เหมือนว่าจะได้กลับมาทำภาพยนตร์ในแนวที่เขาถนัดอีกครั้ง สำหรับ สก็อต เดอร์ริกสัน (Scott Derrickson) ผู้กำกับที่แจ้งเกิดจาก Sinister(2012) หลังจากที่ได้กำกับ Doctor Strange (2016) ก็ประกาศแยกทางกับทางมาร์เวล เพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน ซึ่งก็น่าคิดเหมือนกันว่า หาก Doctor Strange2 ได้ สก็อต เดอร์ริกสัน ทำต่อหนังจะออกมาในทิศทางไหน เพราะหากดูจากผลงานก่อนๆ ของเจ้าตัวแล้ว ทิศทางสยองขวัญของเขาก็ดูเหมือนจะมีของอยู่ไม่น้อย

ซึ่ง The Black Phone ก็ถือเป็นผลงานการกำกับถัดจาก Doctor Strange เลย ถ้าไม่นับหนังสั้นความยาว 12 นาทีอย่าง Shadowprowler ที่เขาถ่ายทำกับครอบครัวของเขาเองในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสที่ผ่านมา นั่นอาจเป็นไปได้ว่า เราจะได้เห็นวิสัยทัศน์บางอย่างที่เขาอยากจะใส่ลงไปใน Doctor Strange2 ภายในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้
.
เรื่องย่อ เด็กวัย 13 ปี ชื่อว่า ฟินนี่ย์ (Mason Thames) ถูกชายลึกลับคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นนักมายากลจับตัวไป แท้จริงแล้วชายคนนี้เป็นฆาตกรโรคจิตที่มีนามเรียกขานว่า The Grabber (Ethan Hawke) ชอบจับเด็กมาขังไว้ในห้องใต้ดินแล้วสังหารเหยื่อทิ้ง และภายในห้องใต้ดินนั้นมีโทรศัพท์โบราณสีดำลึกลับที่ถูกตัดสายแล้วเครื่องหนึ่งอยู่ ทุกๆ คืนโทรศัพท์จะดังขึ้นมา และปลายสายนั้นคือเสียงของเหล่าบรรดาเหยื่อผู้โชคร้ายที่จะบอกใบ้ฟินนี่ย์ถึงวิธีที่จะออกไปจากที่แห่งนี้ และอีกด้านน้องสาวของเขา เกว็น (Madeleine McGraw) ก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตามหาพี่ชายของเธอ โดยใช้เบาะแสเท่าที่มีอยู่

ต้องบอกว่า The Black Phone เป็นภาพยนตร์เขย่าขวัญ สยองขวัญ ที่พยายามหยิบใช้ทุกองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์แนวนี้มาใส่อย่างเต็มที่ เริ่มจากการใช้ท้องเรื่องเป็นยุค 70 ที่เลื่องชื่อในเรื่องของคดีลักพาตัว และพวกฆาตรกรต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความขลังและดูน่าเชื่อถือให้กับตัวเรื่อง ถึงกระทั่งในเรื่องเองยังมีการกล่าว(อย่างอ้อมๆ)ถึงภาพยนตร์เรื่อง The Texas Chainsaw Massacre (1974) ในฐานะของภาพยนตร์สยองขวัญที่เด็กๆ ในเรื่องหวาดกลัว และแน่นอนว่า ฆาตกรต่อเนื่องโรคจิต ใส่หน้ากาก ไล่ล่าเหยื่อก็เป็นสัญลักษณ์ประจำของความสยองขวัญที่ทั้ง เลเธอร์เฟซ (Leatherface) และ เดอะ แกร็บเบอร์ (The Grabber) เอง รวมถึงฆาตกรต่อเนื่องรายอื่นๆ ใช้เพื่อข่มขวัญคนดูอย่างได้ผลมานักต่อนักแล้ว

ตัวเรื่องเองก็มีความพยายามเล่นกับความคาดเดาของคนดู (อย่างที่เราชอบคิดว่า ทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้) อย่างฉากในห้องใต้ดินก็มีการเผยให้เห็นสภาพที่เด็กตัวเล็กๆ คนนึงไม่น่าจะมีทางหนีออกไปได้ แม้ว่าตัวเดอะ แกร็บเบอร์ เองก็มีการเปิดช่องว่างอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก เขาคงไม่สามารถปะทะกับผู้ใหญ่ตรงๆ ได้แน่นอน ทำให้เราเชื่อได้ว่าตัวละครนี้ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวโดยสมบูรณ์ หรือในเรื่องของตัวเดอะ แกร็บเบอร์ ก็มีการเล่นลูกไม้สับขาหลอกคนดูอยู่เหมือนกัน เรียกว่า นอกจากการเอาตัวรอดของฟินนีย์แล้ว การเดาตัวคนร้ายก็สนุกใช้ได้เลยทีเดียว

ในส่วนของการเล่าเรื่อง แม้ว่าในช่วงแรกจะมีการปูเนื้อเรื่องและตัวละครนานไปสักหน่อย แต่ถ้าดูจนจบก็เข้าใจว่าจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น แต่สิ่งที่นับว่าเป็นความฉลาดไม่น้อยเลย คือ การใส่เส้นเรื่องรองเข้ามาเสริม ซึ่งก็คือ (สปอยเล็กน้อย) ความสามารถพิเศษของเกว็น น้องสาวของฟินนีย์ ให้มีส่วนช่วยในการตามหาพี่ชายของเธอได้ ซึ่งนั่นทำให้เราไม่ต้องจำเจอยู่กับในคุกสี่เหลี่ยมใต้ดินตลอดทั้งเรื่อง ช่วยให้การเล่าเรื่องจึงมีการสลับไปมาระหว่างการเอาตัวรอดของฟินนีย์และการตามหาพี่ชายของเกว็น ที่ในท้ายที่สุดสองเส้นเรื่องนี้ก็มาบรรจบกันได้พอดิบพอดี (แถมจบไม่ค้างคาด้วยนะ)

จากทั้งองค์ประกอบที่กล่าวมานั้นก็พลันให้นึกถึงงานเขย่าขวัญชั้นครูของ สตีเฟ่น คิง (Stephen King) เรื่อง It อยู่ไม่น้อย ทั้งบรรยากาศ สภาพชุมชนเมือง การมีตัวละครเด็กเป็นตัวเอกของเรื่อง รวมถึงการใส่เรื่องราวลี้ลับเหนือธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่อง (ซึ่งก็คงไม่ผิด เพราะถึงขนาดว่ามีฉากที่ตัวละครเกว็น ใส่เสื้อกันฝนสีเหลืองเหมือนกับจอร์จี้ เด็กที่ถูกเพนนีไวส์จับตัวไปในฉากต้นเรื่องของ It) แล้วก็มีการใส่งานเก่าของผู้กำกับอย่าง siniter เข้ามาบ้างเล็กๆน้อยๆ รวมถงที่จังหวะจั้มสแคร์ที่แม้จะใส่มาเพียง 2-3 ครั้ง แต่รับรองว่าเข้าเป้าทุกดอกแน่นอน (ระวังให้ดี)
(เพิ่มเติม คนเขียนบท คือ โจ ฮิลล์ ซึ่งเป็นลูกชายของสตีเฟ่น คิง นั่นเอง)

แต่กระนั้น The Black Phone ก็ยังมีจุดที่ถูกมองข้าม ซึ่งน่าจะเป็นจุดใหญ่มากๆ เลย นั่นคือ ตัวของโทรศัพท์สีดำนี่แหละ ด้วยความที่เจ้าโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นเหมือนตัวชูโรงของเรื่องเลยก็ว่าได้ (ก็เป็นถึงชื่อเรื่องเลย) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แรกๆ เสียงกริ๊งงงงง ของโทรศัพท์ก็นับว่าหลอนและดูน่ากลัวดีอยู่หรอก แต่เมื่อเวลาผ่านไปความน่ากลัวของมันเริ่มลดลง ยิ่งสายต่อๆไป ยิ่งรู้สึกว่าตัวโทรศัพท์มันไม่มีอะไรให้น่าจดจำ กลายเป็นเหมือนของธรรมดาๆ ที่ถูกใช้แล้วก็โยนทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย

ส่วนประเด็นเรื่องครอบครัวก็ดูเหมือนจะขยายได้ไม่สุด ทั้งที่มีการเล่าเรื่องอาการติดเหล้าของพ่อเด็ก รวมถึงอาการกลัวเสียงดังที่ใส่มาตอนต้นเรื่อง(ที่ดูเหมือนจะมีอะไร) แต่ทั้งหมดก็ถูกลืมหายไปเมื่อฟินนี่ย์ถูกลักพาตัวไป และมิติฝั่งตัวร้ายดูจะขาดหายไป ทั้งในแง่แรงจูงใจกับภูมิหลังของเขา ทำให้เดอะ แกร็บเบอร์ กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ไม่มีอะไรให้จดจำสักเท่าไหร่ รวมถึงการที่ทำเหมือนกับว่าตัวเดอะ แกร็บเบอร์ มีบางสิ่งบางอย่างกับโทรศัพท์สีดำเครื่องนั้น แต่จนแล้วจนรอดประเด็นนี้ก็ไม่มีการพูดถึงต่อแต่อย่างใด

ฝั่งนักแสดงที่ได้ อีธาน ฮอว์ก กลับมาร่วมงานอีกครั้ง หลังจากที่เคยร่วมงานกับ สก็อต เดอร์ริกสัน มาแล้วใน Sinister ก็นับว่าน่าเสียดายที่การปรากฏตัวส่วนใหญ่ เขาจะอยู่ภายใต้หน้ากากปีศาจ แต่ถึงอย่างนั้น อีธาน ฮอว์กก็ยังแสดงความโรคจิต ความคลั่งเด็ก ของตัวละครออกมาทางแววตาภายใต้หน้ากากได้อย่างน่าขนลุกขนพอง และความแปรปรวนของอารมณ์ที่ไม่รู้ว่าจะมาดีหรือมาร้าย ซึ่งก็เป็นทั้งหมดแล้วสำหรับตัวละครฆาตกรโรคจิตผู้นี้

ด้าน ฟินนี่ย์ ที่รับบทโดย เมสัน เธมส์ นี่เป็นการแสดงเรื่องแรกของเขา ซึ่งก็ถือว่าสอบผ่าน ในคาแรคเตอร์เด็กเนิร์ดไม่สู้คน แต่ก็มีแววตาที่เป็นนักสู้อยู่ในตัว ซึ่งเอาเข้าจริง ก็ยังรู้สึกว่าตัวละครฟินนี่ย์ในเรื่องดูโตและนิ่งเกินวัยไปสักหน่อย ทั้งๆ ที่ถูกลักพาตัวไปขังในห้องใต้ดินมืดๆ แต่ไม่มีท่าทีความขวัญเสียเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นความจงใจของผู้กำกับหรือไม่ เพราะมันทำให้ตัวละครนี้ดูแข็งๆ ไปสักหน่อยนึง ส่วนคนที่แย่งซีนในเรื่องที่สุดเห็นจะเป็น เมเดอลีน แม็กกรอว์ ที่รับบทเป็น เกว็น น้องสาวของฟินนี่ย์ ซึ่งมุกที่เธอยิงแต่ละครั้งก็เรียกเสียงฮาได้ไม่น้อย รวมถึงท่าทีของตัวละครที่ ดูจะมีความกล้าหาญไม่แพ้พี่ชายของเธอ ทั้งช่วยพี่ชายจากการถูกกระทืบ หรือต้องเป็นที่ระบายอารมณ์ของพ่อติดเหล้า ซึ่งดูจะสาหัสเกินกว่าที่เด็กวัยนี้ควรได้รับ แต่ความเป็นเลือดนักสู้ก็ถูกฉายออกมาจากตัวละครนี้เช่นกัน

สรุป The Black Phone เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ เขย่าขวัญ ที่มีการวางองค์ประกอบต่างๆ ได้ดี มีกลิ่นอายของหนังไล่เชือดยุค 70 รวมถึงงานของนักเขียนขึ้นหิ้งอย่างสตีเฟ่น คิง การเล่าเรื่องที่มีการลำดับเรื่องอย่างมีระบบ ไม่ชวนให้สับสน สนุก ลุ้นระทึกในจุดที่ควรจะลุ้น และพาคนดูไปได้จนจบเรื่อง จะน่าเสียดายก็ตรงที่ใช้ความเป็นโทรศัพท์สีดำได้ไม่คุ้มค่าไปสักหน่อย รวมถึงตัวฆาตกร เดอะ แกร็บเบอร์ ที่ดูจะจืดจางตามโทรศัพท์ไปด้วยเช่นกัน

ฝากเพจด้วยนะครับ
Story Decoder
[รีวิว] The Black Phone: ส่วนผสมของความสยองขวัญไล่เชือดยุค 70 และกลิ่นอายในแบบของสตีเฟ่น คิง
ซึ่ง The Black Phone ก็ถือเป็นผลงานการกำกับถัดจาก Doctor Strange เลย ถ้าไม่นับหนังสั้นความยาว 12 นาทีอย่าง Shadowprowler ที่เขาถ่ายทำกับครอบครัวของเขาเองในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสที่ผ่านมา นั่นอาจเป็นไปได้ว่า เราจะได้เห็นวิสัยทัศน์บางอย่างที่เขาอยากจะใส่ลงไปใน Doctor Strange2 ภายในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้
.
เรื่องย่อ เด็กวัย 13 ปี ชื่อว่า ฟินนี่ย์ (Mason Thames) ถูกชายลึกลับคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นนักมายากลจับตัวไป แท้จริงแล้วชายคนนี้เป็นฆาตกรโรคจิตที่มีนามเรียกขานว่า The Grabber (Ethan Hawke) ชอบจับเด็กมาขังไว้ในห้องใต้ดินแล้วสังหารเหยื่อทิ้ง และภายในห้องใต้ดินนั้นมีโทรศัพท์โบราณสีดำลึกลับที่ถูกตัดสายแล้วเครื่องหนึ่งอยู่ ทุกๆ คืนโทรศัพท์จะดังขึ้นมา และปลายสายนั้นคือเสียงของเหล่าบรรดาเหยื่อผู้โชคร้ายที่จะบอกใบ้ฟินนี่ย์ถึงวิธีที่จะออกไปจากที่แห่งนี้ และอีกด้านน้องสาวของเขา เกว็น (Madeleine McGraw) ก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตามหาพี่ชายของเธอ โดยใช้เบาะแสเท่าที่มีอยู่
ต้องบอกว่า The Black Phone เป็นภาพยนตร์เขย่าขวัญ สยองขวัญ ที่พยายามหยิบใช้ทุกองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์แนวนี้มาใส่อย่างเต็มที่ เริ่มจากการใช้ท้องเรื่องเป็นยุค 70 ที่เลื่องชื่อในเรื่องของคดีลักพาตัว และพวกฆาตรกรต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความขลังและดูน่าเชื่อถือให้กับตัวเรื่อง ถึงกระทั่งในเรื่องเองยังมีการกล่าว(อย่างอ้อมๆ)ถึงภาพยนตร์เรื่อง The Texas Chainsaw Massacre (1974) ในฐานะของภาพยนตร์สยองขวัญที่เด็กๆ ในเรื่องหวาดกลัว และแน่นอนว่า ฆาตกรต่อเนื่องโรคจิต ใส่หน้ากาก ไล่ล่าเหยื่อก็เป็นสัญลักษณ์ประจำของความสยองขวัญที่ทั้ง เลเธอร์เฟซ (Leatherface) และ เดอะ แกร็บเบอร์ (The Grabber) เอง รวมถึงฆาตกรต่อเนื่องรายอื่นๆ ใช้เพื่อข่มขวัญคนดูอย่างได้ผลมานักต่อนักแล้ว
ตัวเรื่องเองก็มีความพยายามเล่นกับความคาดเดาของคนดู (อย่างที่เราชอบคิดว่า ทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้) อย่างฉากในห้องใต้ดินก็มีการเผยให้เห็นสภาพที่เด็กตัวเล็กๆ คนนึงไม่น่าจะมีทางหนีออกไปได้ แม้ว่าตัวเดอะ แกร็บเบอร์ เองก็มีการเปิดช่องว่างอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก เขาคงไม่สามารถปะทะกับผู้ใหญ่ตรงๆ ได้แน่นอน ทำให้เราเชื่อได้ว่าตัวละครนี้ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวโดยสมบูรณ์ หรือในเรื่องของตัวเดอะ แกร็บเบอร์ ก็มีการเล่นลูกไม้สับขาหลอกคนดูอยู่เหมือนกัน เรียกว่า นอกจากการเอาตัวรอดของฟินนีย์แล้ว การเดาตัวคนร้ายก็สนุกใช้ได้เลยทีเดียว
ในส่วนของการเล่าเรื่อง แม้ว่าในช่วงแรกจะมีการปูเนื้อเรื่องและตัวละครนานไปสักหน่อย แต่ถ้าดูจนจบก็เข้าใจว่าจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น แต่สิ่งที่นับว่าเป็นความฉลาดไม่น้อยเลย คือ การใส่เส้นเรื่องรองเข้ามาเสริม ซึ่งก็คือ (สปอยเล็กน้อย) ความสามารถพิเศษของเกว็น น้องสาวของฟินนีย์ ให้มีส่วนช่วยในการตามหาพี่ชายของเธอได้ ซึ่งนั่นทำให้เราไม่ต้องจำเจอยู่กับในคุกสี่เหลี่ยมใต้ดินตลอดทั้งเรื่อง ช่วยให้การเล่าเรื่องจึงมีการสลับไปมาระหว่างการเอาตัวรอดของฟินนีย์และการตามหาพี่ชายของเกว็น ที่ในท้ายที่สุดสองเส้นเรื่องนี้ก็มาบรรจบกันได้พอดิบพอดี (แถมจบไม่ค้างคาด้วยนะ)
จากทั้งองค์ประกอบที่กล่าวมานั้นก็พลันให้นึกถึงงานเขย่าขวัญชั้นครูของ สตีเฟ่น คิง (Stephen King) เรื่อง It อยู่ไม่น้อย ทั้งบรรยากาศ สภาพชุมชนเมือง การมีตัวละครเด็กเป็นตัวเอกของเรื่อง รวมถึงการใส่เรื่องราวลี้ลับเหนือธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่อง (ซึ่งก็คงไม่ผิด เพราะถึงขนาดว่ามีฉากที่ตัวละครเกว็น ใส่เสื้อกันฝนสีเหลืองเหมือนกับจอร์จี้ เด็กที่ถูกเพนนีไวส์จับตัวไปในฉากต้นเรื่องของ It) แล้วก็มีการใส่งานเก่าของผู้กำกับอย่าง siniter เข้ามาบ้างเล็กๆน้อยๆ รวมถงที่จังหวะจั้มสแคร์ที่แม้จะใส่มาเพียง 2-3 ครั้ง แต่รับรองว่าเข้าเป้าทุกดอกแน่นอน (ระวังให้ดี)
(เพิ่มเติม คนเขียนบท คือ โจ ฮิลล์ ซึ่งเป็นลูกชายของสตีเฟ่น คิง นั่นเอง)
แต่กระนั้น The Black Phone ก็ยังมีจุดที่ถูกมองข้าม ซึ่งน่าจะเป็นจุดใหญ่มากๆ เลย นั่นคือ ตัวของโทรศัพท์สีดำนี่แหละ ด้วยความที่เจ้าโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นเหมือนตัวชูโรงของเรื่องเลยก็ว่าได้ (ก็เป็นถึงชื่อเรื่องเลย) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แรกๆ เสียงกริ๊งงงงง ของโทรศัพท์ก็นับว่าหลอนและดูน่ากลัวดีอยู่หรอก แต่เมื่อเวลาผ่านไปความน่ากลัวของมันเริ่มลดลง ยิ่งสายต่อๆไป ยิ่งรู้สึกว่าตัวโทรศัพท์มันไม่มีอะไรให้น่าจดจำ กลายเป็นเหมือนของธรรมดาๆ ที่ถูกใช้แล้วก็โยนทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย
ส่วนประเด็นเรื่องครอบครัวก็ดูเหมือนจะขยายได้ไม่สุด ทั้งที่มีการเล่าเรื่องอาการติดเหล้าของพ่อเด็ก รวมถึงอาการกลัวเสียงดังที่ใส่มาตอนต้นเรื่อง(ที่ดูเหมือนจะมีอะไร) แต่ทั้งหมดก็ถูกลืมหายไปเมื่อฟินนี่ย์ถูกลักพาตัวไป และมิติฝั่งตัวร้ายดูจะขาดหายไป ทั้งในแง่แรงจูงใจกับภูมิหลังของเขา ทำให้เดอะ แกร็บเบอร์ กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ไม่มีอะไรให้จดจำสักเท่าไหร่ รวมถึงการที่ทำเหมือนกับว่าตัวเดอะ แกร็บเบอร์ มีบางสิ่งบางอย่างกับโทรศัพท์สีดำเครื่องนั้น แต่จนแล้วจนรอดประเด็นนี้ก็ไม่มีการพูดถึงต่อแต่อย่างใด
ฝั่งนักแสดงที่ได้ อีธาน ฮอว์ก กลับมาร่วมงานอีกครั้ง หลังจากที่เคยร่วมงานกับ สก็อต เดอร์ริกสัน มาแล้วใน Sinister ก็นับว่าน่าเสียดายที่การปรากฏตัวส่วนใหญ่ เขาจะอยู่ภายใต้หน้ากากปีศาจ แต่ถึงอย่างนั้น อีธาน ฮอว์กก็ยังแสดงความโรคจิต ความคลั่งเด็ก ของตัวละครออกมาทางแววตาภายใต้หน้ากากได้อย่างน่าขนลุกขนพอง และความแปรปรวนของอารมณ์ที่ไม่รู้ว่าจะมาดีหรือมาร้าย ซึ่งก็เป็นทั้งหมดแล้วสำหรับตัวละครฆาตกรโรคจิตผู้นี้
ด้าน ฟินนี่ย์ ที่รับบทโดย เมสัน เธมส์ นี่เป็นการแสดงเรื่องแรกของเขา ซึ่งก็ถือว่าสอบผ่าน ในคาแรคเตอร์เด็กเนิร์ดไม่สู้คน แต่ก็มีแววตาที่เป็นนักสู้อยู่ในตัว ซึ่งเอาเข้าจริง ก็ยังรู้สึกว่าตัวละครฟินนี่ย์ในเรื่องดูโตและนิ่งเกินวัยไปสักหน่อย ทั้งๆ ที่ถูกลักพาตัวไปขังในห้องใต้ดินมืดๆ แต่ไม่มีท่าทีความขวัญเสียเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นความจงใจของผู้กำกับหรือไม่ เพราะมันทำให้ตัวละครนี้ดูแข็งๆ ไปสักหน่อยนึง ส่วนคนที่แย่งซีนในเรื่องที่สุดเห็นจะเป็น เมเดอลีน แม็กกรอว์ ที่รับบทเป็น เกว็น น้องสาวของฟินนี่ย์ ซึ่งมุกที่เธอยิงแต่ละครั้งก็เรียกเสียงฮาได้ไม่น้อย รวมถึงท่าทีของตัวละครที่ ดูจะมีความกล้าหาญไม่แพ้พี่ชายของเธอ ทั้งช่วยพี่ชายจากการถูกกระทืบ หรือต้องเป็นที่ระบายอารมณ์ของพ่อติดเหล้า ซึ่งดูจะสาหัสเกินกว่าที่เด็กวัยนี้ควรได้รับ แต่ความเป็นเลือดนักสู้ก็ถูกฉายออกมาจากตัวละครนี้เช่นกัน
สรุป The Black Phone เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ เขย่าขวัญ ที่มีการวางองค์ประกอบต่างๆ ได้ดี มีกลิ่นอายของหนังไล่เชือดยุค 70 รวมถึงงานของนักเขียนขึ้นหิ้งอย่างสตีเฟ่น คิง การเล่าเรื่องที่มีการลำดับเรื่องอย่างมีระบบ ไม่ชวนให้สับสน สนุก ลุ้นระทึกในจุดที่ควรจะลุ้น และพาคนดูไปได้จนจบเรื่อง จะน่าเสียดายก็ตรงที่ใช้ความเป็นโทรศัพท์สีดำได้ไม่คุ้มค่าไปสักหน่อย รวมถึงตัวฆาตกร เดอะ แกร็บเบอร์ ที่ดูจะจืดจางตามโทรศัพท์ไปด้วยเช่นกัน
ฝากเพจด้วยนะครับ Story Decoder