ก่อนอื่นจริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนนอกรีต หรือไม่นับถือศาสนาอะไรครับ ผมเชื่อกรรมดี และเชื่อว่าการไม่ยึดติด การเสียสละ ทำให้เราไม่ทุกข์
ผมกับภรรยา ได้มีลูกมา 2 คนละครับ คนโตอยู่ ม.5 และคนเล็กอยู่ ม.1 ก่อนหน้าภรรยาก็ช่วยงานพ่อตา ก็ค่อนข้างมีเวลาดูลูก ส่วนผมก็ทำงาน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ผ่อนบ้าน ผ่อนรถที่ภรรยาใช้ จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แต่ไม่ได้ให้เงินภรรยาครับ ส่งนเขาก็จะได้เงินเดือนจากพ่อตา ซึ่งก็จะเป็นเงินที่เขาใช้ส่วนตัวไม่ได้มาแชร์ค่าใช้จ่ายอะไร
ต่อมาธุรกิจของพ่อตาไม่ดี กอร์ปกับท่านไม่สบาย จนเสียไป ก่อนท่านเสีย ผมก็ได้แนะนำให้แฟนไปขายรถยี่ห้อที่ผมเคยขายอยู่ ซึ่งจริงๆผมเกือบไม่ได้อยู่เพราะเป็นโรคหัวใจ จึงอยากให้ภรรยาไปทำงาน เผื่อวันหนึ่งผมไม่อยู่ จะได้ไม่ต้องเริ่มต้นหางาน
ต่อมาก็ทำงานได้อย่างราบรื่น เนื่องจากบริษัทฯที่อยู่ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ อะไรมากมาย จึงทำอะไรก็ได้ ขายได้ก็โอเค มีคนเข้าๆออกๆ แต่ภรรยาผมยังอยู่ เพราะไม่ได้ซีเรียสเรื่องรายได้มากนัก และต่อมาก็จึงถูกผลักดันขึ้นมาเป็นผจก ขาย หลังจากนั้นมาก็จะเริ่มมีแรงกดดันเรื่องเป้าขาย นั่งคุยโทรศัพท์ เรื่องคน หัวหน้าในออฟฟิศตั้งแต่บนรถ รับลูก จนถึงบ้าน และพอเริ่มขายก็จะมีความเชื่อต่างๆ เริ่มไปทำบุญ นั่งสมาธิ สวดมนต์
ต้องบอกว่าจริงๆเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะกลายเป็นว่า เมื่อเธอกลับมาบ้าน คุยโทรศัพท์ เสร็จ ขึ้นบนห้อง อาบน้ำ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ชั้นล่างก็จะมีแค่ผม ลูกคนเล็ก ซึ่งลูกคนโตก็จะเริ่มเตรียมตัวเข้ามหาลัย ก็จะเข้าห้องเพื่อติวกับเพื่อนๆ แต่หลังจากโดยใช้ล้างจาน เก็บโต๊ะเสร็จ ผมเลิกงาน 6 โมง ปกติก็จะกลับมากินข้าวที่บ้าน หลังๆ ลูกคนโตกลับดึก เกือบสามทุ่ม ก็เลยไม่อยากรอกินเพราะทานดึกก็จะไม่ดี ส่วนใหญ่ผมกลับมาก่อนก็จะเก็บผ้าซักและอบ และรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกไว้ พอทุกๆคนกลับมา ก็จะเข้าลูปเดิม เธอก็จะคุยโทรศัพท์ เก็บของขึ้นข้างบน แทบบอกว่าถ้าไม่นั่งกินข้าวก็จะไม่เจอกันเลย
เคยทักว่าช่วยดูแลบ้านหน่อย ก็จะโมโหหงุดหงิด จริงๆตอนที่เธอเริ่มทำงานจริงจังเป็นเงินเดือนก็ให้เริ่มหาแม่บ้าน ให้หามาหลายปีมาก ผมก็ปล่อยให้หา โดยคิดว่าถ้าไม่หาก็ตัวเองจะลำบากทำงานด้วย ต้องทำงานบ้านด้วย เปล่าเลย ก็คงไม่ได้ จนผมไปค้นหาแม่บ้านรายครั้ง สอบถามเอาเบอร์ให้เรียบร้อย เธอก็แจ้งวันเสาร์เพื่อนัดเขาวันรุ่งขึ้น ซึ่งโดยปกติควรนัดเป็นสัปดาห์ แล้วก็บ่นว่าหาไม่ได้ ไม่มีคนมา จนผมก็เลยดำเนินการจองและจัดการนัดให้เข้ามาทำที่บ้านในสัปดาห์ต่อไป แต่..... เธอก็บอกว่า ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ไปปฏิบัติธรรม โอ้วแม่เจ้า วันเสารลูกคนเล็กเรียนพิเศษ ต้องไปรับไปส่ง แม่บ้านมาทำบ้าน วันอาทิตย์ คนเล็กต้องไปสอบแอสโม่ กรูทั้งหมดใช่ไหมเนี่ย????
ปัญหาแบบนี้ เป็นมานานและตอนนี้ลูกคนโต ม.5 ซึ่งตอนนี้นิสัยก็คือจะเก็บตัวนิดหน่อย และทำกิจกรรมที่โรงเรียน โดยกลับดึกบ่อยๆ ผมก็บอกให้ว่าถ้ากลับดึกต้องไม่เกินกี่โมง ถ้าเกินกี่โมงต้องกลับเอง ซึ่งบ้านและโรงเรียนอยู่ไกลพอสมควรถ้านั่งรถกลับเองน่าจะมี 2-3 ชั่วโมง เพราะวิงผ่านวงแหวนไม่ได้ แต่เธอก็จะโวยวาย ลูกกลับดึก เราก็พยายามมานั่งคุยเหตุผล ข้อดีข้อเสีย แต่เธอก็จะหงุดหงิด ไม่ฟังไม่พูด และก็ขึ้นชั้นสองไป อาบน้ำ และก็ไปนั่งสมาธิสวดมนต์ ซึ่งผมว่ามันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้ และผมก็ว่าถ้าผมไปห้ามหรือไปปราม ให้เอาเวลากับครอบครัว การสร้างหรือคอยติดตามส่งเสริมพัฒนาการของลูก ทั้งนี้ตั้งแต่ คนโตเข้าม. 1 ผมไล่ดูที่สอบ ประเมินว่าจะเข้าที่ไหนบ้าง สถิติ ส่งสอบ pre test กลุ่มไหมที่เกี่ยวข้องเข้าไปอ่านหมด ส่งลิงค์ให้เธอไป ก็ไม่อ่าน ที่รู้คือลองถามดูก็บอกว่ายัง บางทีก็จะตอบว่าอ่านไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ผมต้องเตรียมให้ลูกคนเล็กเข้าม.1 หาที่ติว ให้เธอไปรับ ส่วนใหญ่ผมจะไปส่ง และกลับมาจากทำงานถ้ามีเวลาก็จะให้มานั่งติวกันครึ่งชั่วโมงบ้างเพราะผมจะเจอลูกก็สามทุ่ม
ตอนนี้ผมเลยแค่รู้สึกว่า
อยากให้เธอเข้าใจว่า สิ่งทุกสิ่งจะเกิดขึ้นเกิดจากความพยายามของเรา เกิดขึ้นจากความรู้ที่เราต้องแสวงหา ไม่ใช่แค่ บุญ วาสนา หรือลาภลอย วันหนึงเมื่อพร้อม ไม่มีภาระ แล้วต้องการจิตใจที่สงบ ผมเชื่อว่าธรรมะ จะนำทางเราไปในจุดสุดท้ายของทุกคน แต่ตอนนี้ ต้องอยู่กับชีวิตจริง อยู่กับสิ่งที่ต้องคาดหวังและต้องทำให้สมหวัง ผมคิดผิดไปไหมครับ ถ้าผมคิดผิดผมควรคิดอย่างไรครับ
แต่ถ้า ผมคิดไม่ผิด ผมควรหาวิธีทำให้เธอเข้าใจและให้เวลากับลูก ช่วยกันสร้างให้ลูกมีจุดหมายที่เขาสามารถดูแลตนเองต่อไปได้ในอนาคตโดยวิธิไหนบ้างครับ
ตอนนี้ผมแค่รู้สึกว่า เขาควรให้เวลากับลูก กับบ้าน ให้มาก ไม่ใช่เอะอะ เข้าวัด ทำบุญ แต่ปัญหาต่างๆยังไม่เคยได้รับการแก้ไข ต่อไปมันก็จะพอกพูนมากขึ้นๆ
และผมก็ยังไม่เห็นสิ่งที่ได้จากสิ่งที่ทำแล้วจะทำให้ครอบครัวดีขึ้นครับ มันดูแย่ลงๆ
ผมผิดไหมครับ ที่ผมไม่ค่อยสนับสนุน ภรรยาไปวัดทำบุญ
ผมกับภรรยา ได้มีลูกมา 2 คนละครับ คนโตอยู่ ม.5 และคนเล็กอยู่ ม.1 ก่อนหน้าภรรยาก็ช่วยงานพ่อตา ก็ค่อนข้างมีเวลาดูลูก ส่วนผมก็ทำงาน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ผ่อนบ้าน ผ่อนรถที่ภรรยาใช้ จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แต่ไม่ได้ให้เงินภรรยาครับ ส่งนเขาก็จะได้เงินเดือนจากพ่อตา ซึ่งก็จะเป็นเงินที่เขาใช้ส่วนตัวไม่ได้มาแชร์ค่าใช้จ่ายอะไร
ต่อมาธุรกิจของพ่อตาไม่ดี กอร์ปกับท่านไม่สบาย จนเสียไป ก่อนท่านเสีย ผมก็ได้แนะนำให้แฟนไปขายรถยี่ห้อที่ผมเคยขายอยู่ ซึ่งจริงๆผมเกือบไม่ได้อยู่เพราะเป็นโรคหัวใจ จึงอยากให้ภรรยาไปทำงาน เผื่อวันหนึ่งผมไม่อยู่ จะได้ไม่ต้องเริ่มต้นหางาน
ต่อมาก็ทำงานได้อย่างราบรื่น เนื่องจากบริษัทฯที่อยู่ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ อะไรมากมาย จึงทำอะไรก็ได้ ขายได้ก็โอเค มีคนเข้าๆออกๆ แต่ภรรยาผมยังอยู่ เพราะไม่ได้ซีเรียสเรื่องรายได้มากนัก และต่อมาก็จึงถูกผลักดันขึ้นมาเป็นผจก ขาย หลังจากนั้นมาก็จะเริ่มมีแรงกดดันเรื่องเป้าขาย นั่งคุยโทรศัพท์ เรื่องคน หัวหน้าในออฟฟิศตั้งแต่บนรถ รับลูก จนถึงบ้าน และพอเริ่มขายก็จะมีความเชื่อต่างๆ เริ่มไปทำบุญ นั่งสมาธิ สวดมนต์
ต้องบอกว่าจริงๆเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะกลายเป็นว่า เมื่อเธอกลับมาบ้าน คุยโทรศัพท์ เสร็จ ขึ้นบนห้อง อาบน้ำ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ชั้นล่างก็จะมีแค่ผม ลูกคนเล็ก ซึ่งลูกคนโตก็จะเริ่มเตรียมตัวเข้ามหาลัย ก็จะเข้าห้องเพื่อติวกับเพื่อนๆ แต่หลังจากโดยใช้ล้างจาน เก็บโต๊ะเสร็จ ผมเลิกงาน 6 โมง ปกติก็จะกลับมากินข้าวที่บ้าน หลังๆ ลูกคนโตกลับดึก เกือบสามทุ่ม ก็เลยไม่อยากรอกินเพราะทานดึกก็จะไม่ดี ส่วนใหญ่ผมกลับมาก่อนก็จะเก็บผ้าซักและอบ และรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกไว้ พอทุกๆคนกลับมา ก็จะเข้าลูปเดิม เธอก็จะคุยโทรศัพท์ เก็บของขึ้นข้างบน แทบบอกว่าถ้าไม่นั่งกินข้าวก็จะไม่เจอกันเลย
เคยทักว่าช่วยดูแลบ้านหน่อย ก็จะโมโหหงุดหงิด จริงๆตอนที่เธอเริ่มทำงานจริงจังเป็นเงินเดือนก็ให้เริ่มหาแม่บ้าน ให้หามาหลายปีมาก ผมก็ปล่อยให้หา โดยคิดว่าถ้าไม่หาก็ตัวเองจะลำบากทำงานด้วย ต้องทำงานบ้านด้วย เปล่าเลย ก็คงไม่ได้ จนผมไปค้นหาแม่บ้านรายครั้ง สอบถามเอาเบอร์ให้เรียบร้อย เธอก็แจ้งวันเสาร์เพื่อนัดเขาวันรุ่งขึ้น ซึ่งโดยปกติควรนัดเป็นสัปดาห์ แล้วก็บ่นว่าหาไม่ได้ ไม่มีคนมา จนผมก็เลยดำเนินการจองและจัดการนัดให้เข้ามาทำที่บ้านในสัปดาห์ต่อไป แต่..... เธอก็บอกว่า ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ไปปฏิบัติธรรม โอ้วแม่เจ้า วันเสารลูกคนเล็กเรียนพิเศษ ต้องไปรับไปส่ง แม่บ้านมาทำบ้าน วันอาทิตย์ คนเล็กต้องไปสอบแอสโม่ กรูทั้งหมดใช่ไหมเนี่ย????
ปัญหาแบบนี้ เป็นมานานและตอนนี้ลูกคนโต ม.5 ซึ่งตอนนี้นิสัยก็คือจะเก็บตัวนิดหน่อย และทำกิจกรรมที่โรงเรียน โดยกลับดึกบ่อยๆ ผมก็บอกให้ว่าถ้ากลับดึกต้องไม่เกินกี่โมง ถ้าเกินกี่โมงต้องกลับเอง ซึ่งบ้านและโรงเรียนอยู่ไกลพอสมควรถ้านั่งรถกลับเองน่าจะมี 2-3 ชั่วโมง เพราะวิงผ่านวงแหวนไม่ได้ แต่เธอก็จะโวยวาย ลูกกลับดึก เราก็พยายามมานั่งคุยเหตุผล ข้อดีข้อเสีย แต่เธอก็จะหงุดหงิด ไม่ฟังไม่พูด และก็ขึ้นชั้นสองไป อาบน้ำ และก็ไปนั่งสมาธิสวดมนต์ ซึ่งผมว่ามันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้ และผมก็ว่าถ้าผมไปห้ามหรือไปปราม ให้เอาเวลากับครอบครัว การสร้างหรือคอยติดตามส่งเสริมพัฒนาการของลูก ทั้งนี้ตั้งแต่ คนโตเข้าม. 1 ผมไล่ดูที่สอบ ประเมินว่าจะเข้าที่ไหนบ้าง สถิติ ส่งสอบ pre test กลุ่มไหมที่เกี่ยวข้องเข้าไปอ่านหมด ส่งลิงค์ให้เธอไป ก็ไม่อ่าน ที่รู้คือลองถามดูก็บอกว่ายัง บางทีก็จะตอบว่าอ่านไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ผมต้องเตรียมให้ลูกคนเล็กเข้าม.1 หาที่ติว ให้เธอไปรับ ส่วนใหญ่ผมจะไปส่ง และกลับมาจากทำงานถ้ามีเวลาก็จะให้มานั่งติวกันครึ่งชั่วโมงบ้างเพราะผมจะเจอลูกก็สามทุ่ม
ตอนนี้ผมเลยแค่รู้สึกว่า
อยากให้เธอเข้าใจว่า สิ่งทุกสิ่งจะเกิดขึ้นเกิดจากความพยายามของเรา เกิดขึ้นจากความรู้ที่เราต้องแสวงหา ไม่ใช่แค่ บุญ วาสนา หรือลาภลอย วันหนึงเมื่อพร้อม ไม่มีภาระ แล้วต้องการจิตใจที่สงบ ผมเชื่อว่าธรรมะ จะนำทางเราไปในจุดสุดท้ายของทุกคน แต่ตอนนี้ ต้องอยู่กับชีวิตจริง อยู่กับสิ่งที่ต้องคาดหวังและต้องทำให้สมหวัง ผมคิดผิดไปไหมครับ ถ้าผมคิดผิดผมควรคิดอย่างไรครับ
แต่ถ้า ผมคิดไม่ผิด ผมควรหาวิธีทำให้เธอเข้าใจและให้เวลากับลูก ช่วยกันสร้างให้ลูกมีจุดหมายที่เขาสามารถดูแลตนเองต่อไปได้ในอนาคตโดยวิธิไหนบ้างครับ
ตอนนี้ผมแค่รู้สึกว่า เขาควรให้เวลากับลูก กับบ้าน ให้มาก ไม่ใช่เอะอะ เข้าวัด ทำบุญ แต่ปัญหาต่างๆยังไม่เคยได้รับการแก้ไข ต่อไปมันก็จะพอกพูนมากขึ้นๆ
และผมก็ยังไม่เห็นสิ่งที่ได้จากสิ่งที่ทำแล้วจะทำให้ครอบครัวดีขึ้นครับ มันดูแย่ลงๆ