลาะกันหนักมาก เธอขู่ว่าจะแจ้งตำรวจผมโมโหเลยหลุดปากเรื่องลุงเอ้ออกไป จนในที่สุดผมก็ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง"
"มิ้นมีอาการยังไงบ้าง"
"เธอตกใจนิดหน่อย แต่เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ เธอก็บอกผมให้เอายานั้นไปทิ้งแลกกับที่เธอจะไม่แจ้งตำรวจ ผมก็เลยเสนอให้แจ้งจับลุงของเธอด้วยเพื่อเป็นการยุติปัญหาทั้งหมด"
"แล้วเธอว่าไง"
"เธอไม่เอาด้วย เธอบอกว่าจะลองไปคุยกับลุงเอ้ดูเพราะยังไงซะก็ถือว่าเป็นญาติกัน"
"นายก็ปล่อยเลยตามเลย"
"ก็มันจำเป็นนี่ และเรื่องนี้ฉันเองก็เป็นฝ่ายผิดก็เลยไม่อยากจะไปโต้เถียงกับเธอ อีกอย่างเธอเองก็เป็นหลานของลุงเอ้ใครจะไปคิดว่าไอ้เลวนั่นจะทำได้ลงคอ"
"เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น"
" เธอกลับไปที่บ้าน หลังจากนั้นก็ไม่ได้เห็นเธออีก จนมาได้ข่าวว่าเธอจมน้ำตายนั่นแหละ ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นฝีมือใคร แต่เสียใจได้ไม่ท่าไหร่หลังจากที่นิษาตาย ลุงเอ้ก็เริ่มออกล่าตัวผม เขาคงรู้เรื่องนี้มาจากมิ้น"
"นายก็เลยต้องหนีหัวซุกหัวซุนอยู่อย่างนี้"
ก็มันตามไปยิงฉันถึงที่ห้องพัก เคราะห์ยังดีที่ไหวตัวทันกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่างเสียก่อน จากนันมันก็ตามฉันไปทุกที่ ฉันถึงต้องคอยเปลี่ยนงานเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆอย่างนี้ไงละ"
"แล้วทำไมนายไม่บอกเรื่องนี้กับตำรวจ"
"พูดไปใครจะเชื่อ ฉันกลับไปที่นั่นเมื่อล่าสุดก็ไม่เห็นกระเป๋านั้นแล้ว มันคงย้ายไปที่อื่นแล้ว หลักฐานก็ไม่มี แถมตำรวจก็อาจจะเป็นพรรคพวกของมันอีกด้วย บอกตรงๆเลยว่าฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นขืนต้องกลับไปที่นั้นอีกฉันต้องตายแน่ๆ และทั้งหมดที่ฉันรู้ก๊มีแค่นี้"
"อือ เข้าใจแล้ว นี่ปืนของแกเอาไปสิ"
"แล้วนายจะเอาไงต่อ"
"ฉันก็ต้องกลับบ้านน่ะสิ"
"คุณควรจะระวังตัวเอาไว้ด้วย เขาน่ะอันตรายกว่าที่คุณคิดเอาไว้เยอะ"
"นี่นายเตือนฉันเหรอ เขาเป็นพ่อเลี้ยงของฉันนะ"
เขาจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่จริงจัง ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งไปเลย ผมรีบละสายตาไปทางอื่น แล้วรีบเดินออกไปจากที่นั้นทันที
อดีตหลอน ซ่อนอำมหิต (บทที่12)
บทที่ 12 พยานปากสุดท้าย
"นายพอจะซ่อมไอ้นี่ได้หรือเปล่า"
"เมื่อไหร่แกจะเลิกตามตอแยฉันสักที"
นายแตงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เมื่อได้เจอกับผมอีกครั้ง
"เอาน่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อไปฉันจะไม่มากวนแกอีก"
มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์จากมือผมไปดู
"มันเป็นมือถือรุ่นเก่า ซ่อมแผงวงจรนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว"
" แลัวยังจะสามารถดูข้อมูลภายในได้หรือเปล่า พวกข้อความหรือเบอร์โทรล่าสุดอะไรอย่างนี้"
"ถ้ามีซิมก็ไม่ยากหรอก"
"นานไหม ?"
"อีกสักพักหนึ่ง ขอเวลาฉันหน่อย"
ในระหว่างรอผมก็ออกไปเดินเล่นข้างนอก คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พยายามทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างละเอียดอีกครั้ง ผมเดินอย่างนั้นไปเรื่อยๆจนผ่านไปสัก 20 นาที แล้วชื่อๆหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม ใครอีกคนหนึ่งที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ที่ผมมองข้ามมาโดยตลอด
"เสร็จยัง ?"
"เครื่องติดได้แล้ว ฉันกำลังกดดูข้อมูลอยู่"
"ลองกดดูข้อความล่าสุดที่เข้ามาหน่อย"
"เดี้ยวสิ รอแปปได้ไหม นี่ไงมาแล้ว มันมาจากคนที่ชื่อว่ามิ้น"
"เขียนว่าไง ?"
"มันเขียนว่า "กลับบ้านด่วน มีหลักฐานเพิ่มเติมจะให้" "
"ไหนลองดูเบอร์ล่าสุดที่โทรเข้าหน่อย"
"ไม่มีเบอร์ที่โทรเข้า มีแต่โทรออก รู้สึกจะโทรไปหาเบอร์ที่ชื่อมิ้นอีกนั้นแหละ โทรไปตั้ง 17 สายในเวลาไล่ๆกัน"
"ฝ้งนู้นไม่ได้รับใช่ไหม ?"
"คิดว่าใช่ เดี้ยวนะ ฉันว่ามันยังมีอะไรแปลกๆอยู่"
"อะไร ?"
"ดูนี่สิ ข้อความส่วนใหญ่มีแต่นิษาที่เป็นคนส่งไปหามิ้น ดูสิมีชื่อนี้ตลอดเลย แต่มีของมิ้นที่ส่งมาหานิษาแค่ครั้งสุดท้ายครั้งเดียวเอง"
"ข้อความส่วนใหญ่เขียนว่าไง ดูแค่ของวันสุดท้ายพอ"
"ก็เรื่องทั่วๆไปอย่าง "วันนี้มีเรียนไหม" "จะออกไปสายหน่อยนะ" อะไรทำนองนี้ แต่ดูเหมือนว่ามิ้นไม่สนใจที่จะตอบมันเลย บางข้อความเธอไม่ได้กดอ่านมันด้วยซ้ำ"
"อืม เข้าใจแล้ว อ้อ ยังมีอีกเรื่อง อยากให้นายช่วยหาเจ้าของชื่อนี่ให้หน่อยได้ไหม เขาเป็นแฟนของมิ้น ลองหาในคอมมันน่าจะมีข้อมูลอยู่บ้าง"
"ได้สิ แล้วยังมีอะไรอีกไหม บอกมาทีเดียวให้หมดเลย ฉันไม่ได้ว่างทั้งวันนะ"
"ไม่มีอีกแล้ว แค่นี้แหละ"
ผมรอมันอีกสักราวสิบนาทีก็ได้ข้อมูลตามที่ต้องการ
"นี่ไง ตามชื่อที่นายให้มา ไอ้หมอนี่เปลี่ยนงานเปลี่ยนที่อยู่เป็นว่าเล่นเลย ล่าสุดทำงานเป็น รปภ. และนี่ก็คือที่อยู่ล่าสุดของมัน"
"อืม จากนี่ไปอีกไกลไหมเนี่ย อยู่คนละจังหวัดกันเลย"
"ก็สัก 200 กิโลเมตรเห็นจะได้ รอเดี๋ยวฉันจะวาดแผนที่ให้ แล้วนายก็ขับไปตามนั้นก็แล้วกัน"
"ขอบใจมาก และฉันสัญญาว่าจะไม่มาหาแกอีก"
ผมออกจากร้านของนายแตง ขับรถตามแผนที่ไปเรื่อยๆ จนเริ่มพลบค่ำจึงได้พบกับบ้านเช่าเก่าๆหลังหนึ่ง ผมเดินเข้าไปแล้วเคาะประตูอยู่พักใหญ่ ก็เห็นว่าผ้าม่านที่หน้าต่างถูกเปิดออกมาครึ่งหนึ่ง เห็นใบหน้าของผู้หญิงอายุราวๆสัก 30 ต้นๆ ออกมาแล้วพูดจาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
"มาหาใคร ?"
"นิกอยู่ไหมครับ"
"มีธุระอะไร ?"
"บอกเขาว่าญาติมิ้นก็แล้วกัน ฉันมีธุระด่วนจะคุยด้วย"
"รอแป็ปนึง"
หล่อนพูดเสร็จแล้วก็เดินกลับโดยที่ยังไม่เปิดประตูให้ผม จนผ่านไปสักสิบนาทีเธอก็กลับมา
"เข้ามาได้ แต่มีเวลาไม่มากนะเพราะนิกจะรีบไปเข้ากะ"
"ขอบคุณมาก"
ผมเดินผ่านห้องรับแขกที่รกรุงรังจนมาถึงหน้าห้องนอนห้องหนึ่ง โดยที่มีแฟนของนิกเดินตามมาติดๆ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็หมอนั่นกำลังแต่งตัวอยู่ดูเหมือนเขากำลังจะออกไปทำงาน
"เข้ามาก่อนสิ โรสเดี้ยวออกไปปิดประตูห้องด้วย เออน่า ไม่มีอะไรหรอกเดี้ยวฉันจัดการเอง"
ประโยคสุดท้ายเขาหันไปบอกแฟนสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังผม
"มีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอ"
"เรื่องมิ้น หลานสาวของฉันไง"
"ฉันบอกเรื่องนี้กับตำรวจไปหมดแล้วนี่"
"ไม่ ไม่ทั้งหมดหรอก มิ้นไม่ได้ตายด้วยอุบัติเหตุแกรู้เรื่องนี้ดี"
"ผมไม่รู้เรื่อง คุณต้องการอะไร"
"ฉันต้องการรู้เรื่องคืนนั้น คืนที่มีการบุกจับพวกค้ายา"
"คุณกำลังสืบเรื่องนี้อยู่งั้นเหรอ"
คราวนี้ผมเลือกที่จะเงียบแทนคำตอบ
"ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงมันต้องฆ่าผมแน่"
"มันที่นายว่าก็คือพ่อเลี้ยงของฉันเอง"
"เอ้ย !"
ไอ้หมอนั่นตะโกนจนสุดเสียง แล้วรีบก้มตัวลงไปเพื่อจะหยิบปืนที่ซ่อนอยู่ใต้หมอน แต่แล้วมันก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ปืนพกในมือผมซึ่งถือเตรียมไว้จ่ออยู่ที่ท้ายทอยมันก่อนแล้ว
"อย่า อย่าฆ่าผมเลยครับ ผมสัญญาว่าจะชดใช้ให้หมดทุกบาททุกสตางค์เลย"
"ถ้าฉันมาที่นี่เพื่อเก็บแก ฉันจะไม่เสียเวลาคุยกับแกสักคำเลย"
ผมเอาปืนจากไอ้หนุ่มนั่นมาเก็บไว้ แล้วลากเก้าอี้จากด้านหลังมานั่งตรงฝั่งตรงข้ามกับมัน
"คุณก็รู้เรื่องนี้ดีแล้วนี่ ยังจะต้องการอะไรจากผมอีก"
"ทุกอย่างมันเป็นแค่การคาดเดา นายต่างหากล่ะที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นนายต้องเล่าสิ่งที่นายรู้มาให้หมด เริ่มตั้งแต่คืนนั้นเลย"
"พวกนั้นแจ้งเราว่าจะมีการขนถ่ายยาเสพติดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน พวกเราก็เลยต้องเตรียมตัวออกปฏิบัติหน้าที่ โดยได้รับคำสั่งจากพวกตำรวจตระเวนชายแดนอีกที่"
ผมจุดบุหรี่สูบพร้อมกับยื่นให้มันหนึ่งมวน
"พวกเราทั้งหมดมีด้วยกัน 12 คน แบ่งไปกับพวกตำรวจตะเวนชายแดน 6 คน พวกนั้นเป็นทีมแรกที่เข้าปะทะ ส่วนพวกเราที่มีน้าเอ้เป็นหัวหน้าทีมก็เป็นกองหนุน หกคนแรกที่อยู่กับพวกตำรวจตะเวนชายแดนเป็นทีมแรกที่เข้าปะทะ โดยที่มีพวกเราคอยยิงคุ้มกัน"
"แล้วยังไงต่อ"
"หลังจากเข้าปะทะ พวกนั้นยิงต่อสู้กันได้สักพักจนกระทั่งพวกที่คุ้มกันกองคาราวานก็ต้านกำลังฝ่ายเราไม่ไหวต้องล่าถอยไป ส่วนพวกลูกหาบก็พากันทิ้งสัมถาระของมันเอาไว้ก่อนที่จะพากันวิ่งหนีแตกกระเจิง ทีมตำรวจเป็นฝ่ายไล่ติดตามไป ส่วนพวกเราได้รับคำสั่งให้เฝ้าสัมภาระเอาไว้จนกว่าที่พวกนั้นจะกลับมา"
"เป็นสัมภาระแบบไหน ?"
"เป็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้า แบบที่พวกเราใช้เวลาไปต่างจังหวัดนั้นแหละ เพียงแต่มันใหญ่กว่าปกตินิดหน่อย ในนั้นมีเฮโลอีนอัดอยู่เต็มไปหมด"
" มีทั้งหมดกี่ใบ ?"
"เจ็ดใบ ทั้งหมดจริงๆอะนะ แต่ที่ตำรวจได้ไปมีแค่หกใบ"
"อืมๆ แล้วไงต่อ"
"พวกผมสี่คนได้รับคำสั่งจากลุงเอ้อีกทีให้ไปหากระเป๋าที่เหลืออีกหนึ่งใบ เขาบอกว่าเห็นพวกนั้นบางคนทิ้งกระเป้าลงไปในหุบเขา โดยที่มีแกกับไอ้เกี้ยมเฝ้ากระเป๋าที่เหลือกันอยู่สองคน แม้จะไม่เต็มใจนักแต่พวกเราก็ต้องลงไปในหุบนรกนั่น มันชันอย่างกับหน้าผา เราเดินไปได้ไม่ถึงไหนก็พลัดหลงกันคนละทิศละทาง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงกระเป๋านั้นแล้ว คิดแต่จะหาทางขึ้นไปจากไอ้หุบบ้านี่เท่านั้น จนในที่สุดผมก็หาทางกลับขึ้นมาจนได้ ในขณะที่ผมเดินไปเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงแว่วเหมือนคนกำลังขุดดินและคุยกันเบาๆ ผมก็เลยเดินตามเสียงนั้นเข้าไป ก็ยิ่งชัดขึ้นจนรู้ได้ว่าเป็นเสียงคนคุยกันของน้าเอ้กับไอ้เกี้ยม ถึงตรงนี้ผมก็ลดเสียงฝีเท้าลงจนกลายเป็นย่องเพราะรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเลยซุ่มดูอยู่ตรงนั้น ไม่ห่างจากที่คนทั้งคู่อยู่มากนัก แล้ว ก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆเมื่อไอ้เกี้ยมที่เป็นคนขุดดินทำหน้าที่ของมันเสร็จ แต่ก็ยังไม่ทันที่จะขึ้นมาจากปากหลุม ลุงเอ้ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ใช้ปืนลูกซองที่ถืออยู่ในมือยิงเข้าไปที่ด้านหลังของไอ้เกี้ยมในระยะเผาขน ผมเห็นจะๆเลยตอนที่มันล้มลงกับพื้นนั่น"
"แล้วยังไงต่อ"
"ลุงเอ้ลากศพไอ้เกี้ยมออกจากปากหลุมห่างไปราวๆสักยี่สิบเมตรเห็นจะได้ ก่อนที่เขาจะกลับมาพร้อมกับกระเป๋าหนึ่งใบ แล้วโยนมันลงไปในหลุมพร้อมกับปืนลูกซองที่ใช้ยิงไอ้เกี้ยม แล้วก็ปิดปากหลุม"
"แล้วนายทำไงต่อ"
"ผมก็ค่อยๆย่องกลับไปยังทางเก่าที่ผมเดินมา ก่อนจะไปตามหาพวกที่หลงกันตั้งแต่ทีแรก แล้วทำเป็นว่าเพิ่งขึ้นมาจากหุบ"
"แล้วนายก็กลับไปที่จุดนัดพบ"
"ใช่"
"เกิดอะไรขึ้นที่นั้น"
"เขานั่งอยู่ตรงนั้น บนขอนไม้ มีเลือดโชกไปทั้งตัว ห่างจากที่เขานั่งไม่ไกลก็เป็นศพของไอ้เกี้ยม เขาทำท่าทางตื่นตระหนก ระล่ำระลักบอกกับเราว่าถูกซุ่มโจมตีจากพวกค้ายาที่ซ่อนตัวอยู่ ต่อสู้กันอยู่สักพักในที่สุดพวกนั้นก็หนีไปได้ส่วนไอ้เกี้ยมตาย ทุกอย่างมันจบในแบบที่ผมคิดเอาไว้เลย แล้วไม่นานพวกตำรวจตระเวนชายแดนก็กลับมา ลุงเอ้ก็เริ่มเล่าเรื่องที่เขาแต่งขึ้นให้พวกนั่นฟังก่อนที่พวกเราจะกลับไปที่โรงพัก"
"แล้วนายได้เล่าเรื่องที่นายรู้ให้ใครฟังหรือเปล่า"
"เปล่า จนเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ พวกหน่วยเฉพาะกิจก็กลับไปที่กรุงเทพ ผมเห็นเป็นโอกาสเหมาะก็เลยกลับที่นั้นอีกครั้งแล้วขโมยมาสองมัดเพื่อเอาไปขายให้พวกนักศึกษา"
"นายนี่มันหัวดีนี่ แล้วยังไงต่อ"
"ก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างเป็นไปได้สวย จนกระทั้งมิ้นดันมารู้เรื่องเข้า เธอแอบเห็นตอนผมส่งของให้เด็กพวกนั้น เราทะเลาะกันหนักมาก เธอขู่ว่าจะแจ้งตำรวจผมโมโหเลยหลุดปากเรื่องลุงเอ้ออกไป จนในที่สุดผมก็ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง"
"มิ้นมีอาการยังไงบ้าง"
"เธอตกใจนิดหน่อย แต่เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ เธอก็บอกผมให้เอายานั้นไปทิ้งแลกกับที่เธอจะไม่แจ้งตำรวจ ผมก็เลยเสนอให้แจ้งจับลุงของเธอด้วยเพื่อเป็นการยุติปัญหาทั้งหมด"
"แล้วเธอว่าไง"
"เธอไม่เอาด้วย เธอบอกว่าจะลองไปคุยกับลุงเอ้ดูเพราะยังไงซะก็ถือว่าเป็นญาติกัน"
"นายก็ปล่อยเลยตามเลย"
"ก็มันจำเป็นนี่ และเรื่องนี้ฉันเองก็เป็นฝ่ายผิดก็เลยไม่อยากจะไปโต้เถียงกับเธอ อีกอย่างเธอเองก็เป็นหลานของลุงเอ้ใครจะไปคิดว่าไอ้เลวนั่นจะทำได้ลงคอ"
"เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น"
" เธอกลับไปที่บ้าน หลังจากนั้นก็ไม่ได้เห็นเธออีก จนมาได้ข่าวว่าเธอจมน้ำตายนั่นแหละ ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นฝีมือใคร แต่เสียใจได้ไม่ท่าไหร่หลังจากที่นิษาตาย ลุงเอ้ก็เริ่มออกล่าตัวผม เขาคงรู้เรื่องนี้มาจากมิ้น"
"นายก็เลยต้องหนีหัวซุกหัวซุนอยู่อย่างนี้"
ก็มันตามไปยิงฉันถึงที่ห้องพัก เคราะห์ยังดีที่ไหวตัวทันกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่างเสียก่อน จากนันมันก็ตามฉันไปทุกที่ ฉันถึงต้องคอยเปลี่ยนงานเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆอย่างนี้ไงละ"
"แล้วทำไมนายไม่บอกเรื่องนี้กับตำรวจ"
"พูดไปใครจะเชื่อ ฉันกลับไปที่นั่นเมื่อล่าสุดก็ไม่เห็นกระเป๋านั้นแล้ว มันคงย้ายไปที่อื่นแล้ว หลักฐานก็ไม่มี แถมตำรวจก็อาจจะเป็นพรรคพวกของมันอีกด้วย บอกตรงๆเลยว่าฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นขืนต้องกลับไปที่นั้นอีกฉันต้องตายแน่ๆ และทั้งหมดที่ฉันรู้ก๊มีแค่นี้"
"อือ เข้าใจแล้ว นี่ปืนของแกเอาไปสิ"
"แล้วนายจะเอาไงต่อ"
"ฉันก็ต้องกลับบ้านน่ะสิ"
"คุณควรจะระวังตัวเอาไว้ด้วย เขาน่ะอันตรายกว่าที่คุณคิดเอาไว้เยอะ"
"นี่นายเตือนฉันเหรอ เขาเป็นพ่อเลี้ยงของฉันนะ"
เขาจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่จริงจัง ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งไปเลย ผมรีบละสายตาไปทางอื่น แล้วรีบเดินออกไปจากที่นั้นทันที