ป.ป.ช.ขอตรวจสอบก่อน! 'หม่อมอุ๋ย' ยันไม่มีนาฬิกาหรู 20 เรือน ในบัญชีกองมรดก 'ปัฐวาท'
https://www.isranews.org/article/isranews/112953-inves099-338.html
'ธีรัจชัย พันธุมาศ' โฆษกกมธ.ป.ป.ช. เผย 'หม่อมอุ๋ย' เข้าชี้แจงปมนาฬิกาหรู 20 เรือน ในฐานะผู้จัดการมรดก 'ปัฐวาท' เพื่อน 'ประวิตร' ยันไม่มีอยู่ในบัญชี จี้รื้อคดีใหม่-ด้านเลขาฯ ป.ป.ช. ยังไม่ทราบข่าวขอตรวจสอบข้อมูลก่อน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า คดีนาฬิกาหรู ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำลังถูกจับตามองจากสังคมอีกครั้ง เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2565 ที่ผ่านมา นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โฆษกกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ออกมาเปิดเผยว่า กมธ.ป.ป.ช. ได้เชิญ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ ในฐานะผู้จัดการมรดก นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนของ พล.อ.ประวิตรที่เสียชีวิตไป ที่ถูกอ้างว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาหรู 20 เรือนที่ยืมมาใส่ มาให้ข้อมูลถึงทรัพย์สินของนายปัฐวาท มีรายการนาฬิกาหรูอยู่ในบัญชีมรดกหรือไม่ โดยได้รับคำชี้แจงจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธรว่า ไม่มีนาฬิกาหรูอยู่ในบัญชีมรดกของนายปัฐวาท แต่ก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไรไม่ทราบ
"จึงมีข้อน่าสงสัยว่า พล.อ.ประวิตรยืมนาฬิกาใครมาใส่ หากไม่มีอยู่ในมรดกของนายปัฐวาท ถ้านายปัฐวาทเสียชีวิต เดือน ก.พ.2560 ตามกฎหมายเมื่อเจ้าของมรดกเสียชีวิต ทรัพย์มรดกย่อมตกแก่ทายาท คือลูกของนายปัฐวาท" นาย
ธีรัจชัยระบุ
นาย
ธีรัจชัยกล่าวอีกว่า
"นาฬิกาหรูที่ตกเป็นข่าว อยู่กับ พล.อ.ประวิตร เดือน ธ.ค.2560 ห่างจากที่นายปัฐวาทเสียชีวิตไปแล้ว 10 เดือน จึงอธิบายยากว่าเป็นนาฬิกายืมเพื่อน ควรเป็นนาฬิกายืมลูกเพื่อนมากกว่า หรือถ้านาฬิกาหรูไม่ใช่ทรัพย์สินนายปัฐวาทแล้ว พล.อ.ประวิตรยืมนาฬิกาใครมาใส่ ข้อเท็จจริงที่ พล.อ.ประวิตรให้การจึงขัดกันเอง อธิบายยากว่าเป็นของนายปัฐวาท"
นาย
ธีรัจชัย กล่าวด้วยว่า ดังนั้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ควรหยิบยกคดีนาฬิกายืมเพื่อนมาพิจารณาใหม่ว่า พล.อ.
ประวิตรไปยืมนาฬิกามาจากใคร จะทำเรื่องเสนอต่อ กมธ.ป.ป.ช. ให้เชิญเลขาธิการ ป.ป.ช.มาให้ข้อมูล เพื่อสอบถามว่า ป.ป.ช.จะรื้อฟื้นคดีใหม่ได้หรือไม่
ขณะที่ นาย
นิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศราในช่วงเช้าวันที่ 20 ต.ค.65 ว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง ป.ป.ช.คงจะต้องขอตรวจสอบข้อมูลก่อน ว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง เพราะยังไม่ทราบข่าวเรื่องนี้เลย
‘ทนายตั้ม’ชี้ช่องเอาผิด ‘นักร้องคนดัง’ ดีแต่ทำคนไม่มีทางสู้แถมทิ้งท้ายทำสะดุ้ง!
https://www.dailynews.co.th/news/1597589/
"ทนายตั้ม" ชี้ช่องให้เหยื่อ "นักร้องคนดัง" ชี้สังเกตพฤติกรรม ชอบทำกับคนไม่มีทางสู้ ทั้งที่ไม่รู้ผิดจริงไหม แต่กลับทำชีวิตพัง! ลั่นทิ้งท้าย ดีว่าไม่ใช่ลูกความผม ไม่งั้นเจอนรกบนดินแน่!
ทำเอาชาวเน็ตแห่แชร์ไปตามๆ กัน จนทั่วทั้งสังคมออนไลน์อยู่ในขณะนี้ ภายหลังจากที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ต.ค. ทนาย
ตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า
“วันนี้ผมมีโอกาสได้คุยกับหลายคนที่ถูกนักร้องแห่งชาติร้องเรียน โดยใช้ช่องว่างของกฎหมายทำลายอนาคตด้วยการตั้งข้อหารุนแรงร้ายกาจโทษหนักที่สุดเท่าที่จะคิดได้” แม้สุดท้าย การร้องเรียนครั้งนั้นอาจจะเป็นข่าวแค่ครั้งเดียวและก็เงียบหายไป แต่ตัวผู้ถูกร้องเรียน เสียหายไปแล้วอย่างหนัก หน่วยงานก็เรียกตัวเข้าไปตำหนิ บริษัทเอกชนก็ไม่อยากมีปัญหา บางที่ก็ยกเลิกสัญญา เจอตัดอนาคตทางการงานไปเพียงเพราะการเห็นต่าง
วันนี้ผมเลยอยากพูดถึงเรื่อง
“มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” ที่ผู้ที่ถูกร้องเรียนอย่างไม่เป็นธรรม สามารถใช้เพื่อตอบโต้และจัดการพวกหมารับใช้นายกลุ่มนี้
เท่าที่ผมสังเกต เขาจะร้องเรียนแต่คนดัง นักวิชาการ ที่ไม่มีทางสู้ ที่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ ทั้งที่การไปทำลายอนาคตพวกเขา รวมถึงทำร้ายจิตใจแบบ Verbal and Mental Abuse สร้างความเกลียดชังเป็นวงกว้าง มันยิ่งกว่าการทำร้ายกัน ที่ผ่านไปไม่กี่วัน อาการบาดเจ็บก็รักษาหายเป็นปกติเสียอีก
“
ยังดีนักร้องเบอร์หนึ่ง เบอร์สอง ไม่เคยมาร้องเรียนอะไรเพื่อนผม ลูกความผมหรือตัวผม ไม่เช่นนั้น ผมจะสอนให้รู้ว่านรกบนดินที่แท้จริง มันเป็นยังไง”..
อดีตสามเณรโฟล์ค เล่าความรุนแรงจากศรีสุวรรณ คือเกือบเรียนไม่จบมหิดล
https://www.matichon.co.th/politics/news_3628390
อดีตสามเณรโฟล์ค สหรัฐ เผยความรุนแรงที่ถูกกระทำจาก ศรีสุวรรณ คือเกือบเรียนไม่จบมหิดล หลังยื่นเรื่องพศ. จนเกือบถูกเพิกถอนสภาพนักศึกษา ไม่มีเงินกิน ไม่มีกิจนิมนต์ ต่อมาถูกบังคับให้สึกจากสามเณร ด้าน สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด เผยเคยถูกศรีสุวรรณ แจ้งความผิดมาตรา 116 และ พรก.ฉุกเฉิน ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุ แต่ตร.ก็ทำเป็นคดี
“โฟล์ค-สหรัฐ สุขคำหล้า” หรือ
“อดีตสามเณรโฟล์ค” เป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการเป็น “
แคร์รอต” ซึ่งเข้าร่วมชุมนุมและขึ้นเวทีปราศรัยของคณะราษฎร เล่าความรุนแรงทางกฎหมายที่ถูกกระทำจากนาย
ศรีสุวรรณ จรรยา ระบุว่า
ความรุนแรงที่ศรีสุวรรณทำกับผมคือการเกือบที่จะทำให้ผมเรียนไม่จบมหิดลหลังจากทำหนังสือไปยืนสำนักงานพุทธศาสนา ทำให้ตัวผมนั้นเกือบถูกเพิกถอนสภาพนักศึกษา แต่ดีว่ามหาวิทยาลัยมหิดลมองว่า การแสดงออกทางการเมืองเป็นสิทธิ์ของนักศึกษา
ครั้งหนึ่ง ผมไม่มีเงินกิน เพราะไม่มีกิจนิมนต์หรืองานอะไรเลย ยังดีที่หาบิณฑบาตเลี้ยงชีพเป็นรายวัน จนอาจารย์คมกฤช และ อาจารย์ไพรวัลย์ หรือคนเสื้อแดงค่อยช่วยบริจาคเงินให้ (ส่วนตัวผมอายมากเพราะไม่อยากรบกวนใคร)
และหลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมาผมก็ถูกบังคับให้สึกจากการเป็นสามเณร โดยใช้กลไกรัฐปราบปรามคนเห็นต่างและทำให้เด็กอย่างผมหมดอานาคต เรียกว่าฆ่าให้ตายทั้งเป็น แค้นความหลังผมยังจำไม่ลืม
ด้าน
สมบัติ บุญงามอนงค์ กล่าวแสดงความเห็นถึงนายศรีสุวรรณ ว่าเคยแจ้งความเอาผิด พรก.ฉุกเฉิน ทั้งที่ตนไม่ได้อยู่ในจุดที่ฟ้องร้อง แต่ตำรวจก็ทำให้เป็นคดี โดย ระบุว่า
“ในฐานะผู้ที่เคยประสบภัยศรีสุวรรณคนหนึ่ง มีเรื่องขำจะเล่าคือ ตอนที่มี Car Mob จากเกษตรไปปทุมธานี ศรีสุวรรณไปแจ้งความที่ สน บางเขน กล่าวหาผมกระทำผิดกฏหมายมาตรา 116 และ พรก ฉุกเฉิน ซึ่งข้อเท็จจริงคือ ผมไม่ได้อยู่ที่เกษตรในวันนั้น แต่เดินทางมาที่ปทุมธานี เรื่องนี้ผมก็แย้งกับทาง จนท ตำรวจว่า ไม่มีข้อเท็จจริงว่าตัวผมอยู่ในเหตุการณ์จะฟ้องผมได้ยังไง ทนายให้คำแนะนำว่า ตอนที่ศรีสุวรรณมาเบิกพยานแล้วคดีสิ้นสุด ก็ค่อยฟ้องศรีสุวรรณคืน”
“ปัญหาของผมคือ ผมไม่ชอบไปศาลเพราะมันเสียเวลา และถ้าจะให้ไปพบหน้ากับคุณศรีสุวรรณอีก ผมก็ไม่เห็นประโยชน์อันใด นอกจากมองว่าเป็นกิจกรรมการใช้เวลาที่หาสาระมิได้”
JJNY : ป.ป.ช.ขอตรวจสอบก่อน!│‘ทนายตั้ม’ชี้ช่องเอาผิด‘นักร้องคนดัง’│ความรุนแรงจากศรีสุวรรณ│ชาวนาขอนแก่นน้ำตาซึม
https://www.isranews.org/article/isranews/112953-inves099-338.html
"จึงมีข้อน่าสงสัยว่า พล.อ.ประวิตรยืมนาฬิกาใครมาใส่ หากไม่มีอยู่ในมรดกของนายปัฐวาท ถ้านายปัฐวาทเสียชีวิต เดือน ก.พ.2560 ตามกฎหมายเมื่อเจ้าของมรดกเสียชีวิต ทรัพย์มรดกย่อมตกแก่ทายาท คือลูกของนายปัฐวาท" นายธีรัจชัยระบุ
นายธีรัจชัยกล่าวอีกว่า "นาฬิกาหรูที่ตกเป็นข่าว อยู่กับ พล.อ.ประวิตร เดือน ธ.ค.2560 ห่างจากที่นายปัฐวาทเสียชีวิตไปแล้ว 10 เดือน จึงอธิบายยากว่าเป็นนาฬิกายืมเพื่อน ควรเป็นนาฬิกายืมลูกเพื่อนมากกว่า หรือถ้านาฬิกาหรูไม่ใช่ทรัพย์สินนายปัฐวาทแล้ว พล.อ.ประวิตรยืมนาฬิกาใครมาใส่ ข้อเท็จจริงที่ พล.อ.ประวิตรให้การจึงขัดกันเอง อธิบายยากว่าเป็นของนายปัฐวาท"
นายธีรัจชัย กล่าวด้วยว่า ดังนั้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ควรหยิบยกคดีนาฬิกายืมเพื่อนมาพิจารณาใหม่ว่า พล.อ.ประวิตรไปยืมนาฬิกามาจากใคร จะทำเรื่องเสนอต่อ กมธ.ป.ป.ช. ให้เชิญเลขาธิการ ป.ป.ช.มาให้ข้อมูล เพื่อสอบถามว่า ป.ป.ช.จะรื้อฟื้นคดีใหม่ได้หรือไม่
ขณะที่ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศราในช่วงเช้าวันที่ 20 ต.ค.65 ว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง ป.ป.ช.คงจะต้องขอตรวจสอบข้อมูลก่อน ว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง เพราะยังไม่ทราบข่าวเรื่องนี้เลย
‘ทนายตั้ม’ชี้ช่องเอาผิด ‘นักร้องคนดัง’ ดีแต่ทำคนไม่มีทางสู้แถมทิ้งท้ายทำสะดุ้ง!
https://www.dailynews.co.th/news/1597589/
"ทนายตั้ม" ชี้ช่องให้เหยื่อ "นักร้องคนดัง" ชี้สังเกตพฤติกรรม ชอบทำกับคนไม่มีทางสู้ ทั้งที่ไม่รู้ผิดจริงไหม แต่กลับทำชีวิตพัง! ลั่นทิ้งท้าย ดีว่าไม่ใช่ลูกความผม ไม่งั้นเจอนรกบนดินแน่!
ทำเอาชาวเน็ตแห่แชร์ไปตามๆ กัน จนทั่วทั้งสังคมออนไลน์อยู่ในขณะนี้ ภายหลังจากที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ต.ค. ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า
“วันนี้ผมมีโอกาสได้คุยกับหลายคนที่ถูกนักร้องแห่งชาติร้องเรียน โดยใช้ช่องว่างของกฎหมายทำลายอนาคตด้วยการตั้งข้อหารุนแรงร้ายกาจโทษหนักที่สุดเท่าที่จะคิดได้” แม้สุดท้าย การร้องเรียนครั้งนั้นอาจจะเป็นข่าวแค่ครั้งเดียวและก็เงียบหายไป แต่ตัวผู้ถูกร้องเรียน เสียหายไปแล้วอย่างหนัก หน่วยงานก็เรียกตัวเข้าไปตำหนิ บริษัทเอกชนก็ไม่อยากมีปัญหา บางที่ก็ยกเลิกสัญญา เจอตัดอนาคตทางการงานไปเพียงเพราะการเห็นต่าง
วันนี้ผมเลยอยากพูดถึงเรื่อง “มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” ที่ผู้ที่ถูกร้องเรียนอย่างไม่เป็นธรรม สามารถใช้เพื่อตอบโต้และจัดการพวกหมารับใช้นายกลุ่มนี้
เท่าที่ผมสังเกต เขาจะร้องเรียนแต่คนดัง นักวิชาการ ที่ไม่มีทางสู้ ที่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ ทั้งที่การไปทำลายอนาคตพวกเขา รวมถึงทำร้ายจิตใจแบบ Verbal and Mental Abuse สร้างความเกลียดชังเป็นวงกว้าง มันยิ่งกว่าการทำร้ายกัน ที่ผ่านไปไม่กี่วัน อาการบาดเจ็บก็รักษาหายเป็นปกติเสียอีก
“ยังดีนักร้องเบอร์หนึ่ง เบอร์สอง ไม่เคยมาร้องเรียนอะไรเพื่อนผม ลูกความผมหรือตัวผม ไม่เช่นนั้น ผมจะสอนให้รู้ว่านรกบนดินที่แท้จริง มันเป็นยังไง”..
อดีตสามเณรโฟล์ค เล่าความรุนแรงจากศรีสุวรรณ คือเกือบเรียนไม่จบมหิดล
https://www.matichon.co.th/politics/news_3628390
อดีตสามเณรโฟล์ค สหรัฐ เผยความรุนแรงที่ถูกกระทำจาก ศรีสุวรรณ คือเกือบเรียนไม่จบมหิดล หลังยื่นเรื่องพศ. จนเกือบถูกเพิกถอนสภาพนักศึกษา ไม่มีเงินกิน ไม่มีกิจนิมนต์ ต่อมาถูกบังคับให้สึกจากสามเณร ด้าน สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด เผยเคยถูกศรีสุวรรณ แจ้งความผิดมาตรา 116 และ พรก.ฉุกเฉิน ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุ แต่ตร.ก็ทำเป็นคดี
“โฟล์ค-สหรัฐ สุขคำหล้า” หรือ “อดีตสามเณรโฟล์ค” เป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการเป็น “แคร์รอต” ซึ่งเข้าร่วมชุมนุมและขึ้นเวทีปราศรัยของคณะราษฎร เล่าความรุนแรงทางกฎหมายที่ถูกกระทำจากนายศรีสุวรรณ จรรยา ระบุว่า
ความรุนแรงที่ศรีสุวรรณทำกับผมคือการเกือบที่จะทำให้ผมเรียนไม่จบมหิดลหลังจากทำหนังสือไปยืนสำนักงานพุทธศาสนา ทำให้ตัวผมนั้นเกือบถูกเพิกถอนสภาพนักศึกษา แต่ดีว่ามหาวิทยาลัยมหิดลมองว่า การแสดงออกทางการเมืองเป็นสิทธิ์ของนักศึกษา
ครั้งหนึ่ง ผมไม่มีเงินกิน เพราะไม่มีกิจนิมนต์หรืองานอะไรเลย ยังดีที่หาบิณฑบาตเลี้ยงชีพเป็นรายวัน จนอาจารย์คมกฤช และ อาจารย์ไพรวัลย์ หรือคนเสื้อแดงค่อยช่วยบริจาคเงินให้ (ส่วนตัวผมอายมากเพราะไม่อยากรบกวนใคร)
และหลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมาผมก็ถูกบังคับให้สึกจากการเป็นสามเณร โดยใช้กลไกรัฐปราบปรามคนเห็นต่างและทำให้เด็กอย่างผมหมดอานาคต เรียกว่าฆ่าให้ตายทั้งเป็น แค้นความหลังผมยังจำไม่ลืม
ด้าน สมบัติ บุญงามอนงค์ กล่าวแสดงความเห็นถึงนายศรีสุวรรณ ว่าเคยแจ้งความเอาผิด พรก.ฉุกเฉิน ทั้งที่ตนไม่ได้อยู่ในจุดที่ฟ้องร้อง แต่ตำรวจก็ทำให้เป็นคดี โดย ระบุว่า
“ในฐานะผู้ที่เคยประสบภัยศรีสุวรรณคนหนึ่ง มีเรื่องขำจะเล่าคือ ตอนที่มี Car Mob จากเกษตรไปปทุมธานี ศรีสุวรรณไปแจ้งความที่ สน บางเขน กล่าวหาผมกระทำผิดกฏหมายมาตรา 116 และ พรก ฉุกเฉิน ซึ่งข้อเท็จจริงคือ ผมไม่ได้อยู่ที่เกษตรในวันนั้น แต่เดินทางมาที่ปทุมธานี เรื่องนี้ผมก็แย้งกับทาง จนท ตำรวจว่า ไม่มีข้อเท็จจริงว่าตัวผมอยู่ในเหตุการณ์จะฟ้องผมได้ยังไง ทนายให้คำแนะนำว่า ตอนที่ศรีสุวรรณมาเบิกพยานแล้วคดีสิ้นสุด ก็ค่อยฟ้องศรีสุวรรณคืน”
“ปัญหาของผมคือ ผมไม่ชอบไปศาลเพราะมันเสียเวลา และถ้าจะให้ไปพบหน้ากับคุณศรีสุวรรณอีก ผมก็ไม่เห็นประโยชน์อันใด นอกจากมองว่าเป็นกิจกรรมการใช้เวลาที่หาสาระมิได้”