ศาสนาอิสลามห้ามการบริโภคอาหารที่สกปรกและเป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นเดียวกันกับผู้ที่ไม่เป็นมุสลิมซึ่งตามปกติจะไม่กินอาหารที่ไม่สะอาดเช่นกัน แต่มุสลิมยึดติดอยู่กับหลักปฏิบัติามอัลกุรอาน โดยที่จะงดการกินอาหารดังต่อไปนี้ ได้แก่ :
โลหิต และ เนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮฺ ยามที่(เชือด)มัน และสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และสัตว์ที่ถูกตีตาย และสัตว์ที่ตกเหวตาย และสัตว์ที่ถูกขวิดตาย และซากสัตว์ที่เหลือจากการที่ถูกสัตว์ร้ายกัดกิน และสัตว์ที่ถูกเชือดบนแท่นหินบูชาเพื่อการสังเวย และเนื้อสัตว์ที่ได้รับมาจากการพนัน เหล่านั้นเป็นการละเมิด , มุสลิมจะต้องปฏิบัติตามข้อห้ามดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ยกเว้นแต่ในยามจำเป็นต้องบริโภคเพื่อประทังชีวิต หรือหาอาหารอื่นทดแทนไม่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้2:173} อันที่จริงที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามพวกเธอก็คือสัตว์ที่ตายเอง โลหิต เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงยามเชือดให้แก่สิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ แต่ถ้าหากผู้ใดตกอยู่ในภาวะคับขัน โดยไม่ใช่เป็นผู้เสาะหาและไม่ได้ละเมิด มันก็ไม่เป็นความบาปแก่เขา เพราะอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงปรานีเสมอ
{5:3} ได้ถูกห้ามแก่พวกเธอแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ตายเอง และโลหิต และ เนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮฺ ยามที่(เชือด)มัน และสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และสัตว์ที่ถูกตีตาย และสัตว์ที่ตกเหวตาย และสัตว์ที่ถูกขวิดตาย และสัตว์ที่ถูกสัตว์ร้ายกัดกิน นอกจากที่พวกเธอเชือด และสัตว์ที่ถูกเชือดบนแท่นหินบูชา และการที่พวกเธอเสี่ยงทายด้วยไม้ติ้ว เหล่านั้นเป็นการละเมิด วันนี้บรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธา หมดหวังในศาสนาของพวกเธอแล้ว ดังนั้นพวกเธอจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวฉันเถิด วันนี้ฉันได้ทำให้ศาสนาของพวกเธอสมบูรณ์เพื่อพวกเธอ และฉันได้ทำให้ความโปรดปรานของฉันที่มีต่อพวกเธอนั้นบริบูรณ์ และฉันได้เลือกให้อิสลามเป็นศาสนาของพวกเธอ ผู้ใดได้รับความคับขันในความหิวโหย โดยไม่ใช่เป็นผู้จงใจกระทำบาปแล้วไซร้ แน่นอนอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ
{6:145} จงกล่าวเถิดว่า "ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูกเปิดเผยสำแดงแก่ฉันนั้น มีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเอง หรือโลหิตที่ไหลออก หรือ เนื้อสุกร แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม หรือเป็นสิ่งละเมิด ซึ่งถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮฺใน(ยามที่เชือด)มัน ถ้าผู้ใดได้รับความคับขัน โดยไม่ใช่เป็นผู้แสวงหา และไม่ใช่ผู้ละเมิดแล้วไซร้ แท้จริงพระเจ้าของเธอนั้น เป็นพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานี"
{16:115} อันที่จริง ต่อพวกเธอพระองค์ทรงเพียงแต่บัญญัติห้ามสัตว์ที่ตายเอง และโลหิต และ เนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งเสียง(ยามเชือด)เพื่ออื่นจากอัลลอฮฺ ดังนั้นผู้ใดที่อยู่ในสภาพคับขัน โดยไม่ได้เป็นผู้ฝ่าฝืน และก็ไม่ได้เป็นผู้ละเมิดแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺเป็นพระผู้ทรงอภัยยิ่ง พระผู้ทรงปรานีเสมอ
ในหมู่อาหารต้องห้ามดังกล่าว เนื้อหมู หรือเนื้อสุกรนี้ เป็นสิ่งที่ต้องเน้นหนักอยู่เสมอ เนื่องจากในปัจจุบันเนื้อหมูและผลิตภันฑ์จากเนื้อหมู ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนั้น มีมาอยู่ในรูปแบบต่างๆกัน, เพื่อรักษาข้อห้ามอย่างเคร่งครัดตามบัญญํติในอัลกุรอาน มุสลิมจึงถือเป็นหลักปฏิบัติในการที่จะไม่สัมผ้สหรือแตะต้องผลิตภันฑ์ที่มาจากหมูทุกชนิด ยกเว้นเพิ่อการศึกษาและการวิจัยเท่านั้น
สำหรับเหตุผลในการงดกินเนื้อสุกรและผลิตภันฑ์ที่มาจากเนิ้อสุกรก็เพราะว่า
ตามทัศนะของมุสลิม สุกรเป็นสัตว์สกปรกโสมม ที่ชอบอาจมตามธรรมชาติของมันและจากการสังเกตุ บางครั้งผู้ที่กินเนื้อหมูที่เป็นสัตว์ป่าหรือถูกเลี้ยงโดยผิดสุขลักษณะ มักจะเจ็บไข้ได้ป่วยในระยะสั้นและในระยะยาว, และบางครั้งอาจจะเสียชีวิตได้, เนื่องจากกระทู้นี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อการศึกษาทางพยาธิวิทยาของหมู จึงไม่ขอขยายความในเรื่องอันตรายที่อาจจะเกิดจากการบริโภคเนื้อหมูไว้ในที่นี้ แต่จะกล่าวถึงเพียงว่า
การที่ศาสนาอิสลามห้ามกินหมูนั้นก็เพราะหมูเป็นสัตว์โสมม เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมไม่กินเนื้อสัตว์บางชนิดเนื่องจาก ความโสมมของมันและอันตรายที่อาจจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บจากการกินเนื้อสัตว์เหล่านั้น
จากหลักการบริโภคอาหารของมุสลิมดังกล่าว เรื่องหมูนี้ต้องการให้มุสลิมที่สนทนาอยู่ในห้องศาสนาพันทิปนี้ใช้เป็น Metaphor หรือเป็นเรื่องอุปมา ในการใช้เพื่อหลีกเลี่ยงผู้ที่บริโภคข่าวสารที่กล่าวร้ายศาสนาอิสลามซึ่งเปรียบเสมือนอาจม ที่ถูกบริโภคโดยหมูป่า ดังนั้นมุสลิมควรที่จะหลีกเลี่ยงสมาชิกจำพวกนี้ เพราะ เขาไม่มีเจตนาดีต่อศาสนาอิสลาม ไม่ได้เข้ามาเพื่อศึกษาหาความรู้ แต่เข้ามาเพื่อทำลายหลักการของศาสนาอิสลาม และหาเรื่องถกเถียงเพื่อความสนุก และอวดฉลาด เพื่อชวนวิวาททางการเขียนนำไปสู่ความหยาบคายต่อกัน ผู้ที่นำหลักการศาสนาอิสลามที่ไม่มีบัญญัติอยู่ในอัลกุรอานมาเหยียบย่ำ และดูหมิ่นหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามนั้น นอกจากจะมีความเขลาต่อหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ยังไม่มีความยุติธรรมที่จะแยกอาญากร ออกจากผู้ศรัทธาต่ออิสลามอย่างแท้จริง
สมาชิกมุสลิมทุกๆคนจะต้องเข้าใจว่า อาชญากรนั้นมีอยู่ในสังคมทุกๆสังคม ไม่จำกัดอยู่ในเฉพาะ สังคมมุสลิมเท่านั้น และคนดีๆผู้ศรัทธาก็มีอยู่ในทุกๆสังคมเช่นกัน ไม่ใช่แต่ว่าจะมีเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น แต่การที่เขาไม่เป็นมุสลิมนั้น ก็เพราะว่า เขาไม่เคยศึกษาหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามจาก อัลกุรอาน และไม่เข้าใจความหมายในอัลกุรอานตามบริบทที่บัญญํติไว้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่อาศัยเรื่องบอกเล่าในสมัยท่านรอซูล ซึ่งมีทั้งจริงและเท็จมาอธิบายอัลกุรอาน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปจากพระประสงค์ของพระเจ้าในการปฏิบัติในบางสังคมมุสลิม
ด้วยเหตุนี้จำเป็นจะต้องเตือนเยาวชนมุสลิมว่า เมื่อมีผู้ที่นำเอาเอกสารหรือข่าวสารที่เกี่ยวกับความประพฤติที่เลวร้าย ที่เกิดขึ้นในสังคมโดยรวมและสังคมมุสลิมแล้ว โดยอ้างว่านั้นเกิดจากผลของคำสอนของศาสนาอิสลาม ก่อนอื่นให้เข้าใจว่ามุสลิมจะต้องสอบสวนเสียก่อนว่า ข่าวสารเหล่านั้นเป็นหลักการของศาสนาอิสลามตามอัลกุรอานแท้จริงหรือไม่ และมีเหตุผลที่จะต้องตอบโต้หรือไม่ ถ้าข่าวสารเหล่านั้นปราศจากความจริงตามหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามตามที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอาน มันก็เปรียบเสมือนอาจมที่บรรดาหมู บริโภค ด้วยเหตุนี้มุสลิมจึงไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสิ่งโสมมเหล่านั้น ถ้ามุสลิมมีปฏิกริยาโต้ตอบต่อความโสมมเหล่านั้นก็เท่ากับลดตัวเองไปปลุกปล้ำกับหมู,โคลนตมและความสกปรกของหมูก็จะติดตัวมุสลิมซึ่งยากต่อการชำระล้างให้สะอาดพอ ที่จะทำการละหมาดเพื่ออัลลอฮ์ได้
ถ้าเขาเข้ามาสนทนาไต่ถามด้วยความรู้ อัลลออ์ทรงสอนไว้ดังนี้:
16:125} จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของพวกเธอโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้ง พวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า พระเจ้าของเธอนั้น พระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่หลงออกจากทางแห่งพระองค์ และทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง
เพื่อการหลีกเลี่ยงการโต้เถียง มุสลิมจะต้องตอบด้วยความสุภาพดังนี้:
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง
{109:1} จงกล่าวเถิด "โอ้ บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา!"
{109:2} "ฉันจะไม่เคารพสักการะสิ่งที่พวกเธอเคารพสักการะ"
{109:3} ”และพวกเธอก็ไม่ใช่เป็นผู้เคารพสักการะ(พระเจ้า) ที่ฉันเคารพสักการะ"
{109:4} "และฉันก็ไม่ใช่เป็นผู้เคารพสักการะสิ่งที่พวกเธอเคารพสักการะ"
{109:5} ”และพวกเธอก็ไม่ใช่เป็นผู้เคารพสักการะ(พระเจ้า) ที่ฉันเคารพสักการะ"
{109:6} "พวกเธอมีศาสนาของพวกเธอ และฉันก็มีศาสนาของฉัน"
"ถ้ามุสลิมไม่กินหมู, มุสลิมก็ไม่ควรที่จะปลุกปล้ำกับหมู" เพราะจะพลอยโสมมไปด้วยกับหมู
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในหมู่อาหารต้องห้ามดังกล่าว เนื้อหมู หรือเนื้อสุกรนี้ เป็นสิ่งที่ต้องเน้นหนักอยู่เสมอ เนื่องจากในปัจจุบันเนื้อหมูและผลิตภันฑ์จากเนื้อหมู ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนั้น มีมาอยู่ในรูปแบบต่างๆกัน, เพื่อรักษาข้อห้ามอย่างเคร่งครัดตามบัญญํติในอัลกุรอาน มุสลิมจึงถือเป็นหลักปฏิบัติในการที่จะไม่สัมผ้สหรือแตะต้องผลิตภันฑ์ที่มาจากหมูทุกชนิด ยกเว้นเพิ่อการศึกษาและการวิจัยเท่านั้น
สำหรับเหตุผลในการงดกินเนื้อสุกรและผลิตภันฑ์ที่มาจากเนิ้อสุกรก็เพราะว่า ตามทัศนะของมุสลิม สุกรเป็นสัตว์สกปรกโสมม ที่ชอบอาจมตามธรรมชาติของมันและจากการสังเกตุ บางครั้งผู้ที่กินเนื้อหมูที่เป็นสัตว์ป่าหรือถูกเลี้ยงโดยผิดสุขลักษณะ มักจะเจ็บไข้ได้ป่วยในระยะสั้นและในระยะยาว, และบางครั้งอาจจะเสียชีวิตได้, เนื่องจากกระทู้นี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อการศึกษาทางพยาธิวิทยาของหมู จึงไม่ขอขยายความในเรื่องอันตรายที่อาจจะเกิดจากการบริโภคเนื้อหมูไว้ในที่นี้ แต่จะกล่าวถึงเพียงว่า การที่ศาสนาอิสลามห้ามกินหมูนั้นก็เพราะหมูเป็นสัตว์โสมม เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมไม่กินเนื้อสัตว์บางชนิดเนื่องจาก ความโสมมของมันและอันตรายที่อาจจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บจากการกินเนื้อสัตว์เหล่านั้น
จากหลักการบริโภคอาหารของมุสลิมดังกล่าว เรื่องหมูนี้ต้องการให้มุสลิมที่สนทนาอยู่ในห้องศาสนาพันทิปนี้ใช้เป็น Metaphor หรือเป็นเรื่องอุปมา ในการใช้เพื่อหลีกเลี่ยงผู้ที่บริโภคข่าวสารที่กล่าวร้ายศาสนาอิสลามซึ่งเปรียบเสมือนอาจม ที่ถูกบริโภคโดยหมูป่า ดังนั้นมุสลิมควรที่จะหลีกเลี่ยงสมาชิกจำพวกนี้ เพราะ เขาไม่มีเจตนาดีต่อศาสนาอิสลาม ไม่ได้เข้ามาเพื่อศึกษาหาความรู้ แต่เข้ามาเพื่อทำลายหลักการของศาสนาอิสลาม และหาเรื่องถกเถียงเพื่อความสนุก และอวดฉลาด เพื่อชวนวิวาททางการเขียนนำไปสู่ความหยาบคายต่อกัน ผู้ที่นำหลักการศาสนาอิสลามที่ไม่มีบัญญัติอยู่ในอัลกุรอานมาเหยียบย่ำ และดูหมิ่นหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามนั้น นอกจากจะมีความเขลาต่อหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ยังไม่มีความยุติธรรมที่จะแยกอาญากร ออกจากผู้ศรัทธาต่ออิสลามอย่างแท้จริง
สมาชิกมุสลิมทุกๆคนจะต้องเข้าใจว่า อาชญากรนั้นมีอยู่ในสังคมทุกๆสังคม ไม่จำกัดอยู่ในเฉพาะ สังคมมุสลิมเท่านั้น และคนดีๆผู้ศรัทธาก็มีอยู่ในทุกๆสังคมเช่นกัน ไม่ใช่แต่ว่าจะมีเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น แต่การที่เขาไม่เป็นมุสลิมนั้น ก็เพราะว่า เขาไม่เคยศึกษาหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามจาก อัลกุรอาน และไม่เข้าใจความหมายในอัลกุรอานตามบริบทที่บัญญํติไว้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่อาศัยเรื่องบอกเล่าในสมัยท่านรอซูล ซึ่งมีทั้งจริงและเท็จมาอธิบายอัลกุรอาน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปจากพระประสงค์ของพระเจ้าในการปฏิบัติในบางสังคมมุสลิม
ด้วยเหตุนี้จำเป็นจะต้องเตือนเยาวชนมุสลิมว่า เมื่อมีผู้ที่นำเอาเอกสารหรือข่าวสารที่เกี่ยวกับความประพฤติที่เลวร้าย ที่เกิดขึ้นในสังคมโดยรวมและสังคมมุสลิมแล้ว โดยอ้างว่านั้นเกิดจากผลของคำสอนของศาสนาอิสลาม ก่อนอื่นให้เข้าใจว่ามุสลิมจะต้องสอบสวนเสียก่อนว่า ข่าวสารเหล่านั้นเป็นหลักการของศาสนาอิสลามตามอัลกุรอานแท้จริงหรือไม่ และมีเหตุผลที่จะต้องตอบโต้หรือไม่ ถ้าข่าวสารเหล่านั้นปราศจากความจริงตามหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามตามที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอาน มันก็เปรียบเสมือนอาจมที่บรรดาหมู บริโภค ด้วยเหตุนี้มุสลิมจึงไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสิ่งโสมมเหล่านั้น ถ้ามุสลิมมีปฏิกริยาโต้ตอบต่อความโสมมเหล่านั้นก็เท่ากับลดตัวเองไปปลุกปล้ำกับหมู,โคลนตมและความสกปรกของหมูก็จะติดตัวมุสลิมซึ่งยากต่อการชำระล้างให้สะอาดพอ ที่จะทำการละหมาดเพื่ออัลลอฮ์ได้
ถ้าเขาเข้ามาสนทนาไต่ถามด้วยความรู้ อัลลออ์ทรงสอนไว้ดังนี้:
16:125} จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของพวกเธอโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้ง พวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า พระเจ้าของเธอนั้น พระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่หลงออกจากทางแห่งพระองค์ และทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง
เพื่อการหลีกเลี่ยงการโต้เถียง มุสลิมจะต้องตอบด้วยความสุภาพดังนี้:
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง
{109:1} จงกล่าวเถิด "โอ้ บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา!"
{109:2} "ฉันจะไม่เคารพสักการะสิ่งที่พวกเธอเคารพสักการะ"
{109:3} ”และพวกเธอก็ไม่ใช่เป็นผู้เคารพสักการะ(พระเจ้า) ที่ฉันเคารพสักการะ"
{109:4} "และฉันก็ไม่ใช่เป็นผู้เคารพสักการะสิ่งที่พวกเธอเคารพสักการะ"
{109:5} ”และพวกเธอก็ไม่ใช่เป็นผู้เคารพสักการะ(พระเจ้า) ที่ฉันเคารพสักการะ"
{109:6} "พวกเธอมีศาสนาของพวกเธอ และฉันก็มีศาสนาของฉัน"