เห็นจากเวปไซท์สถานทูตรัสเซีย น่าสนใจเลยเอามาลงให้วิเคราะห์ วิจารณืกันครับ
........................................................................................................................................................................................................
https://thailand.mid.ru/th/key-issues/6477-ob-instsenirovkakh-kak-metode-politiki-zapada-3
สถานทูตสหพันธรัฐรัสเซีย
ประจำราชอาณาจักรไทย
บทความของจากเซอร์เกย์ ลาฟลอฟ เรื่อง การจัดฉากเหตุการณ์ต่างๆ ของประเทศตะวันตกต่อการเมือง
ทุกวันนี้ กองทัพรัสเซียและหน่วยป้องกันตนเองของสาธารณรัฐโดเนตสค์และลูฮันสค์ได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติการพิเศษทางทหารเพื่อจะยุติการเลือกปฏิบัติและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่อุกอาจต่อชาวรัสเซียและขจัดภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของสหพันธรัฐรัสเซียที่สหรัฐอเมริกาได้สร้างขึ้นในดินแดนยูเครนเป็นเวลาหลายปี ขณะที่พวกเขากำลังพ่ายแพ้ในสนามรบ ระบอบการปกครองของยูเครนและผู้อุปถัมภ์จากชาติตะวันตกได้ต้องการที่จะทำลายประเทศของเราลงให้เกิดภาพลบในสายตาของประชาคมระหว่างประเทศ เราได้เห็นภาพของเมืองบูชา (Bucha) มาริโอปอล (Mariupol) ครามาทอสค์ (Kramatorsk) และ เครมชุค(Kremchug) แล้ว กระทรวงกลาโหมของรัสเซียได้ออกคำเตือนเป็นประจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการปลอมแปลงเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเรามีข้อเท็จจริงอยู่ในมือ
การกระทำดังกล่าวมีรูปแบบของการยั่วยุจากฝ่ายตะวันตกและพรรคพวก อันที่จริง พวกเขาได้เริ่มกิจกรรมเหล่านี้มานานก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศยูเครนด้วยซ้ำ ในปี 2542 ในหมู่บ้าน Račak ในจังหวัดปกครองตนเองของเซอร์เบียในเขต Kosovo และ Metohija โดยในเหตุการณ์นั้นกลุ่มผู้ตรวจสอบ OSCE ได้มาถึงสถานที่ซึ่งมีการค้นพบศพหลายสิบศพที่สวมชุดพลเรือน โดยไม่มีการสอบสวนใดๆ หัวหน้าคณะได้ประกาศเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ถึงแม้ว่าบทสรุปในลักษณะนี้จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ออกโดยเจ้าหน้าที่ระหว่างประเทศ แต่กลุ่มนาโต (NATO) ได้เริ่มทำการรุกรานทางทหารต่อยูโกสลาเวียในทันที โดยในระหว่างนั้น นาโตได้ทำลายศูนย์โทรคมนาคม สะพาน รถไฟโดยสาร และเป้าหมายพลเรือนอื่นๆ ต่อมาได้รับการพิสูจน์ด้วยหลักฐานที่แน่ชัดว่าศพผู้เสียชีวิตไม่ใช่พลเรือน แต่เป็นกองกำลังติดอาวุธของกองทัพปลดปล่อยโคโซโว ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธผิดกฎหมาย แต่งกายด้วยชุดพลเรือน แต่เมื่อถึงเวลานั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้นแล้ว โดยได้เสนอข้ออ้างเรื่องการใช้กำลังอย่างผิดกฎหมายครั้งแรกกับประเทศสมาชิก OSCE นับตั้งแต่การลงนามในพระราชบัญญัติสุดท้ายเฮลซิงกิในปี 2518 เป็นการบอกว่าแถลงการณ์นั้นได้ก่อให้เกิดการวางระเบิดเกิดขึ้น โดยวิลเลียม วอล์คเกอร์ พลเมืองสหรัฐฯ ที่เป็นหัวหน้าภารกิจตรวจสอบโคโซโวของ OSCE กล่าวว่าการแยกโคโซโวออกจากเซอร์เบียด้วยกำลังและการจัดตั้งแคมป์บอนด์สตีล ซึ่งเป็นฐานทัพทหารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐในคาบสมุทรบอลข่าน เป็นผลพวงหลักที่เกี่ยวข้องกับการรุกราน
ในปี 2546 คอลิน พาวเวลล์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แสดงผลงานอันน่าอับอายในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยใช้ขวดที่บรรจุผงสีขาวบางชนิด ซึ่งเขากล่าวว่ามีสปอร์ของแอนแทรกซ์ โดยอ้างว่ามีการผลิตในอิรัก อีกครั้งที่การแสดงของปลอมนั้นใช้ได้ผลก็คือ พวกแองโกล-แซกซอนและพวกที่ตามผู้นำของพวกเขาได้ออกวางระเบิดอิรัก ซึ่งพยายามดิ้นรนเพื่อฟื้นฟูสถานะของประเทศอย่างเต็มที่นับตั้งแต่นั้นมา ยิ่งไปกว่านั้น ไม่นานก่อนที่ของปลอมเหล่านั้นจะถูกเปิดเผยกับทุกคนและยอมรับว่าอิรักไม่มีอาวุธชีวภาพหรือ WMD ใดๆ ต่อมา นายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี่ แบลร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บงการการรุกราน ยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการฉ้อโกง โดยกล่าวว่าพวกเขาอาจจะเข้าใจผิดหรืออะไรทำนองนั้น สำหรับคอลิน พาวเวลล์ ภายหลังเขาพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองโดยอ้างว่าเขาถูกเข้าใจผิดด้วยวิธีการใดๆ นี่เป็นอีกการยั่วยุที่เสนอข้ออ้างในการดำเนินการตามแผนการทำลายชาติอธิปไตย
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ในประเทศลิเบียในปี 2554 โดยละครเรื่องนี้มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง สถานการณ์ไม่ได้ไปไกลถึงขึ้นมีการสร้างเรื่องโกหกขึ้นโดยตรง เช่นในโคโซโวหรืออิรัก แต่นาโต้ (NATO) ได้บิดเบือนมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างร้ายแรง ซึ่งตอนนี้ได้กำหนดเขตห้ามบินเหนือลิเบียโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบดขยี้กองทัพอากาศของมูอัมมาร์ กัดดาฟี ไม่ให้ได้ขึ้นบินตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม นาโต้เริ่มทิ้งระเบิดลงหน่วยกองทัพลิเบียที่กำลังต่อสู้ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ได้เสียชีวิตลงอย่างป่าเถื่อน และประเทศลิเบียก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ความพยายามในการรวมประเทศกลับคืนสู่สภาพเดิมยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยมีตัวแทนของสหรัฐฯ เป็นผู้รับผิดชอบกระบวนการนี้อีกครั้ง ซึ่งแต่งตั้งโดยเลขาธิการสหประชาชาติโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ เพื่อนร่วมงานชาวตะวันตกของเราได้อำนวยความสะดวกในข้อตกลงภายในลิเบียหลายฉบับเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง แต่ไม่มีข้อตกลงใดที่เป็นจริง กลุ่มติดอาวุธยังคงปกครองดินแดนลิเบีย โดยส่วนใหญ่พวกเขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศตะวันตก
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ในประเทศยูเครน ชาติตะวันตกซึ่งได้มีตัวแทนของรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส และโปแลนด์บังคับให้ประธานาธิบดี Viktor Yanukovich ให้ลงนามในข้อตกลงกับฝ่ายค้านเพื่อยุติการเผชิญหน้าและส่งเสริมการแก้ไขวิกฤตภายในยูเครนโดยสันติ ร่วมกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติในช่วงเปลี่ยนผ่านและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็วที่จะจัดขึ้นภายในไม่กี่เดือน สิ่งนี้ก็กลายเป็นการฉ้อโกงเช่นกัน เช้าวันรุ่งขึ้น ฝ่ายค้านก่อการรัฐประหารตามคำเรียกร้องในการต่อต้านรัสเซียและการเหยียดผิว อย่างไรก็ตาม ผู้ค้ำประกันชาวตะวันตกดังกล่าวไม่ได้พยายามที่จะทำให้ฝ่ายค้านเข้าใจ นอกจากนี้ พวกเขาเปลี่ยนไปสนับสนุนผู้กระทำผิดที่ทำรัฐประหารให้เป็นไปตามนโยบายของพวกเขาในการต่อต้านรัสเซียและทุกสิ่งทุกอย่างของรัสเซีย ก่อการทำสงครามกับประชาชนของตนเองและทิ้งระเบิดในภูมิภาคดอนบาส (Donbass) เพียงเพราะคนที่นั่นปฏิเสธที่จะยอมรับการทำรัฐประหารตามรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงตราหน้าผู้คนในเขตดอนบาส (Donbass) ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
ณ จุดนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อมีการเปิดเผยออกมา การสังหารผู้ประท้วงที่ Maidan ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งตะวันตกตำหนิกองกำลังความมั่นคงของยูเครนที่ภักดีต่อ Viktor Yanukovich หรือหน่วยพิเศษของรัสเซีย ว่าสมาชิกหัวรุนแรงของฝ่ายค้าน คือ คนที่อยู่เบื้องหลังการยั่วยุครั้งนี้ ขณะที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยข่าวกรองตะวันตก การเปิดเผยข้อเท็จจริงเหล่านี้ใช้เวลาไม่นานนัก แต่เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็ได้ทำหน้าที่ของตนไปแล้ว
ความพยายามของรัสเซีย เยอรมนี และฝรั่งเศสปูทางให้ยุติสงครามระหว่างเคียฟ โดเนตสค์ และลูฮานสค์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ด้วยการลงนามในข้อตกลงมินสค์ เบอร์ลินและปารีสมีบทบาทเช่นกัน โดยเรียกตัวเองว่าประเทศผู้ค้ำประกันด้วยความภาคภูมิใจ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเจ็ดปีที่ยาวนานหลังจากนั้น พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อปูทางให้เคียฟเปิดการเจรจาโดยตรงกับตัวแทนของเขตดอนบาส (Donbass) เพื่อตกลงในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงสถานะพิเศษ การนิรโทษกรรม การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และการจัดการเลือกตั้งตามที่ข้อตกลงมินสค์ ซึ่งได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ผู้นำตะวันตกยังคงนิ่งเงียบเมื่อเคียฟดำเนินการตามขั้นตอนซึ่งละเมิดข้อตกลงมินสค์โดยตรงภายใต้การนำของนายปีเตอร์ โปโรเชนโก และนายวลาดิมีร์ เซเลนสกี ยิ่งกว่านั้น ผู้นำเยอรมันและฝรั่งเศสยังพูดต่อไปว่า เคียฟไม่สามารถเข้าร่วมการเจรจาโดยตรงกับสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์และลูฮานสค์ได้ และกล่าวโทษทุกอย่างให้รัสเซียเป็นฝ่ายผิด แม้ว่ารัสเซียจะไม่ได้กล่าวอ้างข้อตกลงมินสค์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วรัสเซียยังคงเป็นประเทศเดียวที่รักษากฎกติกานี้ไว้และผลักดันให้ดำเนินการตามข้อตกลงที่ให้ไว้
หากใครสงสัยว่าข้อตกลงมินสค์เป็นของปลอมหรือไม่ ต้องมาดูที่คำพูดของนาย Petro Poroshenko ซึ่งเป็นผู้ที่ได้สร้างเรื่องนี้ขึ้นโดยพูดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ว่าข้อตกลงมินสค์ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเรา และเราไม่ได้ตั้งใจที่จะดำเนินการตามนั้น... เป้าหมายของเรา คือการกำจัดภัยคุกคามที่เราเผชิญและเอาชนะเวลาเพื่อฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างกองทัพขึ้นใหม่ หากเราบรรลุเป้าหมายนี้ ภารกิจจึงจะสำเร็จสำหรับข้อตกลงมินสค์ ชาวยูเครนยังคงต้องให้ค่าของกับของปลอมพวกนี้ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ชาติตะวันตกได้บังคับให้ยอมรับระบอบนีโอนาซีที่ต่อต้านรัสเซีย เป็นการสิ้นเปลืองเวลามากสำหรับ นาย Olaf Scholz เพราะการเรียกร้องของเขาได้พยายามบังคับให้รัสเซียยอมรับข้อตกลงที่รับประกันบูรณภาพแห่งดินแดนและอำนาจอธิปไตยของยูเครน อันที่จริงมีข้อตกลงในเรื่องนี้อยู่แล้วในข้อตกลงมินสค์ แต่เบอร์ลินร่วมกับปารีสเป็นผู้ที่ทำให้มันผิดเพื้ยนไปโดยการปกป้องรัฐบาลเคียฟในการปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดียูเครนนาย Vladimir Zelensky เป็นผู้สืบทอดอำนาจจาก นาย Petro Poroshenko ในระหว่างการชุมนุมหาเสียงในต้นปี 2562 เขาบอกว่าเขาพร้อมที่จะคุกเข่าต่อหน้าเพื่อยุติสงคราม
ในเดือนธันวาคม 2019 นายเซเลนสกี้ได้มีโอกาสดำเนินการตามข้อตกลงมินสค์หลังจากการประชุมสุดยอดที่นอร์มังดีในปารีส ในเอกสารที่นำมาใช้ ประธานาธิบดียูเครนรับหน้าที่ในการแก้ไขเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานะพิเศษของดอนบาส (Donbass) และแน่นอน คือเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ในขณะที่เบอร์ลินและปารีสปกปิดทุกอย่างเพื่อเขาอีกครั้ง เอกสารและการประชาสัมพันธ์ทั้งหมดได้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าปลอมๆ ที่สนับสนุนโดยยูเครนและชาติตะวันตกเพื่อให้ได้รับเวลาในการจัดหาอาวุธเพิ่มเติมให้กับระบอบการปกครองของเคียฟให้เป็นไปตามแนวคิดของนาย Petro Poroshenko ตามจดหมายที่เขียนไว้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของประเทศซีเรียด้วยในข้อตกลงปี 2556 ในการกำจัดคลังอาวุธเคมีของซีเรียตามกระบวนการทีละขั้นตอนที่ตรวจสอบโดยองค์กรเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี (OPCW) ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นในปี 2560 และ 2561 มีการยั่วยุที่รุนแรงขึ้นโดยใช้อาวุธเคมีใน Khan Shaykhun และ Duma ชานเมืองดามัสกัส มีวิดีโอที่แสดงคนที่เรียกตัวเองว่า White Helmets (องค์กรที่น่าจะเป็นองค์กรเพื่อมนุษยธรรมซึ่งไม่เคยปรากฏตัวในดินแดนที่ควบคุมโดยรัฐบาลซีเรียมาก่อน) ได้ทำการช่วยเหลือผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าวางยาพิษแม้ว่าจะไม่มีใครมีชุดป้องกันหรืออุปกรณ์ป้องกันใดๆ ความพยายามทั้งหมดในการบังคับให้สำนักเลขาธิการด้านเทคนิคของหน่วยงาน OPCW ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและให้ทำการรับรองการสอบสวนให้มีความโปร่งใสเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ ตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (CWC) ที่ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจเลย ประเทศตะวันตกได้แปรรูปสำนักเลขาธิการทางด้านเทคนิคมาเป็นเวลานานโดยมีการแต่งตั้งตัวแทนให้ดำรงตำแหน่งสำคัญภายในโครงสร้างนี้ พวกเขามีส่วนในการจัดฉากเหตุการณ์เหล่านี้และใช้เป็นข้ออ้างสำหรับในการโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศสต่อซีเรีย โดยบังเอิญ พวกเขาวางระเบิดเหล่านี้เพียงหนึ่งวันก่อนที่กลุ่มผู้ตรวจ OPCW จะมาถึงที่นั่นเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ที่รัสเซียยืนกราน ในขณะที่ตะวันตกทำทุกอย่างเพื่อป้องกันการติดตั้งระเบิดพวกนี้
มีต่อ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
คิดอย่างไรกับบทความเปิดโปงการจัดฉากการเมืองของตะวันตก จากมุมมองของรัสเซีย
........................................................................................................................................................................................................
https://thailand.mid.ru/th/key-issues/6477-ob-instsenirovkakh-kak-metode-politiki-zapada-3
สถานทูตสหพันธรัฐรัสเซีย
ประจำราชอาณาจักรไทย
บทความของจากเซอร์เกย์ ลาฟลอฟ เรื่อง การจัดฉากเหตุการณ์ต่างๆ ของประเทศตะวันตกต่อการเมือง
ทุกวันนี้ กองทัพรัสเซียและหน่วยป้องกันตนเองของสาธารณรัฐโดเนตสค์และลูฮันสค์ได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติการพิเศษทางทหารเพื่อจะยุติการเลือกปฏิบัติและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่อุกอาจต่อชาวรัสเซียและขจัดภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของสหพันธรัฐรัสเซียที่สหรัฐอเมริกาได้สร้างขึ้นในดินแดนยูเครนเป็นเวลาหลายปี ขณะที่พวกเขากำลังพ่ายแพ้ในสนามรบ ระบอบการปกครองของยูเครนและผู้อุปถัมภ์จากชาติตะวันตกได้ต้องการที่จะทำลายประเทศของเราลงให้เกิดภาพลบในสายตาของประชาคมระหว่างประเทศ เราได้เห็นภาพของเมืองบูชา (Bucha) มาริโอปอล (Mariupol) ครามาทอสค์ (Kramatorsk) และ เครมชุค(Kremchug) แล้ว กระทรวงกลาโหมของรัสเซียได้ออกคำเตือนเป็นประจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการปลอมแปลงเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเรามีข้อเท็จจริงอยู่ในมือ
การกระทำดังกล่าวมีรูปแบบของการยั่วยุจากฝ่ายตะวันตกและพรรคพวก อันที่จริง พวกเขาได้เริ่มกิจกรรมเหล่านี้มานานก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศยูเครนด้วยซ้ำ ในปี 2542 ในหมู่บ้าน Račak ในจังหวัดปกครองตนเองของเซอร์เบียในเขต Kosovo และ Metohija โดยในเหตุการณ์นั้นกลุ่มผู้ตรวจสอบ OSCE ได้มาถึงสถานที่ซึ่งมีการค้นพบศพหลายสิบศพที่สวมชุดพลเรือน โดยไม่มีการสอบสวนใดๆ หัวหน้าคณะได้ประกาศเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ถึงแม้ว่าบทสรุปในลักษณะนี้จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ออกโดยเจ้าหน้าที่ระหว่างประเทศ แต่กลุ่มนาโต (NATO) ได้เริ่มทำการรุกรานทางทหารต่อยูโกสลาเวียในทันที โดยในระหว่างนั้น นาโตได้ทำลายศูนย์โทรคมนาคม สะพาน รถไฟโดยสาร และเป้าหมายพลเรือนอื่นๆ ต่อมาได้รับการพิสูจน์ด้วยหลักฐานที่แน่ชัดว่าศพผู้เสียชีวิตไม่ใช่พลเรือน แต่เป็นกองกำลังติดอาวุธของกองทัพปลดปล่อยโคโซโว ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธผิดกฎหมาย แต่งกายด้วยชุดพลเรือน แต่เมื่อถึงเวลานั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้นแล้ว โดยได้เสนอข้ออ้างเรื่องการใช้กำลังอย่างผิดกฎหมายครั้งแรกกับประเทศสมาชิก OSCE นับตั้งแต่การลงนามในพระราชบัญญัติสุดท้ายเฮลซิงกิในปี 2518 เป็นการบอกว่าแถลงการณ์นั้นได้ก่อให้เกิดการวางระเบิดเกิดขึ้น โดยวิลเลียม วอล์คเกอร์ พลเมืองสหรัฐฯ ที่เป็นหัวหน้าภารกิจตรวจสอบโคโซโวของ OSCE กล่าวว่าการแยกโคโซโวออกจากเซอร์เบียด้วยกำลังและการจัดตั้งแคมป์บอนด์สตีล ซึ่งเป็นฐานทัพทหารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐในคาบสมุทรบอลข่าน เป็นผลพวงหลักที่เกี่ยวข้องกับการรุกราน
ในปี 2546 คอลิน พาวเวลล์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แสดงผลงานอันน่าอับอายในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยใช้ขวดที่บรรจุผงสีขาวบางชนิด ซึ่งเขากล่าวว่ามีสปอร์ของแอนแทรกซ์ โดยอ้างว่ามีการผลิตในอิรัก อีกครั้งที่การแสดงของปลอมนั้นใช้ได้ผลก็คือ พวกแองโกล-แซกซอนและพวกที่ตามผู้นำของพวกเขาได้ออกวางระเบิดอิรัก ซึ่งพยายามดิ้นรนเพื่อฟื้นฟูสถานะของประเทศอย่างเต็มที่นับตั้งแต่นั้นมา ยิ่งไปกว่านั้น ไม่นานก่อนที่ของปลอมเหล่านั้นจะถูกเปิดเผยกับทุกคนและยอมรับว่าอิรักไม่มีอาวุธชีวภาพหรือ WMD ใดๆ ต่อมา นายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี่ แบลร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บงการการรุกราน ยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการฉ้อโกง โดยกล่าวว่าพวกเขาอาจจะเข้าใจผิดหรืออะไรทำนองนั้น สำหรับคอลิน พาวเวลล์ ภายหลังเขาพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองโดยอ้างว่าเขาถูกเข้าใจผิดด้วยวิธีการใดๆ นี่เป็นอีกการยั่วยุที่เสนอข้ออ้างในการดำเนินการตามแผนการทำลายชาติอธิปไตย
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ในประเทศลิเบียในปี 2554 โดยละครเรื่องนี้มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง สถานการณ์ไม่ได้ไปไกลถึงขึ้นมีการสร้างเรื่องโกหกขึ้นโดยตรง เช่นในโคโซโวหรืออิรัก แต่นาโต้ (NATO) ได้บิดเบือนมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างร้ายแรง ซึ่งตอนนี้ได้กำหนดเขตห้ามบินเหนือลิเบียโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบดขยี้กองทัพอากาศของมูอัมมาร์ กัดดาฟี ไม่ให้ได้ขึ้นบินตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม นาโต้เริ่มทิ้งระเบิดลงหน่วยกองทัพลิเบียที่กำลังต่อสู้ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ได้เสียชีวิตลงอย่างป่าเถื่อน และประเทศลิเบียก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ความพยายามในการรวมประเทศกลับคืนสู่สภาพเดิมยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยมีตัวแทนของสหรัฐฯ เป็นผู้รับผิดชอบกระบวนการนี้อีกครั้ง ซึ่งแต่งตั้งโดยเลขาธิการสหประชาชาติโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ เพื่อนร่วมงานชาวตะวันตกของเราได้อำนวยความสะดวกในข้อตกลงภายในลิเบียหลายฉบับเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง แต่ไม่มีข้อตกลงใดที่เป็นจริง กลุ่มติดอาวุธยังคงปกครองดินแดนลิเบีย โดยส่วนใหญ่พวกเขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศตะวันตก
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ในประเทศยูเครน ชาติตะวันตกซึ่งได้มีตัวแทนของรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส และโปแลนด์บังคับให้ประธานาธิบดี Viktor Yanukovich ให้ลงนามในข้อตกลงกับฝ่ายค้านเพื่อยุติการเผชิญหน้าและส่งเสริมการแก้ไขวิกฤตภายในยูเครนโดยสันติ ร่วมกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติในช่วงเปลี่ยนผ่านและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็วที่จะจัดขึ้นภายในไม่กี่เดือน สิ่งนี้ก็กลายเป็นการฉ้อโกงเช่นกัน เช้าวันรุ่งขึ้น ฝ่ายค้านก่อการรัฐประหารตามคำเรียกร้องในการต่อต้านรัสเซียและการเหยียดผิว อย่างไรก็ตาม ผู้ค้ำประกันชาวตะวันตกดังกล่าวไม่ได้พยายามที่จะทำให้ฝ่ายค้านเข้าใจ นอกจากนี้ พวกเขาเปลี่ยนไปสนับสนุนผู้กระทำผิดที่ทำรัฐประหารให้เป็นไปตามนโยบายของพวกเขาในการต่อต้านรัสเซียและทุกสิ่งทุกอย่างของรัสเซีย ก่อการทำสงครามกับประชาชนของตนเองและทิ้งระเบิดในภูมิภาคดอนบาส (Donbass) เพียงเพราะคนที่นั่นปฏิเสธที่จะยอมรับการทำรัฐประหารตามรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงตราหน้าผู้คนในเขตดอนบาส (Donbass) ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
ณ จุดนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อมีการเปิดเผยออกมา การสังหารผู้ประท้วงที่ Maidan ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งตะวันตกตำหนิกองกำลังความมั่นคงของยูเครนที่ภักดีต่อ Viktor Yanukovich หรือหน่วยพิเศษของรัสเซีย ว่าสมาชิกหัวรุนแรงของฝ่ายค้าน คือ คนที่อยู่เบื้องหลังการยั่วยุครั้งนี้ ขณะที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยข่าวกรองตะวันตก การเปิดเผยข้อเท็จจริงเหล่านี้ใช้เวลาไม่นานนัก แต่เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็ได้ทำหน้าที่ของตนไปแล้ว
ความพยายามของรัสเซีย เยอรมนี และฝรั่งเศสปูทางให้ยุติสงครามระหว่างเคียฟ โดเนตสค์ และลูฮานสค์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ด้วยการลงนามในข้อตกลงมินสค์ เบอร์ลินและปารีสมีบทบาทเช่นกัน โดยเรียกตัวเองว่าประเทศผู้ค้ำประกันด้วยความภาคภูมิใจ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเจ็ดปีที่ยาวนานหลังจากนั้น พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อปูทางให้เคียฟเปิดการเจรจาโดยตรงกับตัวแทนของเขตดอนบาส (Donbass) เพื่อตกลงในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงสถานะพิเศษ การนิรโทษกรรม การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และการจัดการเลือกตั้งตามที่ข้อตกลงมินสค์ ซึ่งได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ผู้นำตะวันตกยังคงนิ่งเงียบเมื่อเคียฟดำเนินการตามขั้นตอนซึ่งละเมิดข้อตกลงมินสค์โดยตรงภายใต้การนำของนายปีเตอร์ โปโรเชนโก และนายวลาดิมีร์ เซเลนสกี ยิ่งกว่านั้น ผู้นำเยอรมันและฝรั่งเศสยังพูดต่อไปว่า เคียฟไม่สามารถเข้าร่วมการเจรจาโดยตรงกับสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์และลูฮานสค์ได้ และกล่าวโทษทุกอย่างให้รัสเซียเป็นฝ่ายผิด แม้ว่ารัสเซียจะไม่ได้กล่าวอ้างข้อตกลงมินสค์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วรัสเซียยังคงเป็นประเทศเดียวที่รักษากฎกติกานี้ไว้และผลักดันให้ดำเนินการตามข้อตกลงที่ให้ไว้
หากใครสงสัยว่าข้อตกลงมินสค์เป็นของปลอมหรือไม่ ต้องมาดูที่คำพูดของนาย Petro Poroshenko ซึ่งเป็นผู้ที่ได้สร้างเรื่องนี้ขึ้นโดยพูดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ว่าข้อตกลงมินสค์ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเรา และเราไม่ได้ตั้งใจที่จะดำเนินการตามนั้น... เป้าหมายของเรา คือการกำจัดภัยคุกคามที่เราเผชิญและเอาชนะเวลาเพื่อฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างกองทัพขึ้นใหม่ หากเราบรรลุเป้าหมายนี้ ภารกิจจึงจะสำเร็จสำหรับข้อตกลงมินสค์ ชาวยูเครนยังคงต้องให้ค่าของกับของปลอมพวกนี้ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ชาติตะวันตกได้บังคับให้ยอมรับระบอบนีโอนาซีที่ต่อต้านรัสเซีย เป็นการสิ้นเปลืองเวลามากสำหรับ นาย Olaf Scholz เพราะการเรียกร้องของเขาได้พยายามบังคับให้รัสเซียยอมรับข้อตกลงที่รับประกันบูรณภาพแห่งดินแดนและอำนาจอธิปไตยของยูเครน อันที่จริงมีข้อตกลงในเรื่องนี้อยู่แล้วในข้อตกลงมินสค์ แต่เบอร์ลินร่วมกับปารีสเป็นผู้ที่ทำให้มันผิดเพื้ยนไปโดยการปกป้องรัฐบาลเคียฟในการปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดียูเครนนาย Vladimir Zelensky เป็นผู้สืบทอดอำนาจจาก นาย Petro Poroshenko ในระหว่างการชุมนุมหาเสียงในต้นปี 2562 เขาบอกว่าเขาพร้อมที่จะคุกเข่าต่อหน้าเพื่อยุติสงคราม
ในเดือนธันวาคม 2019 นายเซเลนสกี้ได้มีโอกาสดำเนินการตามข้อตกลงมินสค์หลังจากการประชุมสุดยอดที่นอร์มังดีในปารีส ในเอกสารที่นำมาใช้ ประธานาธิบดียูเครนรับหน้าที่ในการแก้ไขเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานะพิเศษของดอนบาส (Donbass) และแน่นอน คือเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ในขณะที่เบอร์ลินและปารีสปกปิดทุกอย่างเพื่อเขาอีกครั้ง เอกสารและการประชาสัมพันธ์ทั้งหมดได้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าปลอมๆ ที่สนับสนุนโดยยูเครนและชาติตะวันตกเพื่อให้ได้รับเวลาในการจัดหาอาวุธเพิ่มเติมให้กับระบอบการปกครองของเคียฟให้เป็นไปตามแนวคิดของนาย Petro Poroshenko ตามจดหมายที่เขียนไว้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของประเทศซีเรียด้วยในข้อตกลงปี 2556 ในการกำจัดคลังอาวุธเคมีของซีเรียตามกระบวนการทีละขั้นตอนที่ตรวจสอบโดยองค์กรเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี (OPCW) ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นในปี 2560 และ 2561 มีการยั่วยุที่รุนแรงขึ้นโดยใช้อาวุธเคมีใน Khan Shaykhun และ Duma ชานเมืองดามัสกัส มีวิดีโอที่แสดงคนที่เรียกตัวเองว่า White Helmets (องค์กรที่น่าจะเป็นองค์กรเพื่อมนุษยธรรมซึ่งไม่เคยปรากฏตัวในดินแดนที่ควบคุมโดยรัฐบาลซีเรียมาก่อน) ได้ทำการช่วยเหลือผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าวางยาพิษแม้ว่าจะไม่มีใครมีชุดป้องกันหรืออุปกรณ์ป้องกันใดๆ ความพยายามทั้งหมดในการบังคับให้สำนักเลขาธิการด้านเทคนิคของหน่วยงาน OPCW ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและให้ทำการรับรองการสอบสวนให้มีความโปร่งใสเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ ตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (CWC) ที่ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจเลย ประเทศตะวันตกได้แปรรูปสำนักเลขาธิการทางด้านเทคนิคมาเป็นเวลานานโดยมีการแต่งตั้งตัวแทนให้ดำรงตำแหน่งสำคัญภายในโครงสร้างนี้ พวกเขามีส่วนในการจัดฉากเหตุการณ์เหล่านี้และใช้เป็นข้ออ้างสำหรับในการโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศสต่อซีเรีย โดยบังเอิญ พวกเขาวางระเบิดเหล่านี้เพียงหนึ่งวันก่อนที่กลุ่มผู้ตรวจ OPCW จะมาถึงที่นั่นเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ที่รัสเซียยืนกราน ในขณะที่ตะวันตกทำทุกอย่างเพื่อป้องกันการติดตั้งระเบิดพวกนี้
มีต่อ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,