อดีตหลอน ซ่อนอำมหิต (บทที่3)





บทที่ 3 คำร้องขอที่ไม่อาจปฏิเสธ

         "นี่นายจำฉันไม่ได้งั้นเหรอ"

         "เอ่อ ขอโทษนะครับ แต่ผมเห็นคุณไม่ชัดช่วยเข้ามาใกล้ๆหน่อยได้ไหม"

         แล้วเธอก็เอาหน้าของเธอเข้ามาใกล้จนเกือบจะชิดกับหน้าของผม มันทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว เมื่อรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าก็คือคนที่ผมฝันถึงมาตลอด ผมถึงกับระล่ำระลักพูดออกมาไม่เป็นภาษาคน

         "นะ นะ นะ นิษา คุณเองเหรอนี่"

         "ก็ใช่น่ะสิ ถ้าไม่ใกล้ขนาดนี้ก็คงจำไม่ได้สินะ ฉันน่ะจำนายได้ตั้งแต่เห็นแว็บแรกเลยแหละ"

         "ก็มันนานมากแล้วฉันก็เลยจำไม่ค่อยได้น่ะ อีกอย่างนึกว่าเธอจะไปอยู่ที่อื่นแล้ว"

         "ทำไมจะต้องไปอยู่ที่อื่นด้วยล่ะ ก็บ้านฉันอยู่ที่นี่"

         "ก็ใครๆในหมู่บ้านเขาก็ทำกัน พวกวัยรุ่นน่ะแบบว่าพอเรียนจบก็ต้องไปออกหางานทำที่กรุงเทพ อยู่ที่นี่จะทำอะไร ทำนางั้นเหรอ สมัยนี้ไม่มีใครเขาทำกันแล้ว มีแต่พวกคนแก่ๆนั้นแหละ"

         "ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดแบบที่นายหรอกนะ ว่าแต่นายเถอะขึ้นมาทำอะไรบนนี้ ไม่หนาวหรือไง"

         "ไม่หรอก อากาศแบบนี้แหละที่ฉันชอบ แล้วเธอล่ะขึ้นมาเป็นประจำเลยเหรอ"

         "ฉันชอบขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตก มาเป็นประจำแหละ"

         "ไม่ยักรู้ว่าเขาทำที่นี่ให้เป็นจุดชมวิวด้วย จำได้ว่ามันเคยเป็นป่าทึบ"

         "เขาทำมาได้สองสามปีแล้วล่ะ เป็นความคิดของผู้ใหญ่คนเก่าที่พยายามจะทำให้หมู่บ้านของเราเป็นจุดท่องเที่ยว แต่ทำได้ไม่นานก็เงียบไปเพราะเสียงคัดค้านจากชาวบ้านส่วนใหญ่ จนเหลือแต่ซากผุพังอย่างนายเห็นนี่แหละ ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าที่นี่มันไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่าง"

         เธอพูดยิ้มๆ ก่อนที่จะหันมาถามผมซ้ำอีกครั้ง 

         "แล้วนายมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้"

         "เปล่า แค่มานั่งชมวิวแล้วก็คิดอะไรเพลินๆ เดี้ยวก็จะกลับแล้วล่ะ"

         "อืม แล้วตอนนี้นายทำงานอะไรอยู่งั้นเหรอ"
         "ฉันทำงานเป็นนักสืบเอกชน"

         "อ้าว แล้วไม่ได้เป็นตำรวจแล้วเหรอ"

         "เปล่า ลาออกมาได้นานแล้ว นี่แม่บอกเธอใช่ไหมเนี่ย"

         "อืม แล้วทำไมถึงออกซะล่ะ เบื่อการทุจริตในวงการตำรวจงั้นเหรอ"

         "เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้นแน่ เพราะฉันเองก็ไม่ใช่ตำรวจที่ดีนักหรอก ตรงกันข้ามฉันเองนั่นแหละที่ทุจริตเสียเอง ฉันเคยเป็นตำรวจที่ทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน เอาทุกอย่างตั้งแต่รับส่วยเล็กๆไปจนถึงการค้ายาและเปิดบ่อน เพลิดเพลินไปกับการนับเงินสกปรกจนลืมคำสัตย์ปฎิญานที่เคยให้ไว้เมื่อตอนเข้ารับหน้าที่"

         "แล้วยังไง นายถูกจับได้"

         "เปล่าอีกนั่นแหล่ะ ตรงกันข้ามเวลานั้นฉันได้เลื่อนขั้นเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้น่าภาคภูมิใจอะไรหรอกเพราะเป็นการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีอิทธิพลในพื้นที่ที่ฉ้นทำงานให้ ฉันเลยเบื่อ เบื่อคำโกหกเสแสร้งของตัวเอง เบื่อลาภยศที่ได้มาโดยไม่ชอบ ละอายใจเสียจนไม่กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก"

         "ก็เลยออกมารับงานเองโดยที่ไม่ต้องใช้สีเสื้อของผู้พิทักษ์สันติราษณ์บังหน้าสินะ"

         "คือมันอยู่ว่างๆและก็เป็นเพราะความเคยชินด้วยแหละมันเลยทำให้อยู่เฉยๆไม่ได้ ตอนแรกก็ยังไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก เริ่มจากช่วยสืบคดีคนหายแถวๆบ้าน และหลังจากนั้นอีกหลายๆคดีก็ตามมา พวกเผาบ้านเอาประกันบ้าง พวกหนีหนี้บ้างส่วนใหญ่ก็ทำให้ฟรีๆ จะมีค่าใช้จ่ายบ้างก็แค่เล็กน้อย"

         "เหมือนเป็นการไถ่โทษใช่ไหม"

         "ใช่ ถ้าเธอจะคิดอย่างนั้นอ่ะนะ แต่ฉันก็ทำด้วยใจจริงๆ และหลังจากนั้นชื่อเสียงของพวกเราก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น หมายถึงฉันกับคู่หูอีกคนหนึ่งอะนะ พวกเราก็เลยไปขอใบอนุญาติ และก็เปิดบริษัทเล็กๆชื่อว่า ร่วมใจสืบสวน เรื่องของฉันมันก็มีอยู่เท่านี้แหละ ทีนี้มาฟังเรื่องของเธอกันบ้างดีกว่า"

         "นายจะรู้เรื่องไหนก่อนล่ะ"

         เธอเลื่อนตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆผมแล้วถามด้วยสีหน้าอมยิ้มเหมือนไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก ผมมองสำรวจไปทั่วเรือนร่างของเธออย่างเสียมารยาท แต่ก็ต้องหลบหน้าเมื่อได้เห็นสายตาที่จริงจังของเธอ แน่ล่ะผมกำลังจนมุมและก็ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ตัวว่ากำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ

         "นี่มันก็เริ่มจะมืดแล้ว ฉันคิดว่าจะกลับ"

         ผมพูดพลางก้มหน้าด้วยเสียงอ่อยๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าชายชาตรีอย่างผม ต้องมาเสียท่าให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง

         "เดี้ยวก่อนสิ จะรีบไปไหนล่ะ ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องให้นายช่วยหน่อย"

         "มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ"

          "เงยหน้าของนายขึ้นแล้วมองมาที่ฉันก่อนสิ"

         มันเหมือนมีอะไรมาสะกดให้ผมทำตามที่เธอสั่งอย่างว่าง่าย

         "ฉันอยากจะว่าจ้างให้นายช่วยสืบคดีให้หน่อย"

         "คือตอนนี้ฉันกำลังพักร้อนอยู่น่ะ เลยยังไม่อยากรับงาน และฉันยังต้องคอยดูแลแม่ที่ป่วยด้วย ทำไมเธอถึงไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเขาล่ะ"

         "แม่นายไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย เมื่อวันก่อนฉันยังไปเยื่อมอยู่เลย ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินหรอก ฉันยินดีจ่ายค่าเสียเวลาให้"

         "เอาล่ะๆ ก็ได้ฉันยอมเธอแล้ว ไหนเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร ลองเล่าให้ฉันฟังหน่อย"

         "เมื่อ 4 ปีที่แล้ว น้องสาวเราตาย ตำรวจชันสูตรแล้วสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ฉันไม่เชื่อ เพราะมันยังมีเรื่องที่ผิดสังเกตอยู่หลายอย่าง"

         "อย่างเช่น ?"

         "ก็เรื่องรอยฟกช้ำในตัวเธอ แล้วไหนจะอุปนิสัยของเธอที่ไม่น่าจะทำอย่างนั้นได้ ฉันรู้จักเธอดีปกติเวลาเรามีเรื่องอะไรก็จะเอามาคุยปรับทุกข์กันอยู่ตลอด เธอเป็นคนร่าเริงสดใสมองโลกในแง่ดีเสมอ ไม่มีทางที่เธอจะคิดสั้นฆ่าตัวตายแน่"

         "คุณอยู่ที่ไหนตอนที่เกิดเหตุ"

         "ฉันทำงานอยู่ต่างอำเภอ จะกลับมาบ้านแค่อาทิตย์ละครั้ง แต่อาทิตย์ที่เกิดเหตุฉันงานยุ่งมากก็เลยไม่ได้กลับ แต่ก็ได้โทรมาบอกที่บ้านก่อนแล้ว พอกลับมาเธอก็เป็นศพไปเสียแล้ว"

         "เดี้ยวก่อนนะ นี่เธอมีน้องสาวด้วยเหรอ"

         "มีสิ เธอห่างจากฉันสองปี ตอนที่เกิดเหตุเธอเรียนอยู่ปีสามที่มหาวิทยาลัยในตัวเมือง เธอชื่อว่าลัดดา หน้าเหมือนกับฉันนี่แหละ ใครๆก็ว่าเราเป็นฝาแฝดกัน"

         พูดจบเธอก็หัวเราะ ฮิฮิ เหมือนคนที่ไม่มีความเครียดอยู่ในหัว แต่ผมรู้ดีว่าข้างในแววตาที่สดใสนั้นมันซ่อนความเศร้าหมองเอาไว้อยู่ 

         "แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร"

         "ฉันอยากให้นายหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของเธอ ถ้าสรุปได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ก็ถือว่างานจบ แต่ถ้าไม่ใช่ฉันก็จะขอให้สืบต่อไปจนกว่าจะจับตัวฆาตรกรได้"

         "เธอตายที่ไหน ?" 

         "เธอผูกคอตายในสวนหลังบ้าน ที่นี่แหละ"

         "งั้นเธอก็กลับมาที่นี่"

         "ใช่ มันตรงกับวันเสาร์ ปกติลัดดากลับมาบ้านทุกเสาร์อาทิตย์อยู่แล้ว"

         "ขอดูรูปเธอหน่อย"

         "อ้อ ใช่ ฉันลืมไปเลย นี่ค่ะ"

         ทันทีที่ได้เห็นรูปนั้น ผมก็รู้สึกได้เลยว่านี่มันคือนิษาชัดๆ เป็นอย่างที่เขาพูดกันจริงๆหน้าตาทั้งคู่เหมือนกันอย่างกับฝาแฝด

         "ผู้ชายที่ถ่ายคู่กันในรูปนี่ใคร"

         "แฟนของเธอน่ะ ชื่อว่าอมรชัย"

         "ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเหรอ"

         "หลังจากลัดดาตายเขาก็ไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ติดต่อไม่ได้"

         "ขอชื่อและนามสกุลของเขาหน่อย บางทีฉันอาจจะให้เพื่อนที่กรุงเทพช่วยหาตัว ไม่แน่เขาอาจรู้อะไรบางอย่าง"

         "อมรชัย แสนสร"

         "แล้วพอจะรู้จักกับเพื่อนๆของเธออีกบ้างไหม เพื่อนสมัยเรียนน่ะ"

         "ส่วนใหญ่ก็เรียนจบ และย้ายไปทำงานที่อื่นกันหมดแล้ว"

         เธอทำท่านึกอยู่สักครู่ ก่อนจะอุทานออกมา

         "อ้อ เดี้ยวๆ ยังมีอีกคนหนึ่ง ชื่อว่าแตง หมอนี่เคยมาที่บ้านบ่อยๆ เป็นลูกชายเจ้าของหอที่ลัดดาพักอยู่ เขาเรียนรุ่นเดียวกัน คิดว่าน่าจะยังอยู่ที่นั่น"

         "ชื่อหอพักอะไร" 

         "อุดมพร มั้งถ้าจำไม่ผิด"
 
         "ได้ๆเดี้ยวพรุ่งจะไปดูให้ ตอนนี้มันก็มืดมากแล้ว แม่ฉันรอกินข้าวอยู่คงต้องกลับก่อนแล้วล่ะ"

         "แล้วเราต้องวางมัดจำให้นายด้วยหรือเปล่า" 

         "ไม่ต้องหรอก ฉันทำให้ฟรี"
 
         "แล้วรับปากได้ใช่ไหมว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร คือฉันอยากให้สืบเรื่องนี้แบบเงียบๆน่ะ"
         "ก็มันเป็นความลับของลูกค้านี่"

         "เราไม่รู้ว่าจะขอบใจนายอย่างไรดี ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ นายก็ยังดีกับฉันเสมอ"

         "เอาไว้ให้เสร็จเรื่องเสียก่อนเถอะ ค่อยมาขอบใจกัน"

         ผมพูดตัดบทแล้วเดินออกมาจากที่นั่นด้วยความประหม่า เดินไปไม่ถึงไหนผมก็เพิ่งนึกได้ว่าควรจะชวนเธอเดินกลับพร้อมกัน เพราะมันมืดและก็อันตรายเกินไปสำหรับผู้หญิงที่จะเดินคนเดียว แต่เมื่อผมหันกลับไปมองก็ไม่เห็นเธออยู่ตรงนั้นเสียแล้ว ผมได้แต่ยืนงงๆ อยู่ตรงนั้น เธอจะไปไหนได้เพราะที่นี่มีทางลงแค่ทางเดียวเท่านั่น ที่เหลือก็เป็นทางที่ลาดชันกับหน้าผา แต่ยืนอยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับเพราะเป็นห่วงแม่

         ผมกลับมาทันทานข้าวเย็นร่วมกับแม่และน้าเอ้พอดี และหลังทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ผมก็เตรียมตัวเพื่อที่จะเข้านอน ผมล้มตัวลงนอนหงายเอาหัวหนุนกับแขนตัวเอง สายตาจับจ้องไปที่เพดาน ปล่อยสมองให้ว่างเปล่า พยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับนิษา แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก หลายๆคำถามเกิดขึ้นในหัวของผม ทำไมเธอถึงยังอยู่ที่นี่ ไหนจะเรื่องน้องสาวของเธอที่ผมไม่เคยเห็นหน้าจนกระทั่งเธอตาย แต่แม้กระทั่งบ้านของเธออยู่ที่ไหนผมก็ยังนึกไม่ออก ที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะมีแต่ใบหน้ารูปไข่ ตากลมโต ขนตางอนงามเข้ากับคิ้วที่ดกเข้ม ผมที่ยาวปะบ่าของเธอ ช่างสวยเหลือเกิน ผมนึกถึงใบหน้าของเธอแล้วก็เผลอหลับไป จนกระทั่งผมฝันอีกครั้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่