Yesh in India EP.7 Tung Fort พิชิตยอดเขาในอินเดียตะวันตก

กระทู้สนทนา

EP.6 รอยยิ้มที่อินเดียฝากความทรงจำกับนักเรียนต่างชาติ
https://pantip.com/topic/41572429
.
"เฮ้! พจ พวกเราจะไปเทรคกิ้งกันวันอาทิตย์นี้สนใจไปด้วยกันไหม?"
คำถามที่ใช้เวลาคิดและตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล การเลือกนอนพักผ่อนอยู่ห้อง เป็นตัวเลือกสุดท้ายในการมาใช้ชีวิตที่อินเดีย (สำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาอ่าน ผมมาเรียนที่อินเดีย 1 ปี)
.
โรฮานเป็นเพื่อนที่ผมรู้จักจากกลุ่ม Counchsufing ผมคุยกับเขาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ไทย เขาเพิ่งกลับมาจากการท่องเที่ยวอินเดียใต้ 2 เดือน เขาคงเป็นคนจำพวกใกล้เคียงกับผม ที่ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่คงต้องออกไปหาอะไรทำนอกบ้าน
.
การ Trekking ไปเช้า-เย็นกลับ ไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมากน้ำดื่ม ร่ม เงิน และก็ทำใจให้ร่มๆ เพื่อที่จะผ่านค่ำคืนวันเสาร์ไปให้ได้อย่างราบรื่น
.
เสียงนาฬิกาปลุกตอนตี 5 ปลุกผมให้เด้งจากที่นอน ทำทุกอย่างให้เรียบร้อย เผื่อเวลาเดินทางไปยังจุดหมายให้เร็วที่สุด จุดนัดพบอยู่ทางเหนือของเมืองปูเน่ ห่างออกไป 10 กิโลเมตร ผมกด Uber เรียกพี่สามล้อขับตะลุยลมหนาว เมืองปูเน่ยังหลงหลับใหลอยู่ใต้รัตติกาล
.
ถึงที่หมายค่ารถ 227 รูปี ผมยื่นแบงก์ 500 รูปีให้ คนขับไขสือทอนเงินมาให้ผมแค่ 170 รูปี ตอนนั้นผมไม่ได้กดเครื่องคิดเลขแต่คิดแล้วคิดอีก ยังไงก็ไม่ครบ ผมกดเครื่องคิดเลขให้เขาดู โชเฟอร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมบอกให้ผมใจเย็นๆ กำลังจะหยิบให้อีก 100 รูปีไม่ต้องกลัว
.

.
เช็คเวลาจากโทรศัพท์พบว่ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือกว่าจะถึงเวลานัดหมาย ผมข้ามถนนไปสั่งโพฮากับไจ โพฮาคือข้าวสีเหลืองใส่ธัญพืชเมนูอาหารเช้ายอดนิยมของผมและคนที่นี่ ส่วนไจคือชาในอินเดีย วันไหนไม่ได้กินชา ผมคลับคล้ายจะไม่ค่อยมีแรง
.
ไม่นานโรฮาน(Rohan) ก็มาถึง ชายหนุ่มร่างเล็ก ผมหยักศก รูปร่างคล้ายหนุ่มทางตอนใต้ของประเทศไทย ข้างกายเขาคือสาวคมเข้ม อัธยาศัยดี เมาว์ (Mau) เธอบอกให้ผมเรียกชื่อเธอเช่นนั้น เพราะชื่อจริงของเธอออกเสียงยาก ทั้งคู่บอกให้ผมรอสมาชิกอีก 2 คน 
.
ไม่กี่อึดใจ 1 หนุ่ม 1 สาวก็มาถึง อัลเลน (Allen) กับ มารีน่า (Marina) คู่รักชาวเยอรมนี  ที่มาทำเก็บข้อมูลทำวิจัยที่อินเดียพร้อมเดินทางท่องเที่ยวก็มาถึง พวกเขาอายุ 26 เช่นเดียวกับผม
.
รถเชฟโลเรสสีฟ้าคันเล็กของโรฮาน ค่อยๆ แล่นออกจากเมืองปูเน่ เราพักทานข้าวเช้ากันระหว่างทาง  อัลเลนกับมารีน่าบอกว่ากระเพาะของพวกเขาไม่ค่อยถูกกับอาหารอินเดียสักเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่เขา ผมสังเกตเพื่อนคนยุโรปหลายคนมีปัญหาเรื่องท้องไส้ เมื่อต้องกินสตรีทฟู้ดในเอเชีย 
.
ส่วนโรฮานกับเมาว์นั้น เขาเล่าให้ฟังว่า พวกเขาพบกันระหว่างการเดินทาง พวกเขารักการเดินทางเหมือนกันและแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้ว เช่นเดียวกับอัลเลนกับมารีน่า ทั้งคู่คบกันเมื่อปีที่แล้ว ผมกลายเป็นคนเหงาคนเดียวประจำทริป
.
รถแล่นไปตาม google map โรฮานใช้เส้นทางลัดเลาะไปตามถนนชนบท บางช่วงก็เป็นถนนสวนกันแค่เลนเดียว สองข้างทางเต็มไปด้วยนาข้าว และบ้านเรือนกระจายกันออกไปภาพเดียวกับชนบทในไทย 
.

.
ชาวอินเดียส่วนใหญ่นิยม Treking กันในช่วงฤดูฝน เพราะภูเขาจะเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของแมกไม้ แต่การขึ้นเขาช่วงนี้ต้องเลือกวันให้ดี เพราะถ้าไปช่วงมรสุมเข้า ข่าวหน้าหนังสือพิมพ์อินเดียก็มีให้เห็นกันมานักต่อนักแล้วว่า มักเกิดอุทกภัยหรือไม่ก็เกิดอุบัติบ่อยครั้ง  โชคดีวันที่พวกเราไปช่วงเช้าท้องฟ้าโปร่งใสไร้เมฆฝน
.
เส้นทางผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า อินเดียเป็นประเทศที่ร่ำรวยภูเขายิ่ง วิวสองข้างทางมีแต่สีเขียวและภูเขาตัดสลับกับอ่างเก็บน้ำ ไร่สวน ไม่ว่าหนทางจะไกลเพียงใด ดูเหมือนว่าวิวสองข้างทางจะมีเพียงแค่นั้นจริงๆ
.
รถแล่นมา 2 ชั่วโมงจนมาถึงที่หมายตอน 9 โมงเช้า ทุกคนต่างเตรียมความพร้อม อัลเลนอัดบุหรี่ไป 3 มวน มารีน่าจัดเตรียมอาหารให้อัลเรน เมาว์คอยถามไถ่ความพร้อมและดูแลทุกคน ส่วนโรฮานเขาต้องไปประสานงานเรื่องข้าวกลางวัน และลงทะเบียนเพื่อขึ้นเขา 
.
Tung Fort ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ภูเขาที่มียอดแหลมๆ อยู่ด้านบน ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะปีนขึ้นไปอยู่บนยอดนั้นได้ง่าย
.

.
สังเกตจากการ Treking มา 2-3 ครั้งเส้นทางเดินขึ้นภูเขาของอินเดียแตกต่างจากเมืองไทย ประเทศไทยส่วนใหญ่ที่เห็นคือการค่อยๆ เดินขึ้นภูเขาแบบที่ไม่ใช่เส้นตรง กล่าวคือมีการทำเส้นทางให้เดินง่ายไม่ชัน แต่ต้องเสียเวลาเดินลัดเลาะเขาอีกหน่อย ผิดกับที่อินเดียพี่แกชอบทำเส้นทางเป็นเส้นตรงชันๆ ตั้งแต่บนพื้นดินจนเกือบไปถึงบนยอด ข้อดีคือใช้เวลาเดินสั้นมาก แต่แม่เจ้า! เส้นทางชันบางช่วงถ้าเดินพลาดตกลงไปคือจองศาลาวัดลูกเดียว
.
ถ้าบอกว่าคนไทยชอบถ่ายรูปแล้ว คนอินเดียยิ่งชอบถ่ายรูปยิ่งกว่า พี่อินเดียหยุดถ่ายรูปกันทุกๆ 50 เมตร ซึ่งก็รวมถึงเมาว์ เธอตามถ่ายรูปพวกเราทุกอิริยาบถ ยกเว้นตอนเดียวคือตอนที่ผมไปฉี่ ส่วนโรฮานก็ดูสนใจอัลเลนกับมารีน่า เขามักจะถามไถ่และแสดงความเอาใจใส่ทั้ง 2 คน เป็นพิเศษ
.
พวกเราเดินกันไปจนถึงจุดพักแรก มันเป็นเหมือนป้อมปราการที่สมัยก่อนคงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการรบ เมื่อเดินมาถึงและวางกระเป๋า สายลมเย็นๆ ก็พาให้เราหายเหนื่อย และตื่นตากับวิวที่อยู่ตรงหน้า

.
ทางเดินสูงขึ้นเรื่อยๆ อากาศเริ่มร้อนและเต็มไปด้วยแมลง หลายคนต้องหยุดพักเพราะโดนมันกัดต่อย มีป้ายเตือนว่ามีงูหลายชนิด ชวนให้เสียวสันหลังวาบ อัลเลนเดินอยู่ข้างหลังผม เขาบอกว่าเขาชอบวัฒนธรรมไทย 
"มวยไทยและหมอลำ" เขาชอบสองอันนี้เป็นพิเศษ 
.
มารีน่าเองเธอก็สนใจเรื่องพระพุทธเจ้า เธอถามว่าทำไมพระพุทธเจ้ามีตาที่สาม 
.
ส่วนเมาว์เธอก็มักจะเข้ามาถามไถ่ผมเป็นระยะ เธอเหมือนคนที่คอยดูแลทุกคนในทริปให้ได้เที่ยวอย่างสบายใจ ผิดกับโรฮานตลอดทั้งทริปเขาคุยกับผมแทบนับคำได้ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกยังไงกับผม จะบอกว่าเขาคุยไม่เก่งก็ไม่ใช่ เขาชวนอัลเลนกับมารีน่าคุยตลอด สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจ และรู้สึกเป็นส่วนเกินของทริปอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งเอาเข้าจริงพวกเขา 4 คน น่าจะวางแผนทริปนี้กันมาก่อนหน้า ก่อนที่โรฮานจะมาชวนผมตอนเช้าวันเสาร์ 
.
ระหว่างที่เดินคิดอะไรต่อมิอะไรอยู่ในหัว เส้นทางก็มาบรรจบที่ยอดเขา ยอดแหลมๆ ที่เห็นเบื้องล่าง ผมใช้เวลาเดิน 2 ชั่วโมงจนมาถึง ด้านบนเต็มไปด้วยแมลงคล้ายผึ้ง ลมแรง และถ้าเดินพลาดตกลงไปก็จบเห่ ไม่มีการทำที่กั้นใดๆ ทั้งสิ้นบนยอดเขาแห่งนี้
.
เราใช้เวลากันอยู่บนนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง ผมนั่งคิดเล่นๆ ว่า ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ผมแทบจินตนาการไม่ออกเลยว่าอีก 1 ปีต่อมา จะได้มานั่งทำบ้าอะไรก็ไม่รู้อยู่บนยอดเขา ทางตะวันตกในรัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย และผมก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าอีก 1 ปีข้างหน้าผมจะไปนั่งอยู่ที่ใดบนโลก โลกทุกวันนี้ผมเลิกคาดหวังแล้วว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต
.

.
ตอนลงเขานั้นอันตรายยิ่งกว่าตอนขึ้น แต่ก็ใช้เวลาน้อย เรามาหยุดตรงระหว่างทางที่เป็นอ่างน้ำขนาดที่คนประมาณ 20 คนลงไปเล่นได้ โรฮานตักน้ำใส่ขวดและนำมาดื่มกิน ประมาณว่าเป็นแอ่งน้ำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับที่ไทย  วัฒนธรรมของทั้ง 2 ประเทศนี้มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน 
.
พวกเราเดินลงกันมาถึงข้างล่างตอนบ่าย 2 โรฮานสั่งอาหารกลางวันรอท่าพวกเราไว้ให้แล้ว จาปาตีจิ้มกับมันฝรั่งที่ใส่เครื่องเทศอินเดีย เครื่องเคียงด้วยพริกสดพริกแห้ง อาหารอินเดียส่วนใหญ่มีแต่แป้ง จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาส่วนใหญ่ลงพุง ทั้งที่ไม่ค่อยเห็นมีคนกินเหล้ากินเบียร์กัน
.
สำหรับผมทุกวันนี้แทบไม่มีวันไหนที่ไม่ได้กินจาปาตี ผมกินมันแทนข้าวและเป็นเมนูกันตายของผม ให้กินเปล่าๆ ก็กินได้ แต่ถ้าให้ดีกินกับชีสแซ่บอย่าบอกใคร
.
พวกเราบอกลา Tung Fort พร้อมสายฝนที่โปรยปรายตกลงมาพอดีในตอนที่เรากำลังจะกลับ คนอินเดียบางคนเพิ่งมาถึง บางคนเดินลงเขามาด้วยตัวเปียกชุ่ม การมา Treking  ของชาวอินเดีย เหมือนกับการมาปิกนิกในสวนสาธารณะของคนไทย
.
ขากลับผมงีบหลับ สลับกับการตื่นขึ้นมานั่งเกาะกระจกดูความเป็นไปรายทาง วัวข้ามถนน ที่รถต้องจอดให้พวกเขาข้ามดังที่ใครเขาว่ากัน สำหรับผมยิ่งอยู่นานวันไป อะไรหลายอย่างที่ตื่นตาตื่นใจก็เป็นสิ่งธรรมดาดาษดื่น
.

.
โรฮานพาพวกเรามาแวะที่บ้านของเมาว์เพื่อพักและจิบกาแฟ ใจจริงผมเหนื่อยและอยากกลับบ้านเป็นที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าไปทำงานเหมือนที่ไทย กว่าจะเข้าเรียนก็ปาเข้าไป 11 โมงเช้า บ้านของเมาว์หลังใหญ่สะอาดสะอ้าน ผมนั่งฟังพวกเขาคุยกันเรื่องสิ่งแวดล้อมและการเมือง ใจก็อยากจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพวกเขา แต่ทักษะภาษาอังกฤษตอนนี้ ยังไม่สามารถจับใจความเวลาอยู่ในวงสนทนาหลายๆ คนได้ ผมต้องอดทนและให้เวลาตัวเองฝึกภาษาต่อไป แต่การอยู่ที่ใดที่หนึ่งและรู้สึกไร้ตัวตน มันเป็นสภาวะที่อึดอัด คล้ายกับการอยู่ในห้องปิดตายที่ไม่มีอากาศหายใจ 
.
ก่อนกลับเมาว์พาครอบครัวเธอมาให้พวกเรารู้จัก เธอเป็นครอบครัวศิลปิน พ่อเธอเป็นจิตรกร ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ในบ้านก็สามารถเล่นเครื่องดนตรีท้องถิ่นของอินเดียได้กันทุกคน 
.
โรฮานมาส่งผม อัลเลนและมารีน่าที่ท่ารถเมล์ ตอนเหนือของเมือง เมืองปูเน่ที่ผมอยู่ระบบรถเมล์ดีกว่า กทม. มีรถเมล์แทบจะครอบคลุมทั้งเมือง ไม่มีรถควันดำปี๋แบบที่ไทย ค่าโดยสารถูกแค่ 10-20 รูปี สามารถตรวจสอบเวลาที่รถจะมาถึงได้จาก Google map แม้จะไม่ตรง 100% แต่ก็พอไว้ใจ ผมบอกลาทุกคนขึ้นรถเมล์กลับห้องในช่วงเย็นวันอาทิตย์
.

.
ค่ำคืนนี้อากาศหนาวเย็นกำลังดี สภาพอากาศคลับคล้ายว่าฝนกำลังจะตก ระยะเวลานั่งรถเมล์ราว 40 นาที ผ่านหลายย่านของเมือง บางช่วงก็ทำให้รู้สึกคิดถึงเมืองไทย เมืองนี้หลายส่วนคล้ายฝั่งธนบุรีบ้านเรา มีห้างร้านตึกแถว สตรีทฟู้ด มอเตอร์ไซต์วิ่งขวักไขว่ แต่ไม่ค่อยมีตึกสูงๆ มากนัก ผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันในช่วงเย็นวันอาทิตย์ ผมคิดถึงเมืองไทยแต่ยังไม่อยากกลับไป...
.
ผมลงรถค่อยๆ เดินไปตามฟุตบาท ทางเดินเท้าที่นี่ก่อสร้างแข็งแรงไม่เหมือนบางเมือง ที่ซ่อมแล้วซ่อมอีกทั้งชาติไม่เคยเสร็จสิ้น ผมรักการเดินกลับหอพัก ลมเย็นๆ มีแสงไฟคอยส่องสว่างตลอดเส้นทาง มีผู้คนสองข้างทางแต่ไม่แออัด ให้ความรู้สึกปลอดภัย ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยห้างร้านที่หรูหราตัดสลับกับร้านที่ราคาเอื้อมถึง คนอินเดียยังถือแก้วชายกขึ้นดื่มอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขากินชาได้ 24 ชั่วโมง หมาจรยังคงเกลือกกลิ้งอยู่บนท้องถนน  ลมเย็นแตะปะทะตัว...เหงาแต่ก็ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยว
.
ผมภาวนาอยากให้ทางเดินไร้จุดหมาย เดินไปเรื่อยๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ต้องคอยกังวล มีเพียงวันวานให้นึกถึง สายฝนลงเม็ดอีกแล้ว...อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่หน้าหนาว ถึงวันนั้นถ้าได้ออกมาเดินยามค่ำคืน มีเบียร์สักขวดให้กระดกคงเป็นเรื่องที่ดีไม่เลว แต่ถ้าได้จับมือของใครสักคนเคียงข้างกันไปก็คงดียิ่งกว่าการจับขวดเบียร์
.
Ep.8 การใช้ชีวิตต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากและโดดเดี่ยว
https://pantip.com/topic/41589590
แก้ไขข้อความเมื่อ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่