ระหว่างที่ ผู้นำป้อม ได้เป็นนายกรักษาการณ์ ผู้นำป้อมได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ และสร้างความแตกต่างจากผู้นำตู่ แบบหน้ามือเป็นหลังมือ
แสดงความได้เปรียบให้คนดูเห็นดังนี้
1) ลุกนั่งเดินเหินเอง โดยไม่ต้องมีคนคอยพยุง
2) แสดงให้เห็นว่า สามารถบริหารงานแผ่นดินได้เรียบร้อย
3) เดินทางไปดูงานหลายๆ ที่ เข้าถึงง่ายกว่าผู้นำตู่ และมีชาวบ้านในที่ที่เขาไป ชื่นชมเขามากกว่า ชาวบ้านที่แสดงท่าทีว่าชื่นชมผู้นำตู่ (ในที่ที่ผู้นำตู่ไป)
4) โทรไปหาผู้ว่าชัชชาติ เพื่อเสนอให้ทหารช่วยเหลือในการป้องกันน้ำท่วม ไม่ใช่ครั้งเดียว ผิดกับผู้นำตู่ ที่ต้องรอให้ผู้ว่าร้องบอกออกมาก่อน
5) สั่งการให้ผบทบ. และทหารไปช่วยผู้ว่าชัชชาติโดยตรง โดยไม่ผ่านผู้นำตู่ที่เป็น รมต.กลาโหม
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีจุดเสียเปรียบหลุดออกมา
1) สื่อทีนิวส์ ลงข่าวเรื่อง (สิบตำรวจโท ที่สว.บอกว่าเคยสนิทกัน แต่ตอนนี้ห่างแล้ว) ว่าคนเซ็นต์ให้เข้ามา คือ ญาติผู้นำป้อม
2) มีข่าวเรื่องผู้นำป้อมยังหลับในที่ประชุม แม้ลิ่วล้อจะแก้ต่างให้ว่า เป็นการกระพริบตา แต่ข่าวก็พยายามสื่อว่า ทำหน้าที่ไม่ไหวหรอก
3) เรื่องนาฬิกายืมเพื่อนที่เดิมจบไปแล้ว ทำอะไรผู้นำป้อมไม่ได้ แต่ฝ่ายค้านกลับมีประเด็นใหม่มาเล่นต่อได้
(มันน่าคิดว่า ฝ่ายค้านรู้ได้เอง หรือว่ามีคนชง)
4) ล่าสุดชาวบ้านดอยม่อนแจ่มเตรียมเดินทางเข้ามาถวายฏีกาที่กรุงเทพฯ โดยตรง เรื่องไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องที่ดิน ก็มาตรงกับช่วงผู้นำป้อมพอดี
ในขณะที่ผู้นำตู่ ถูกพักยกชั่วคราว ก็มีเหตุการณ์ชิงความได้เปรียบกลับคืนมา
1) มีภาพอนุทิน และอนุพงษ์ มาพบบิ๊กตู่ โดยมีกองหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์เปิดสื่อเชียร์ผู้นำตู่อยู่
แต่นักข่าวสังเกตว่า หนังสือพิมพ์ดูแล้วเป็นพร็อบ คือ เรียบใหม่เอี่ยมไม่มีรอยยับจากการถูกเปิดออกมาเลย
2) มีการเริ่มเดินทางไปทำหน้าที่ และไปเยี่ยมชาวบ้านในบางพื้นที่
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีจุดเสียเปรียบหลุดออกมา
1) เรื่องข่าวเด็กเส้น สว. ที่เป็นข่าวหลุดๆ กันมา แม้คนเซ็นต์จะเป็นน้องผู้นำป้อม แต่ก็มีนักข่าวแก้ว่า ก็เหมือนมีคนรู้จักมาฝากเด็ก
คนเซ็นต์เขาก็เซ็นต์ไป โดยไม่ได้รู้จักอะไรกับเด็กคนนั้น ก็เป็นได้ ต้องไปดูว่าใครฝาก และหน่วยงาน กอรมน. ประธานก็คือ ผู้นำตู่
2) มีข่าวออกว่า ชาวบ้านที่อยุธยาน้อยใจที่ผู้นำตู่บอกว่า จะไปเยี่ยมเรื่องน้ำท่วมแล้วไม่ได้ไป ชาวบ้าน งอนว่า คราวหน้าไม่มารับแล้ว
เรียกว่า ชิงไหวชิงพริบกันเต็มที่ทั้งสองฝ่าย แล้วฝ่ายไหนเป็นฝ่ายได้เปรียบครับ เวลานี้
งานนี้ใครได้เปรียบครับ
แสดงความได้เปรียบให้คนดูเห็นดังนี้
1) ลุกนั่งเดินเหินเอง โดยไม่ต้องมีคนคอยพยุง
2) แสดงให้เห็นว่า สามารถบริหารงานแผ่นดินได้เรียบร้อย
3) เดินทางไปดูงานหลายๆ ที่ เข้าถึงง่ายกว่าผู้นำตู่ และมีชาวบ้านในที่ที่เขาไป ชื่นชมเขามากกว่า ชาวบ้านที่แสดงท่าทีว่าชื่นชมผู้นำตู่ (ในที่ที่ผู้นำตู่ไป)
4) โทรไปหาผู้ว่าชัชชาติ เพื่อเสนอให้ทหารช่วยเหลือในการป้องกันน้ำท่วม ไม่ใช่ครั้งเดียว ผิดกับผู้นำตู่ ที่ต้องรอให้ผู้ว่าร้องบอกออกมาก่อน
5) สั่งการให้ผบทบ. และทหารไปช่วยผู้ว่าชัชชาติโดยตรง โดยไม่ผ่านผู้นำตู่ที่เป็น รมต.กลาโหม
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีจุดเสียเปรียบหลุดออกมา
1) สื่อทีนิวส์ ลงข่าวเรื่อง (สิบตำรวจโท ที่สว.บอกว่าเคยสนิทกัน แต่ตอนนี้ห่างแล้ว) ว่าคนเซ็นต์ให้เข้ามา คือ ญาติผู้นำป้อม
2) มีข่าวเรื่องผู้นำป้อมยังหลับในที่ประชุม แม้ลิ่วล้อจะแก้ต่างให้ว่า เป็นการกระพริบตา แต่ข่าวก็พยายามสื่อว่า ทำหน้าที่ไม่ไหวหรอก
3) เรื่องนาฬิกายืมเพื่อนที่เดิมจบไปแล้ว ทำอะไรผู้นำป้อมไม่ได้ แต่ฝ่ายค้านกลับมีประเด็นใหม่มาเล่นต่อได้
(มันน่าคิดว่า ฝ่ายค้านรู้ได้เอง หรือว่ามีคนชง)
4) ล่าสุดชาวบ้านดอยม่อนแจ่มเตรียมเดินทางเข้ามาถวายฏีกาที่กรุงเทพฯ โดยตรง เรื่องไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องที่ดิน ก็มาตรงกับช่วงผู้นำป้อมพอดี
ในขณะที่ผู้นำตู่ ถูกพักยกชั่วคราว ก็มีเหตุการณ์ชิงความได้เปรียบกลับคืนมา
1) มีภาพอนุทิน และอนุพงษ์ มาพบบิ๊กตู่ โดยมีกองหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์เปิดสื่อเชียร์ผู้นำตู่อยู่
แต่นักข่าวสังเกตว่า หนังสือพิมพ์ดูแล้วเป็นพร็อบ คือ เรียบใหม่เอี่ยมไม่มีรอยยับจากการถูกเปิดออกมาเลย
2) มีการเริ่มเดินทางไปทำหน้าที่ และไปเยี่ยมชาวบ้านในบางพื้นที่
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีจุดเสียเปรียบหลุดออกมา
1) เรื่องข่าวเด็กเส้น สว. ที่เป็นข่าวหลุดๆ กันมา แม้คนเซ็นต์จะเป็นน้องผู้นำป้อม แต่ก็มีนักข่าวแก้ว่า ก็เหมือนมีคนรู้จักมาฝากเด็ก
คนเซ็นต์เขาก็เซ็นต์ไป โดยไม่ได้รู้จักอะไรกับเด็กคนนั้น ก็เป็นได้ ต้องไปดูว่าใครฝาก และหน่วยงาน กอรมน. ประธานก็คือ ผู้นำตู่
2) มีข่าวออกว่า ชาวบ้านที่อยุธยาน้อยใจที่ผู้นำตู่บอกว่า จะไปเยี่ยมเรื่องน้ำท่วมแล้วไม่ได้ไป ชาวบ้าน งอนว่า คราวหน้าไม่มารับแล้ว
เรียกว่า ชิงไหวชิงพริบกันเต็มที่ทั้งสองฝ่าย แล้วฝ่ายไหนเป็นฝ่ายได้เปรียบครับ เวลานี้