เราแต่งงานมาได้ 2ปี เก็บเงินแต่งเอง งานเล็กๆ ไม่ได้เบียดเบียนเงินทั้งสองครอบครัว ทั้งฝั่งเราและสามี
เรามีพี่น้อง 3 คน เราเป็นคนเล็กสุดค่ะ มีพี่สาว 2 คน
พี่คนโตเอาลูกสาวสองคนมาฝากพ่อแม่เลี้ยงตั้งแต่ 3-4 ขวบ จนตอนนี้เด็กสองคนโตถึงวัยมัธยมแล้ว
ช่วงแรกพี่สาวไม่เคยส่งเสีย มีแต่พ่อของเด็กส่งให้บ้าง
(พ่อแม่เด็กแยกทางกันตั้งแต่หลานยังเล็ก) แต่ช่วงนั้นพ่อแม่เรามีรายรับทั้งคู่ เป็นพนักงานบริษัท จึงไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน ช่วงหลังพ่อของหลานไม่ได้ส่งแล้ว เขาแต่งงานใหม่ พี่สาวของเราก็แต่งงานมีลูกใหม่ เป็นคุณแม่และดูแลบ้าน ไม่ได้ทำงาน = ไม่มีรายรับ
ส่วนพี่สาวคนกลางไม่เคยติดต่อมาค่ะ แยกครอบครัวไปแล้ว นานๆทีโทรมาบ้าง แต่เขาขอไม่รับรู้ปัญหาครอบครัว เพราะไม่เกี่ยวกับเขา
พอพ่อแม่เราเกษียณ มีเงินก้อนออกมาบ้าง แต่ไม่ได้ลงทุนทำธุรกิจอะไรเพิ่ม ระหว่างทำงานไม่มีเงินเก็บเท่าไหร่ เพราะแบ่งเงินมาเลี้ยงหลาน ผ่อนบ้าน ส่งเราเรียนถึง ม.6 จากนั้นยายดูแลค่าใช้จ่ายต่อถึงจบมหาลัยค่ะ เพราะที่บ้านดูแลค่าใช้จ่ายเราไม่ไหว ต้องซัพพอทเด็ก 2 คน ที่เป็นวัยกำลังโต (ปัจจุบันคุณยายเสียแล้วค่ะ)
พอเงินเก็บ เงินเกษียณที่บ้านหมดไป และถึงเราเรียนจบทำงานได้พอดี (จริงๆก็ทำตั้งแต่เรียนแล้วค่ะ) เรารับช่วงต่อผ่อนบ้านให้แม่ เพราะแม่เริ่มบ่นว่าผ่อนไม่ไหว จะปล่อยยึดๆ หลายปีที่ผ่านมา (ก่อนช่วงโควิด) ชีวิตพลิกผันมาขายของออนไลน์มีรายได้เพิ่มขึ้น จึงให้ที่บ้านมากขึ้น + กับแฟนฐานะค่อนข้างดี มีธุรกิจส่วนตัว เราเลยไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายจิปะถะประจำวัน (เรากับแฟนคบกันมาตั้งแต่เรียนค่ะ ช่วงเราเรียนแฟนก็ซัพพอทเราบ้าง ซึ่งเราเกรงใจเขามากมาโดยตลอด 🥲)
พอมีโควิด เราแย่ลง แต่แฟนยังยืนได้เพราะธุรกิจเขาค่อนข้างมั่นคง เป็นสินค้าที่ติดตลาด จำเป็นและขายได้เรื่อยๆ จึงไม่เดือดร้อน และแฟนเข้ามาซัพพอทเรามากขึ้น โดยที่เรายังให้ที่บ้านเหมือนเดิม ให้ค่าน้ำไฟ ค่าอาหารนิดหน่อย จำนวนเงินที่ให้เพียงพอที่จะดูแลคนแก่สองคนให้อยู่ได้แบบสบายค่ะ (ย้ำว่าสองคน) เรามีรายรับน้อยลงมาก แต่ยังกัดฟันให้ที่บ้านได้ โดยไม่ได้รบกวนเงินแฟนเอาไปให้พ่อแม่ค่ะ
แต่ปัญหาคือหลานสองคนที่โตขึ้น อยู่ในวัยมัธยม(ม.1กับม.2) ค่าใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งเราคุยกับพี่สาวแล้ว พี่สาวให้มากสุดได้เดือนละ 3000 แต่มันไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายเด็กผู้หญิงสองคน ไม่ว่าจะเป็นค่าเรียน ค่าเดินทางไปเรียน ค่าอาหารประจำวัน ค่ากิจกรรม ค่าอุปกรณ์การเรียน และค่าจิปะถะระหว่างเรียน ค่าอุปโภคบริโภค ค่ายาค่าหมอ เราที่เคยช่วยรับผิดชอบเรื่องนี้ ก็เริ่มตึงค่ะ พอหลานเข้าวัยมัธยม เราเริ่มช่วยไม่ไหว ค่าใช้จ่ายมันเยอะกว่าตอนหลานเรียนประถมมากๆ ในตอนที่หลานคนแรกเข้าม.1 แม่มาขอเพิ่มขึ้นจากเงินที่ได้ปกติอีกเดือนละ 3000 บาท แต่ก็มาตอดเล็กตอดน้อยเราเพิ่มตลอด เรายอมให้ และยอมลดการเติมความสุขให้ตัวเองน้อยลง ซื้อของที่อยากได้น้อยลง
พอหลานคนที่สองเข้ามัธยม แม่มาขอเพิ่มอีก ซึ่งเราไม่ได้ให้ค่ะ แต่มาตอดตลอด ซึ่งเราเริ่มเหนื่อย สะสมมาตั้งแต่ช่วงต้นปี+ กับที่เราวางแผนจะมีลูก อยากเก็บเงิน เตรียมรับค่าใช้จ่ายของลูกที่กำลังมาเกิด เราอยากวางแผนอนาคตให้ลูก ซึ่งมันก็มีค่าใช้จ่ายในระหว่างการเติบโตของเค้า เราจึงขอแม่ลดค่าใช้จ่ายในเดือนสิงหา จะจ่ายค่าบ้าน ค่าอาหาร ค่ายา น้ำไฟ ของใช้ให้ แต่จะไม่รับผิดชอบในส่วนของหลานอีก (โดยปกติเราจะให้เดือนละหมื่นค่ะ ไม่รวมของหลาน ค่าบ้านน้ำไฟเราแยกจ่ายให้) ที่แม่ขอเพิ่มอีก 3000 ตอดเล็กตอดน้อยทั้งเดือนตีกลมๆ อีก 2000 เป็น 15K ต่อเดือน แม่รับจากพี่สาวอีก 3000 ต่อเดือน เป็น 18000 ต่อเดือน
และที่เราคุยกับแม่คือ เราจะให้แค่หมื่นถ้วน และจะไม่ให้แล้วอีก 3000 + จิปะถะอีก 2000+- ที่คอยมาตอด แม่ต้องบริหารเงิน 1 หมื่นเอาเอง
ซึ่งแน่นอนค่ะ แม่ไม่พอใจ โกรธ และไม่คุยกับเราเลย (เราคุยกันเดือนที่แล้วนะคะ) และพอต้นเดือนนี้แม่โทรมารัวๆ และเราไม่พร้อมคุย ไม่รับสาย เรายังไม่ได้ให้เงินแม่เดือนนี้ แต่ค่าบ้านจ่ายปกติให้แล้ว ยอมรับว่าเครียดค่ะ เราเหมือนสู้อยู่คนเดียวครอบครัวพี่สาวดูมีความสุขน่าอิจฉาจังเลย แม่ต้องการอะไร แม่เราบอก เราอยากได้อะไร แม่บอกเรา แต่แม่ไม่เคยขอจากพี่เราเลย ไม่เคยบอกความต้องการอะไรจากพี่เราเลย มือถือเสีย ทีวีพัง เครื่องซักผ้าใช้งานไม่ได้ แม่โทรมาหา จี้เราให้จัดการ แต่ไม่เคยโทรบอกพี่คนอื่น ที่ชีวิตดูจะดีกว่าเราซะอีก
ถึงแม้ฐานะแฟนจะดีและสามารถดูแลลูกได้ แต่เราไม่ต้องการให้แฟนมารับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงลำพังค่ะ เราอยากมีส่วนในการดูแลลูก รับผิดชอบชีวิตเค้าได้ด้วยตัวเอง อนาคตอะไรก็ไม่แน่ไม่นอน ซึ่งเราคิดไว้หมด แต่ทำไม่ได้ตามเป้าสักที เพราะต้องคอยรับผิดชอบที่บ้าน ตั้งแต่เราขอแม่ลดค่าใช้จ่าย แม่ไม่พอใจ และไม่ยอมคุยกับเรา แต่กลับโทรหาเรายิกๆในตอนที่ต้องการใช้เงิน มันทำให้เราไม่อยากให้เลยสักบาท
เราควรแก้ไขความรู้สึกนี้ในใจยังไงดีคะ ยอมรับว่าเครียด และความเครียดนี้อาจจะส่งผลให้เรามีลูกไม่ได้สักทีด้วยก็ได้ เพราะพยายามมีลูกมาระยะนึงแล้ว น้องก็ยังไม่มาสักที
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ อาจจะพิมพ์งงๆ เรียงคำไม่ถูก เรียงลำดับเหตุการไม่ดี ใช้คำงงๆ หรือวกไปวนมา ก็ขออภัยล่วงหน้านะคะ

ให้เงินที่บ้านไม่ไหวแล้ว
เรามีพี่น้อง 3 คน เราเป็นคนเล็กสุดค่ะ มีพี่สาว 2 คน
พี่คนโตเอาลูกสาวสองคนมาฝากพ่อแม่เลี้ยงตั้งแต่ 3-4 ขวบ จนตอนนี้เด็กสองคนโตถึงวัยมัธยมแล้ว
ช่วงแรกพี่สาวไม่เคยส่งเสีย มีแต่พ่อของเด็กส่งให้บ้าง
(พ่อแม่เด็กแยกทางกันตั้งแต่หลานยังเล็ก) แต่ช่วงนั้นพ่อแม่เรามีรายรับทั้งคู่ เป็นพนักงานบริษัท จึงไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน ช่วงหลังพ่อของหลานไม่ได้ส่งแล้ว เขาแต่งงานใหม่ พี่สาวของเราก็แต่งงานมีลูกใหม่ เป็นคุณแม่และดูแลบ้าน ไม่ได้ทำงาน = ไม่มีรายรับ
ส่วนพี่สาวคนกลางไม่เคยติดต่อมาค่ะ แยกครอบครัวไปแล้ว นานๆทีโทรมาบ้าง แต่เขาขอไม่รับรู้ปัญหาครอบครัว เพราะไม่เกี่ยวกับเขา
พอพ่อแม่เราเกษียณ มีเงินก้อนออกมาบ้าง แต่ไม่ได้ลงทุนทำธุรกิจอะไรเพิ่ม ระหว่างทำงานไม่มีเงินเก็บเท่าไหร่ เพราะแบ่งเงินมาเลี้ยงหลาน ผ่อนบ้าน ส่งเราเรียนถึง ม.6 จากนั้นยายดูแลค่าใช้จ่ายต่อถึงจบมหาลัยค่ะ เพราะที่บ้านดูแลค่าใช้จ่ายเราไม่ไหว ต้องซัพพอทเด็ก 2 คน ที่เป็นวัยกำลังโต (ปัจจุบันคุณยายเสียแล้วค่ะ)
พอเงินเก็บ เงินเกษียณที่บ้านหมดไป และถึงเราเรียนจบทำงานได้พอดี (จริงๆก็ทำตั้งแต่เรียนแล้วค่ะ) เรารับช่วงต่อผ่อนบ้านให้แม่ เพราะแม่เริ่มบ่นว่าผ่อนไม่ไหว จะปล่อยยึดๆ หลายปีที่ผ่านมา (ก่อนช่วงโควิด) ชีวิตพลิกผันมาขายของออนไลน์มีรายได้เพิ่มขึ้น จึงให้ที่บ้านมากขึ้น + กับแฟนฐานะค่อนข้างดี มีธุรกิจส่วนตัว เราเลยไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายจิปะถะประจำวัน (เรากับแฟนคบกันมาตั้งแต่เรียนค่ะ ช่วงเราเรียนแฟนก็ซัพพอทเราบ้าง ซึ่งเราเกรงใจเขามากมาโดยตลอด 🥲)
พอมีโควิด เราแย่ลง แต่แฟนยังยืนได้เพราะธุรกิจเขาค่อนข้างมั่นคง เป็นสินค้าที่ติดตลาด จำเป็นและขายได้เรื่อยๆ จึงไม่เดือดร้อน และแฟนเข้ามาซัพพอทเรามากขึ้น โดยที่เรายังให้ที่บ้านเหมือนเดิม ให้ค่าน้ำไฟ ค่าอาหารนิดหน่อย จำนวนเงินที่ให้เพียงพอที่จะดูแลคนแก่สองคนให้อยู่ได้แบบสบายค่ะ (ย้ำว่าสองคน) เรามีรายรับน้อยลงมาก แต่ยังกัดฟันให้ที่บ้านได้ โดยไม่ได้รบกวนเงินแฟนเอาไปให้พ่อแม่ค่ะ
แต่ปัญหาคือหลานสองคนที่โตขึ้น อยู่ในวัยมัธยม(ม.1กับม.2) ค่าใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งเราคุยกับพี่สาวแล้ว พี่สาวให้มากสุดได้เดือนละ 3000 แต่มันไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายเด็กผู้หญิงสองคน ไม่ว่าจะเป็นค่าเรียน ค่าเดินทางไปเรียน ค่าอาหารประจำวัน ค่ากิจกรรม ค่าอุปกรณ์การเรียน และค่าจิปะถะระหว่างเรียน ค่าอุปโภคบริโภค ค่ายาค่าหมอ เราที่เคยช่วยรับผิดชอบเรื่องนี้ ก็เริ่มตึงค่ะ พอหลานเข้าวัยมัธยม เราเริ่มช่วยไม่ไหว ค่าใช้จ่ายมันเยอะกว่าตอนหลานเรียนประถมมากๆ ในตอนที่หลานคนแรกเข้าม.1 แม่มาขอเพิ่มขึ้นจากเงินที่ได้ปกติอีกเดือนละ 3000 บาท แต่ก็มาตอดเล็กตอดน้อยเราเพิ่มตลอด เรายอมให้ และยอมลดการเติมความสุขให้ตัวเองน้อยลง ซื้อของที่อยากได้น้อยลง
พอหลานคนที่สองเข้ามัธยม แม่มาขอเพิ่มอีก ซึ่งเราไม่ได้ให้ค่ะ แต่มาตอดตลอด ซึ่งเราเริ่มเหนื่อย สะสมมาตั้งแต่ช่วงต้นปี+ กับที่เราวางแผนจะมีลูก อยากเก็บเงิน เตรียมรับค่าใช้จ่ายของลูกที่กำลังมาเกิด เราอยากวางแผนอนาคตให้ลูก ซึ่งมันก็มีค่าใช้จ่ายในระหว่างการเติบโตของเค้า เราจึงขอแม่ลดค่าใช้จ่ายในเดือนสิงหา จะจ่ายค่าบ้าน ค่าอาหาร ค่ายา น้ำไฟ ของใช้ให้ แต่จะไม่รับผิดชอบในส่วนของหลานอีก (โดยปกติเราจะให้เดือนละหมื่นค่ะ ไม่รวมของหลาน ค่าบ้านน้ำไฟเราแยกจ่ายให้) ที่แม่ขอเพิ่มอีก 3000 ตอดเล็กตอดน้อยทั้งเดือนตีกลมๆ อีก 2000 เป็น 15K ต่อเดือน แม่รับจากพี่สาวอีก 3000 ต่อเดือน เป็น 18000 ต่อเดือน
และที่เราคุยกับแม่คือ เราจะให้แค่หมื่นถ้วน และจะไม่ให้แล้วอีก 3000 + จิปะถะอีก 2000+- ที่คอยมาตอด แม่ต้องบริหารเงิน 1 หมื่นเอาเอง
ซึ่งแน่นอนค่ะ แม่ไม่พอใจ โกรธ และไม่คุยกับเราเลย (เราคุยกันเดือนที่แล้วนะคะ) และพอต้นเดือนนี้แม่โทรมารัวๆ และเราไม่พร้อมคุย ไม่รับสาย เรายังไม่ได้ให้เงินแม่เดือนนี้ แต่ค่าบ้านจ่ายปกติให้แล้ว ยอมรับว่าเครียดค่ะ เราเหมือนสู้อยู่คนเดียวครอบครัวพี่สาวดูมีความสุขน่าอิจฉาจังเลย แม่ต้องการอะไร แม่เราบอก เราอยากได้อะไร แม่บอกเรา แต่แม่ไม่เคยขอจากพี่เราเลย ไม่เคยบอกความต้องการอะไรจากพี่เราเลย มือถือเสีย ทีวีพัง เครื่องซักผ้าใช้งานไม่ได้ แม่โทรมาหา จี้เราให้จัดการ แต่ไม่เคยโทรบอกพี่คนอื่น ที่ชีวิตดูจะดีกว่าเราซะอีก
ถึงแม้ฐานะแฟนจะดีและสามารถดูแลลูกได้ แต่เราไม่ต้องการให้แฟนมารับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงลำพังค่ะ เราอยากมีส่วนในการดูแลลูก รับผิดชอบชีวิตเค้าได้ด้วยตัวเอง อนาคตอะไรก็ไม่แน่ไม่นอน ซึ่งเราคิดไว้หมด แต่ทำไม่ได้ตามเป้าสักที เพราะต้องคอยรับผิดชอบที่บ้าน ตั้งแต่เราขอแม่ลดค่าใช้จ่าย แม่ไม่พอใจ และไม่ยอมคุยกับเรา แต่กลับโทรหาเรายิกๆในตอนที่ต้องการใช้เงิน มันทำให้เราไม่อยากให้เลยสักบาท
เราควรแก้ไขความรู้สึกนี้ในใจยังไงดีคะ ยอมรับว่าเครียด และความเครียดนี้อาจจะส่งผลให้เรามีลูกไม่ได้สักทีด้วยก็ได้ เพราะพยายามมีลูกมาระยะนึงแล้ว น้องก็ยังไม่มาสักที
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ อาจจะพิมพ์งงๆ เรียงคำไม่ถูก เรียงลำดับเหตุการไม่ดี ใช้คำงงๆ หรือวกไปวนมา ก็ขออภัยล่วงหน้านะคะ