ประสบการณ์เก่า มาเล่าใหม่ ผ่าตัดเนื้องอกในผนังโพรงมดลูก ขนาด 7 cm เดือนตุลาคม 2561 เบิกประกันสังคมโรงพยาบาลเอกชน
**ดิฉันอายุ 35 แต่งงานมา 8 ปี ยังไม่มีลูก ไม่เคยผ่าตัด ไม่เคยนอนโรงพยาบาล
อาการที่พบ : อาการปวดท้องประจำเดือนมาก ปวดท้องเกร็งช่องท้อง ปวดเชิงกราน หมดแรงเดิน จะปวดวันที่
1-2 ของประจำเดือนมา มีอาการดังกล่าว ประมาณ 1 ปี (ประจำเดือนมา 5 วัน) แต่ไม่เคยไปหาหมอหาสาเหตุของการปวดท้อง
ค่าใช้จ่าย : จ่ายส่วนต่างทั้งหมด 2,500.-บาท (นอนห้องรวม 1 คืน หลังผ่าตัดนอนห้องคู่ 3 คืน รวมนอนทั้งหมด 4 คืน 5 วัน) ราคารวมอาหาร ค่ายาที่ขอเพิ่มเติม ส่วนที่เหลือประกันสังคมจ่ายค่ารักษา ราคาประมาณ 80,000.-บาท
**วันที่ 11 สิงหาคม 2561 ตรวจเจอเนื้องอกโดยบังเอิญ เริ่มจากการปวดระดับน้อย ไประดับมากขึ้นเรื่อยๆ เราขับรถไปโรงพยาบาลเอง ตอนนี้ยังปวดท้องระดับที่น้อย ถึงรพ.เวลา 17.00 น. เริ่มอาเจียนเป็นระยะ พยาบาลให้นั่งบนรถเข็น เพราะเริ่มเดินไม่ไหว จนสุดท้ายต้องนอนเตียง และยังอาเจียนไม่หยุด มีอาการเวียนหัว หมอฉีดยาแก้เวียนหัว ก็ยังไม่หาย จนแผนกประกันสังคมปิด 20.00 น. บุรุษพยาบาลเข็นเราลงไปรอห้องฉุกเฉิน นอนรอตรวจหาสาเหตุ โดยเอ็กซเรย์ดูช่องท้อง และหมอเวรสูติตรวจภายใน ใช้มือคลำช่องคลอดเจอก้อนเนื้อนูนออกมาจากผนังโพรงมดลูก หมอก็กด และถามว่าเจ็บมั้ย เราบอกไม่เจ็บ ก็ส่งต่อไปห้องซาวด์ ใช้กล้องซาวด์ในช่องคลอด สรุปเจอก้อนเนื้อ ขนาด 7 cm หมอเวรสูตินัดให้ตรวจในวันรุ่งขึ้นแผนกหมอสูติรอบเช้า เพื่อยืนยันผลของอาการปวดท้องเกิดจากเนื้องอก ขนาด 7 cm ใช่มั้ย ตอนนี้เป็นช่วงเวลา 24.00 ก็ไม่มีอาการปวดท้อง และหยุดอาเจียนแล้ว หมอให้กลับบ้านได้ โดยอยู่ รพ.เป็นเวลา 7 ชั่วโมง เต็ม
**วันที่ 12 สิงหาคม 2561 ช่วงเช้า พบหมอสูติ หมอก็ตรวจภายใน ใช้มือคลำช่องคลอดเจอก้อนเนื้อ และใช้เครื่องซาวด์ดูช่องคลอด เจอก้อนเนื้องอกจริง ขนาด 7 cm หมอแจ้งว่าต้องผ่าตัดวิธีเปิดหน้าท้องเท่านั้น เพราะขนาดใหญ่ ปล่อยไว้ก็อาจจะกลายเป็นเนื้อร้าย และจะทำให้ปวดประจำเดือน แต่ที่อาการปวดท้อง และอาเจียน สาเหตุอาจจะเกิดจากอาหารเป็นพิษ และหมอก็นัดวันเจาะเลือด ตรวจร่างกาย ก่อนผ่าตัด 1 อาทิตย์ และลงนัดวันผ่าตัด 12 ตุลาคม 2561 (ระยะเวลา 2 เดือน)
**นอนโรงพยาบาล 4 คืน 5 วัน (ตามกำหนดระยะเวลาการผ่าตัด)
คืนที่ 1 เตรียมตัวก่อนผ่าตัด ทานอาหารอ่อน
เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณเที่ยงๆ ก็เจาะเลือดหากรุ๊ปเลือด สำรองเลือดในการผ่าตัด และฉีดยาหยุดเลือดเนื่องจากมีประจำเดือน แต่ประจำเดือนมาได้ 2 วัน แล้ว เลือดประจำเดือนไม่ได้หยุดไหลทันที แต่ไหลน้อยกว่าปกติ พยาบาลให้นั่งรอเอกสาร และคุยเรื่องห้อง ค่าใช้จ่าย เราจะจองห้องคู่ แต่เต็ม ห้องคู่ได้คืนที่ 2 ส่วนคืนที่ 1 นอนห้องรวม เคลียเอกสารเสร็จ ก็เข้าห้องพักรวม 6 เตียง (ห้องน้ำ 1 ห้อง) เปลี่ยนชุดของโรงพยาบาล สักพักมีพยาบาลมาส่งอาหารประมาณ 17.00 น. เป็นอาหารอ่อน น้ำข้าว + น้ำซุป + น้ำกระเจี๊ยบ แต่เราก็ไม่ได้กิน 18.00 น. พยาบาลให้กินยาระบายลักษณะเป็นน้ำใส ๆ รสชาติเฝื่อน ๆ ปริมาณเท่ากับแก้วยาดอง 1 แก้ว ต้องกินน้ำ 2 ลิตร พยาบาลแจ้งกินให้หมดทั้ง 2 อย่างภายในเวลา 21.00 น. ถ่ายท้องจะหมดแรง และพยาบาลให้เรานอนลงเพื่อโกนขนให้โดยใช้แบตตาเลี่ยนไถ นาน้อยๆๆ 555 อายก็อาย เพื่อสะดวกในการผ่าตัด และสวนทวาร พยาบาลให้เรานอนตะแคง งอเขาชิดหน้าหน้าอก ก้มหัวลง พยาบาลเอาสายยางเส้นเล็กๆ ใสๆ เสียบเข้าที่ก้น แล้วปล่อยน้ำเกลือใส่เข้าไปจนหมดขวด แล้วพอเสร็จ พยาบาลบอกอั้นไว้นะ เราอั้นไม่เกือบไม่อยู่ ต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ทั้งกินยาระบาย ทั้งสวนทวาร หมดไส้หมดพุง เพลีย หมดแรง เข้าห้องน้ำจนถึง 24.00 น. พยาบาลประจำห้องรวม เข้า-ออก ทุก 2 ชม. เพื่อวัดความดัน วัดไข้ จนถึง 05.00 น. คือเราไม่ได้หลับ พยาบาลเข้ามาตรวจ ทั้ง 6 เตียง พร้อม ๆ กัน
คืนที่ 2 ผ่าตัดเวลา 08.30 น.
พยาบาลแจ้งให้อาบน้ำสระผมให้เรียบร้อย จะมารับ เวลา 07.00 น. พยาบาลให้เปลี่ยนชุดคลุมเพื่อเตรียมผ่าตัด บุรุษพยาบาลเข็นเตียงมารอรับ เข็นไปห้องพักผ่าตัด เช็คความดัน ไข้ ก่อนเข้าห้องผ่าตัด ชื่อ-นามสกุล ได้เวลาก็เข็นไปห้องผ่าตัด ห้องกว้าง ขาวสะอาด ไฟส่องสว่างมาก เครื่องมือทันสมัย เป็นห้องปลอดเชื้อ พยาบาลให้นอนแยกขาออก เปิดผ้าคลุมออกถึงหน้าท้อง กางแขนออก มีทีมแพทย์ 4 คน รวมหมอ 1 = 5 คน อยู่ในห้องผ่าตัด ก่อนจะฉีดยา พยาบาลถามซ้ำว่า ชื่อ -นามสกุล ผ่าตัดอะไร แล้วก็เข้าสู่กระบวนการผ่าตัด พยาบาลบอกให้นอนตะแคงเขาชิดหน้าอกก้มหัวลง แล้วหมอบอกเจ็บหน่อยนะ ฉีดยาชาเข้าที่กระดูกสันหลัง แล้วฉีดยานอนหลับอ่อนๆ สักพักเริ่มชาตั้งแต่ช่วงหลังลงไป ไม่มีความรู้สึกใดๆ พยาบาลเอาฉากมากั้นตั้งแต่ใต้หน้าอกลงไปเพื่อไม่ให้เห็นการผ่าตัด และพยาบาลนำท่อเป่าลมอุ่นๆ ลักษณะเป็นท่อพลาสติกใสๆ เส้นยาวๆ กลมๆ วางพาดลำตัวจากแขนขวาไปแขนซ้าย ทำให้รู้สึกอุ่น เพื่อไม่ให้หนาว แล้วเอาผ้าคลุมทับที่ตัวอีกที เพราะในห้องเย็นมาก วินาทีนั้นไม่รู้สึกเจ็บเลย เรากลัว และตื่นเต้น สังเกตุทุกสิ่ง ไม่กล้าหลับกลัวไม่ฟื้น555 ในชีวิตไม่เคยผ่าตัดมาก่อน เสร็จแล้วพยาบาลจับพลิกตัวนอนหงาย พยาบาลใส่สายสวนปัสสาวะ แต่ยังมีเลือดประจำเดือนไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไหลน้อยแล้ว แต่เราไม่รู้สึกตัวนะ เห็นพยาบาลถามว่ามีเลือดไหล เราเลยบอกว่าเลือดประจำเดือน ในขณะผ่าตัดเราไม่ได้หลับเลย และได้ยินเสียงทุกอย่างในห้อง ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมง พอผ่าตัดเสร็จก็เข็นเตียงไปห้องเฝ้าดูอาการ นอนอยู่บนรถเข็น ประมาณ 2 ชั่วโมง รู้สึกหนาว มึนหัว เริ่มอาเจียน แต่เอียงคอยังไม่ได้นะ มันรู้สึกไม่มีแรง ยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ เจ็บท้องนิดๆ บุรุษพยาบาลเข็นเราเข้าห้อง (เตียงคู่) ที่เราจองไว้ คืนที่ 2 ในระหว่างเข็นเตียงไป พยาบาลบอกหลับตา ลืมตาแล้วจะเวียนหัว และอาเจียนได้ ให้กินน้ำได้หลังบ่ายสามโมง ตอนนี้ให้กลืนน้ำลายได้อย่างเดียว สลับกับอาเจียน มีอาการเจ็บท้องเพราะเกร็งท้อง ทรมานมาก พอถึงบ่ายสามโมงจิบน้ำ ผ่านไป 10 นาที อาเจียน จนถึงอาหารเย็น อาหารหน้าตาดูดีมาก ของคาว หวาน ผลไม้ น้ำหวาน เต็มโต๊ะ กินไม่ได้เลยค่ะ แต่ต้องฝืนกิน เพื่อกินยาฆ่าเชื้อ กินได้ 2 คำ กินยา กินน้ำ อาเจียนอีก อาการเจ็บท้อง ขยับตัวไม่ค่อยได้ พยาบาลฉีดยาแก้ปวดให้ 1 เข็ม ยังต้องใส่สายปัสสาวะอยู่ พอสามทุ่ม คนเฝ้าไขกลับแล้ว เตียงข้าง ๆ ยังไม่มา รอคลอดธรรมชาติ ผ่านไป 5 ทุ่ม เรานอนในห้องคนเดียว มีอาการเริ่มเวียนหัว เลยกดเรียกขอความช่วยเหลือ ความดันต่ำ มีไข้อ่อน หายใจติดขัด มีเลือดประจำเดือนไหล แต่ไม่มาก หมอเปลี่ยนเป็นให้น้ำเกลือแบบมีวิตามิน เลยดีขึ้น ใส่เครื่องช่วยหายใจจนถึงเช้า พยาบาลนั่งเฝ้าในอยู่ 2 ชั่วโมง แต่เรายังไม่หยุดอาเจียนนะ เพลียมาก เลยหลับไป
คืนที่ 3 พักฟื้นหลังผ่าตัด (อาเจียนหมด ไม่ว่าจะกิน น้ำ ข้าว สรุปกินอะไรไม่ได้เลย จนครบ 24.00 ชม.)
เช้ามืด พยาบาลมาเช็ดตัว เปลี่ยนชุด อาหารเช้ามา (อาหารอลังการ 3 เวลา) เราจะฝืนกินข้าวได้ 2 คำ อาเจียนเหมือนเดิม แล้วฝืนกินยา ก็อาเจียนอีก อาจจะแพ้ยาบล็อกหลัง พยาบาลฉีดยาแก้เวียนหัวให้ กว่าจะหยุดอาเจียนประมาณ 09.00 น. แต่กินอะไรไม่ค่อยลง น้ำเกลือเปลี่ยนไปประมาณ 10 กระปุก ทั้งตัว หน้า บวมมาก อาการก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ วันนี้พยาบาลมาเปลี่ยนที่แปะแผลหน้าท้อง แบบกันน้ำ สามารถโดนน้ำได้ อาบน้ำได้ แต่ห้ามแช่น้ำ ขนาดแผลยาว 10 cm เป็นแผ่นเทปสเตอไรน์ สำหรับปิดยึดแผล ปริ ฉีก ไม่กว้าง หรือใหญ่ เกินไป โดยไม่ต้องเย็บแผล ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ แผลดี ไม่ปริ ไม่ฉีก มีเลือดซึมนิดหน่อย กินยาแก้อักเสบ เช้า กลางวัน เย็น และฉีดยาแก้ปวด วันละ 1 เข็ม ช่วงบ่ายหมอมาดูแผล อาการปกติไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หมอให้ถอดสายปัสสาวะได้แล้ว และเริ่มลุกเข้าห้องน้ำเองได้ แต่ช้า ๆ หน่วง เจ็บ เดินหลังค่อม พยามตัวตรง แต่ไม่ได้ แผลตึง เดินมาก ๆ ปวด ต้องนั่งพัก เดินได้แค่ 5-10 นาที ช่วงเย็นเราเช็ดตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าเอง สระผมเองได้ปกติ (ยืนตรง ก้มหัวลงแล้วใช้ฟักบัว) แต่ต้องช้า ๆ ก็สดชื่นมาก พอช่วงค่ำท้องระบม ต้องกินยาแก้ปวด
คืนที่ 4 พักฟื้นหลังผ่าตัด
กินอาหารได้น้อยเหมือนเดิม ทั้งตัว หน้าบวม น้ำหนักขึ้น หน่วงแผลที่ท้อง เดินหลังค่อมเหมือนเดิม แต่อั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ หลังจากที่ใส่สายปัสสาวะมา 2 วันกว่า เจ็บแผลที่ท้อง เดินต้องอุ้มหน้าท้อง เพราะท้องบวมอย่างเห็นได้ชัด แต่พยายามเดิน ลุก นั่ง กินยาแก้อักเสบ เช้า กลางวัน เย็น และตามด้วยฉีดยาแก้ปวดวันละ 1 เข็ม แต่ยังไม่ได้ถ่ายหนัก
วันที่ 5 ออกจากโรงพยาบาล
กินอาหารได้น้อยเหมือนเดิม กินยาแก้อักเสบ แก้ปวด เช็ดตัวเอง แผลปกติ เลือดที่ซึมบริเวณหน้าท้องเท่าเดิม ดูแล้วอาการดีขึ้น ตามลำดับ ก็ออกจากโรงพยาล ช่วง 10.00 โมง หมอให้ยา แก้อักเสบ แก้ปวด และยาลดกรดในกระเพาะ (ท้องอืดมาก เพราะไม่ค่อยได้เดิน) พยาบาลให้กินผลไม้ พยายามเดิน ห้ามยกของหนัก ห้ามแช่น้ำ อาบน้ำได้ และให้รีบเช็ดแผล ช่วงนี้ให้กินอาหารอ่อนๆ และหมอนัด ดูแผลถัดไปอีก 7 วัน
**ได้รับบริการที่โรงพยาบาลดีมาก ถึงจะไม่ใหม่ แต่สะอาด หมอเก่ง พยาบาลดูแลดี ผู้ช่วยพยาบาลดูแลดี ให้ความรู้ได้ดี ถามอะไรสามารถตอบข้อสงสัยได้หมด ขอความช่วยเหลือ มาทันที บริการด้วยใจ และประทับใจ รวมไปถึงแม่บ้าน5555 อาหารดีทุกมื้อ มาแบบร้อน ๆ แล้วอาหารไม่เหมือนของคนไข้ หน้าตาดูดี รสชาติดี
**ผ่านมาแล้ว 7 วัน ผลตรวจชิ้นเนื้อ ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย เป็นเนื้องอกธรรมดา และหมอเอาแผ่นเทปสเตอไรน์หน้าท้องออก โดยไม่มีรอยเย็บใดๆๆ แผลด้านนอกสนิทดี แต่ก็ยังหน่วงท้องอยู่ มา รพ. ยังต้องนั่งรถเข็น มีเลือดออกทางช่องคลอดกระปิดกระปรอย (ประมาณ 6 เดือน) ตอนนอนแล้วลุกนั่ง เจ็บช่วงขาหนีบ เพราะมันตึง ลุกผิดท่า เจ็บแปรบ ทรมานมาก อาการแบบนี้เป็นประมาณ 2 อาทิตย์
**อาการ 1-6 เดือน
มีเลือดออกทางช่องคลอดกระปิดกระปอย ต้องรับยาปรับฮอร์โมนมากิน ทุกเดือน จนครบ 6 เดือน และไม่มีเลือดออกอีก เดินนาน ประมาณ 30 นาที ยังมีหน่วงท้อง ท้องระบบ นั่งนานไม่ได้เจ็บท้อง ต้องนอนหงายถึงจะดีขึ้น ไม่สามารถนอนคว่ำได้
**อาการ 7-12 เดือน
อาการหน่วงท้องดีขึ้นมาก การออกกำลังกาย เดินนาน เกือบปีกว่าจะหาย ไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร หลังผ่าตัด อาการปวดท้องประจำเดือนหายเลย
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วควรปฏิบัติตัว
1. พยายามลุกเดินตัวตรง ถ้านอน พยายามพลิกตัว ซ้าย-ขวา ไม่อยู่ท่าเดิมนาน ๆ เอาเท่าที่ร่างการไหว ส่วนตัวเราเดินมากมีเลือดซึมทางช่องคลอด ต้องหยุดเดินและพัก ร่างกายคนเราไมเหมือนกัน การเย็บแผลข้างในช่องท้องก็ไม่เหมือนกัน ของเราพัก และทำแบบนี้ทุกวัน และอาการดีขึ้นเรื่อย เป็นเวลา 20 วัน แล้วไปทำงานค่อย ๆ เดิน แฟนเราคอยรับ-ส่ง (แต่เราคาดเบ้วไม่ได้นะเจ็บท้อง เพราะรัดหน้าท้องตึงเกินไป) แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่เป็นไร
2. พยายามเดินพื้นราบ อย่าเดินขึ้นลงบันได อาจจะทำให้แผลปริ หรือฉีกได้
3. อย่าเบ่งอุจจาระ อาจจะทำให้แผลข้างในปริ หรือฉีกได้
4. กินยาที่หมอจนครบตามกำหนด
5. พยายามกินผลไม้ เพื่อระบายในการขับได้โดยไม่ต้องเบ่ง
6. ควรกินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม เพื่อดีต่อระบบย่อย
(ลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หมักดอง ไม่สุก แผลอาจติดเชื่อได้)
7. เห็นบางคนถามว่าขับรถได้มั้ย ควรถามหมอค่ะ เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของเราหมอบอก
ให้ครบ 3 อาทิตย์ ก่อนถึงจะขับได้
ประสบการณ์เก่า มาเล่าใหม่ ผ่าตัดเนื้องอกในผนังโพรงมดลูก ขนาด 7 cm เดือนตุลาคม 2561 เบิกประกันสังคมโรงพยาบาลเอกชน
**ดิฉันอายุ 35 แต่งงานมา 8 ปี ยังไม่มีลูก ไม่เคยผ่าตัด ไม่เคยนอนโรงพยาบาล
อาการที่พบ : อาการปวดท้องประจำเดือนมาก ปวดท้องเกร็งช่องท้อง ปวดเชิงกราน หมดแรงเดิน จะปวดวันที่
1-2 ของประจำเดือนมา มีอาการดังกล่าว ประมาณ 1 ปี (ประจำเดือนมา 5 วัน) แต่ไม่เคยไปหาหมอหาสาเหตุของการปวดท้อง
ค่าใช้จ่าย : จ่ายส่วนต่างทั้งหมด 2,500.-บาท (นอนห้องรวม 1 คืน หลังผ่าตัดนอนห้องคู่ 3 คืน รวมนอนทั้งหมด 4 คืน 5 วัน) ราคารวมอาหาร ค่ายาที่ขอเพิ่มเติม ส่วนที่เหลือประกันสังคมจ่ายค่ารักษา ราคาประมาณ 80,000.-บาท
**วันที่ 11 สิงหาคม 2561 ตรวจเจอเนื้องอกโดยบังเอิญ เริ่มจากการปวดระดับน้อย ไประดับมากขึ้นเรื่อยๆ เราขับรถไปโรงพยาบาลเอง ตอนนี้ยังปวดท้องระดับที่น้อย ถึงรพ.เวลา 17.00 น. เริ่มอาเจียนเป็นระยะ พยาบาลให้นั่งบนรถเข็น เพราะเริ่มเดินไม่ไหว จนสุดท้ายต้องนอนเตียง และยังอาเจียนไม่หยุด มีอาการเวียนหัว หมอฉีดยาแก้เวียนหัว ก็ยังไม่หาย จนแผนกประกันสังคมปิด 20.00 น. บุรุษพยาบาลเข็นเราลงไปรอห้องฉุกเฉิน นอนรอตรวจหาสาเหตุ โดยเอ็กซเรย์ดูช่องท้อง และหมอเวรสูติตรวจภายใน ใช้มือคลำช่องคลอดเจอก้อนเนื้อนูนออกมาจากผนังโพรงมดลูก หมอก็กด และถามว่าเจ็บมั้ย เราบอกไม่เจ็บ ก็ส่งต่อไปห้องซาวด์ ใช้กล้องซาวด์ในช่องคลอด สรุปเจอก้อนเนื้อ ขนาด 7 cm หมอเวรสูตินัดให้ตรวจในวันรุ่งขึ้นแผนกหมอสูติรอบเช้า เพื่อยืนยันผลของอาการปวดท้องเกิดจากเนื้องอก ขนาด 7 cm ใช่มั้ย ตอนนี้เป็นช่วงเวลา 24.00 ก็ไม่มีอาการปวดท้อง และหยุดอาเจียนแล้ว หมอให้กลับบ้านได้ โดยอยู่ รพ.เป็นเวลา 7 ชั่วโมง เต็ม
**วันที่ 12 สิงหาคม 2561 ช่วงเช้า พบหมอสูติ หมอก็ตรวจภายใน ใช้มือคลำช่องคลอดเจอก้อนเนื้อ และใช้เครื่องซาวด์ดูช่องคลอด เจอก้อนเนื้องอกจริง ขนาด 7 cm หมอแจ้งว่าต้องผ่าตัดวิธีเปิดหน้าท้องเท่านั้น เพราะขนาดใหญ่ ปล่อยไว้ก็อาจจะกลายเป็นเนื้อร้าย และจะทำให้ปวดประจำเดือน แต่ที่อาการปวดท้อง และอาเจียน สาเหตุอาจจะเกิดจากอาหารเป็นพิษ และหมอก็นัดวันเจาะเลือด ตรวจร่างกาย ก่อนผ่าตัด 1 อาทิตย์ และลงนัดวันผ่าตัด 12 ตุลาคม 2561 (ระยะเวลา 2 เดือน)
**นอนโรงพยาบาล 4 คืน 5 วัน (ตามกำหนดระยะเวลาการผ่าตัด)
คืนที่ 1 เตรียมตัวก่อนผ่าตัด ทานอาหารอ่อน
เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณเที่ยงๆ ก็เจาะเลือดหากรุ๊ปเลือด สำรองเลือดในการผ่าตัด และฉีดยาหยุดเลือดเนื่องจากมีประจำเดือน แต่ประจำเดือนมาได้ 2 วัน แล้ว เลือดประจำเดือนไม่ได้หยุดไหลทันที แต่ไหลน้อยกว่าปกติ พยาบาลให้นั่งรอเอกสาร และคุยเรื่องห้อง ค่าใช้จ่าย เราจะจองห้องคู่ แต่เต็ม ห้องคู่ได้คืนที่ 2 ส่วนคืนที่ 1 นอนห้องรวม เคลียเอกสารเสร็จ ก็เข้าห้องพักรวม 6 เตียง (ห้องน้ำ 1 ห้อง) เปลี่ยนชุดของโรงพยาบาล สักพักมีพยาบาลมาส่งอาหารประมาณ 17.00 น. เป็นอาหารอ่อน น้ำข้าว + น้ำซุป + น้ำกระเจี๊ยบ แต่เราก็ไม่ได้กิน 18.00 น. พยาบาลให้กินยาระบายลักษณะเป็นน้ำใส ๆ รสชาติเฝื่อน ๆ ปริมาณเท่ากับแก้วยาดอง 1 แก้ว ต้องกินน้ำ 2 ลิตร พยาบาลแจ้งกินให้หมดทั้ง 2 อย่างภายในเวลา 21.00 น. ถ่ายท้องจะหมดแรง และพยาบาลให้เรานอนลงเพื่อโกนขนให้โดยใช้แบตตาเลี่ยนไถ นาน้อยๆๆ 555 อายก็อาย เพื่อสะดวกในการผ่าตัด และสวนทวาร พยาบาลให้เรานอนตะแคง งอเขาชิดหน้าหน้าอก ก้มหัวลง พยาบาลเอาสายยางเส้นเล็กๆ ใสๆ เสียบเข้าที่ก้น แล้วปล่อยน้ำเกลือใส่เข้าไปจนหมดขวด แล้วพอเสร็จ พยาบาลบอกอั้นไว้นะ เราอั้นไม่เกือบไม่อยู่ ต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ทั้งกินยาระบาย ทั้งสวนทวาร หมดไส้หมดพุง เพลีย หมดแรง เข้าห้องน้ำจนถึง 24.00 น. พยาบาลประจำห้องรวม เข้า-ออก ทุก 2 ชม. เพื่อวัดความดัน วัดไข้ จนถึง 05.00 น. คือเราไม่ได้หลับ พยาบาลเข้ามาตรวจ ทั้ง 6 เตียง พร้อม ๆ กัน
คืนที่ 2 ผ่าตัดเวลา 08.30 น.
พยาบาลแจ้งให้อาบน้ำสระผมให้เรียบร้อย จะมารับ เวลา 07.00 น. พยาบาลให้เปลี่ยนชุดคลุมเพื่อเตรียมผ่าตัด บุรุษพยาบาลเข็นเตียงมารอรับ เข็นไปห้องพักผ่าตัด เช็คความดัน ไข้ ก่อนเข้าห้องผ่าตัด ชื่อ-นามสกุล ได้เวลาก็เข็นไปห้องผ่าตัด ห้องกว้าง ขาวสะอาด ไฟส่องสว่างมาก เครื่องมือทันสมัย เป็นห้องปลอดเชื้อ พยาบาลให้นอนแยกขาออก เปิดผ้าคลุมออกถึงหน้าท้อง กางแขนออก มีทีมแพทย์ 4 คน รวมหมอ 1 = 5 คน อยู่ในห้องผ่าตัด ก่อนจะฉีดยา พยาบาลถามซ้ำว่า ชื่อ -นามสกุล ผ่าตัดอะไร แล้วก็เข้าสู่กระบวนการผ่าตัด พยาบาลบอกให้นอนตะแคงเขาชิดหน้าอกก้มหัวลง แล้วหมอบอกเจ็บหน่อยนะ ฉีดยาชาเข้าที่กระดูกสันหลัง แล้วฉีดยานอนหลับอ่อนๆ สักพักเริ่มชาตั้งแต่ช่วงหลังลงไป ไม่มีความรู้สึกใดๆ พยาบาลเอาฉากมากั้นตั้งแต่ใต้หน้าอกลงไปเพื่อไม่ให้เห็นการผ่าตัด และพยาบาลนำท่อเป่าลมอุ่นๆ ลักษณะเป็นท่อพลาสติกใสๆ เส้นยาวๆ กลมๆ วางพาดลำตัวจากแขนขวาไปแขนซ้าย ทำให้รู้สึกอุ่น เพื่อไม่ให้หนาว แล้วเอาผ้าคลุมทับที่ตัวอีกที เพราะในห้องเย็นมาก วินาทีนั้นไม่รู้สึกเจ็บเลย เรากลัว และตื่นเต้น สังเกตุทุกสิ่ง ไม่กล้าหลับกลัวไม่ฟื้น555 ในชีวิตไม่เคยผ่าตัดมาก่อน เสร็จแล้วพยาบาลจับพลิกตัวนอนหงาย พยาบาลใส่สายสวนปัสสาวะ แต่ยังมีเลือดประจำเดือนไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไหลน้อยแล้ว แต่เราไม่รู้สึกตัวนะ เห็นพยาบาลถามว่ามีเลือดไหล เราเลยบอกว่าเลือดประจำเดือน ในขณะผ่าตัดเราไม่ได้หลับเลย และได้ยินเสียงทุกอย่างในห้อง ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมง พอผ่าตัดเสร็จก็เข็นเตียงไปห้องเฝ้าดูอาการ นอนอยู่บนรถเข็น ประมาณ 2 ชั่วโมง รู้สึกหนาว มึนหัว เริ่มอาเจียน แต่เอียงคอยังไม่ได้นะ มันรู้สึกไม่มีแรง ยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ เจ็บท้องนิดๆ บุรุษพยาบาลเข็นเราเข้าห้อง (เตียงคู่) ที่เราจองไว้ คืนที่ 2 ในระหว่างเข็นเตียงไป พยาบาลบอกหลับตา ลืมตาแล้วจะเวียนหัว และอาเจียนได้ ให้กินน้ำได้หลังบ่ายสามโมง ตอนนี้ให้กลืนน้ำลายได้อย่างเดียว สลับกับอาเจียน มีอาการเจ็บท้องเพราะเกร็งท้อง ทรมานมาก พอถึงบ่ายสามโมงจิบน้ำ ผ่านไป 10 นาที อาเจียน จนถึงอาหารเย็น อาหารหน้าตาดูดีมาก ของคาว หวาน ผลไม้ น้ำหวาน เต็มโต๊ะ กินไม่ได้เลยค่ะ แต่ต้องฝืนกิน เพื่อกินยาฆ่าเชื้อ กินได้ 2 คำ กินยา กินน้ำ อาเจียนอีก อาการเจ็บท้อง ขยับตัวไม่ค่อยได้ พยาบาลฉีดยาแก้ปวดให้ 1 เข็ม ยังต้องใส่สายปัสสาวะอยู่ พอสามทุ่ม คนเฝ้าไขกลับแล้ว เตียงข้าง ๆ ยังไม่มา รอคลอดธรรมชาติ ผ่านไป 5 ทุ่ม เรานอนในห้องคนเดียว มีอาการเริ่มเวียนหัว เลยกดเรียกขอความช่วยเหลือ ความดันต่ำ มีไข้อ่อน หายใจติดขัด มีเลือดประจำเดือนไหล แต่ไม่มาก หมอเปลี่ยนเป็นให้น้ำเกลือแบบมีวิตามิน เลยดีขึ้น ใส่เครื่องช่วยหายใจจนถึงเช้า พยาบาลนั่งเฝ้าในอยู่ 2 ชั่วโมง แต่เรายังไม่หยุดอาเจียนนะ เพลียมาก เลยหลับไป
คืนที่ 3 พักฟื้นหลังผ่าตัด (อาเจียนหมด ไม่ว่าจะกิน น้ำ ข้าว สรุปกินอะไรไม่ได้เลย จนครบ 24.00 ชม.)
เช้ามืด พยาบาลมาเช็ดตัว เปลี่ยนชุด อาหารเช้ามา (อาหารอลังการ 3 เวลา) เราจะฝืนกินข้าวได้ 2 คำ อาเจียนเหมือนเดิม แล้วฝืนกินยา ก็อาเจียนอีก อาจจะแพ้ยาบล็อกหลัง พยาบาลฉีดยาแก้เวียนหัวให้ กว่าจะหยุดอาเจียนประมาณ 09.00 น. แต่กินอะไรไม่ค่อยลง น้ำเกลือเปลี่ยนไปประมาณ 10 กระปุก ทั้งตัว หน้า บวมมาก อาการก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ วันนี้พยาบาลมาเปลี่ยนที่แปะแผลหน้าท้อง แบบกันน้ำ สามารถโดนน้ำได้ อาบน้ำได้ แต่ห้ามแช่น้ำ ขนาดแผลยาว 10 cm เป็นแผ่นเทปสเตอไรน์ สำหรับปิดยึดแผล ปริ ฉีก ไม่กว้าง หรือใหญ่ เกินไป โดยไม่ต้องเย็บแผล ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ แผลดี ไม่ปริ ไม่ฉีก มีเลือดซึมนิดหน่อย กินยาแก้อักเสบ เช้า กลางวัน เย็น และฉีดยาแก้ปวด วันละ 1 เข็ม ช่วงบ่ายหมอมาดูแผล อาการปกติไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หมอให้ถอดสายปัสสาวะได้แล้ว และเริ่มลุกเข้าห้องน้ำเองได้ แต่ช้า ๆ หน่วง เจ็บ เดินหลังค่อม พยามตัวตรง แต่ไม่ได้ แผลตึง เดินมาก ๆ ปวด ต้องนั่งพัก เดินได้แค่ 5-10 นาที ช่วงเย็นเราเช็ดตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าเอง สระผมเองได้ปกติ (ยืนตรง ก้มหัวลงแล้วใช้ฟักบัว) แต่ต้องช้า ๆ ก็สดชื่นมาก พอช่วงค่ำท้องระบม ต้องกินยาแก้ปวด
คืนที่ 4 พักฟื้นหลังผ่าตัด
กินอาหารได้น้อยเหมือนเดิม ทั้งตัว หน้าบวม น้ำหนักขึ้น หน่วงแผลที่ท้อง เดินหลังค่อมเหมือนเดิม แต่อั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ หลังจากที่ใส่สายปัสสาวะมา 2 วันกว่า เจ็บแผลที่ท้อง เดินต้องอุ้มหน้าท้อง เพราะท้องบวมอย่างเห็นได้ชัด แต่พยายามเดิน ลุก นั่ง กินยาแก้อักเสบ เช้า กลางวัน เย็น และตามด้วยฉีดยาแก้ปวดวันละ 1 เข็ม แต่ยังไม่ได้ถ่ายหนัก
วันที่ 5 ออกจากโรงพยาบาล
กินอาหารได้น้อยเหมือนเดิม กินยาแก้อักเสบ แก้ปวด เช็ดตัวเอง แผลปกติ เลือดที่ซึมบริเวณหน้าท้องเท่าเดิม ดูแล้วอาการดีขึ้น ตามลำดับ ก็ออกจากโรงพยาล ช่วง 10.00 โมง หมอให้ยา แก้อักเสบ แก้ปวด และยาลดกรดในกระเพาะ (ท้องอืดมาก เพราะไม่ค่อยได้เดิน) พยาบาลให้กินผลไม้ พยายามเดิน ห้ามยกของหนัก ห้ามแช่น้ำ อาบน้ำได้ และให้รีบเช็ดแผล ช่วงนี้ให้กินอาหารอ่อนๆ และหมอนัด ดูแผลถัดไปอีก 7 วัน
**ได้รับบริการที่โรงพยาบาลดีมาก ถึงจะไม่ใหม่ แต่สะอาด หมอเก่ง พยาบาลดูแลดี ผู้ช่วยพยาบาลดูแลดี ให้ความรู้ได้ดี ถามอะไรสามารถตอบข้อสงสัยได้หมด ขอความช่วยเหลือ มาทันที บริการด้วยใจ และประทับใจ รวมไปถึงแม่บ้าน5555 อาหารดีทุกมื้อ มาแบบร้อน ๆ แล้วอาหารไม่เหมือนของคนไข้ หน้าตาดูดี รสชาติดี
**ผ่านมาแล้ว 7 วัน ผลตรวจชิ้นเนื้อ ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย เป็นเนื้องอกธรรมดา และหมอเอาแผ่นเทปสเตอไรน์หน้าท้องออก โดยไม่มีรอยเย็บใดๆๆ แผลด้านนอกสนิทดี แต่ก็ยังหน่วงท้องอยู่ มา รพ. ยังต้องนั่งรถเข็น มีเลือดออกทางช่องคลอดกระปิดกระปรอย (ประมาณ 6 เดือน) ตอนนอนแล้วลุกนั่ง เจ็บช่วงขาหนีบ เพราะมันตึง ลุกผิดท่า เจ็บแปรบ ทรมานมาก อาการแบบนี้เป็นประมาณ 2 อาทิตย์
**อาการ 1-6 เดือน
มีเลือดออกทางช่องคลอดกระปิดกระปอย ต้องรับยาปรับฮอร์โมนมากิน ทุกเดือน จนครบ 6 เดือน และไม่มีเลือดออกอีก เดินนาน ประมาณ 30 นาที ยังมีหน่วงท้อง ท้องระบบ นั่งนานไม่ได้เจ็บท้อง ต้องนอนหงายถึงจะดีขึ้น ไม่สามารถนอนคว่ำได้
**อาการ 7-12 เดือน
อาการหน่วงท้องดีขึ้นมาก การออกกำลังกาย เดินนาน เกือบปีกว่าจะหาย ไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร หลังผ่าตัด อาการปวดท้องประจำเดือนหายเลย
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วควรปฏิบัติตัว
1. พยายามลุกเดินตัวตรง ถ้านอน พยายามพลิกตัว ซ้าย-ขวา ไม่อยู่ท่าเดิมนาน ๆ เอาเท่าที่ร่างการไหว ส่วนตัวเราเดินมากมีเลือดซึมทางช่องคลอด ต้องหยุดเดินและพัก ร่างกายคนเราไมเหมือนกัน การเย็บแผลข้างในช่องท้องก็ไม่เหมือนกัน ของเราพัก และทำแบบนี้ทุกวัน และอาการดีขึ้นเรื่อย เป็นเวลา 20 วัน แล้วไปทำงานค่อย ๆ เดิน แฟนเราคอยรับ-ส่ง (แต่เราคาดเบ้วไม่ได้นะเจ็บท้อง เพราะรัดหน้าท้องตึงเกินไป) แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่เป็นไร
2. พยายามเดินพื้นราบ อย่าเดินขึ้นลงบันได อาจจะทำให้แผลปริ หรือฉีกได้
3. อย่าเบ่งอุจจาระ อาจจะทำให้แผลข้างในปริ หรือฉีกได้
4. กินยาที่หมอจนครบตามกำหนด
5. พยายามกินผลไม้ เพื่อระบายในการขับได้โดยไม่ต้องเบ่ง
6. ควรกินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม เพื่อดีต่อระบบย่อย
(ลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หมักดอง ไม่สุก แผลอาจติดเชื่อได้)
7. เห็นบางคนถามว่าขับรถได้มั้ย ควรถามหมอค่ะ เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของเราหมอบอก
ให้ครบ 3 อาทิตย์ ก่อนถึงจะขับได้