จะแปลกไหมถ้าเราคิดว่าครอบครัวไม่ใช้เซฟโซนที่ดีสุดสำหรับเรา ขอพื้นที่ระบายหน่อยนะคะเรื่องยาวหน่อย


อันดับแรกขอเล่าเรื่องราวตัวเองในวัยเด็ก-ถึงปัจจุบัน พ่อแม่เราแยกทางกันตั้งแต่เราอยู่อนุบาล (ปัจจุบันเรา อายุ 26) พ่อได้พาอยู่ กทม. ซึ่งเรากับพี่ชายได้อยู่กับพ่อ ในตอนนั้นพ่อแม่ต่างก็ยังไม่มีครอบครัวใหม่ยังไปๆมาๆแวะเวียนมาหาลูก จ-ศ จะอยู่กับพ่อ ส-อา จะอยู่กับแม่ วันหยุดหรือวันพิเศษพ่อแม่จะเอาใจใส่พาไปเที่ยวหรือบางในบางครั้ง ซึ่งคือการเอาใส่จริงๆสิ่งที่เราได้รับมันมีความสุขมากแม้จะไม่ใช้สิ่งใหญ่โตอะไรในตอนนั้น แต่พอเราขึ้น ป.2 พ่อแม่ต่างก็เริ่มมีแฟนใหม่ไม่ค่อยสนใจเรากับพี่เหมือนอย่างที่เคย อยู่อยู่ตามยถากรรมอยู่ตามมีตามเกิด ได้เงิน ร.ร. 20 บาท ข้าวเช้าหากินเองซื้อโจ๊กที่โรงเรียนตอนเช้า 5 บาท น้ำอีก 5 บาท ตอนเที่ยง ขนม 5 บาท ถ้าเกินก็หมดบางครั้งก็ต้องไปซื้ออุปกรณ์เรียนหนังสือเพิ่มในงบ 20 ที่ให้แต่ละวัน เลิกเรียนก็ไม่เคยไปรับวันไหนตังค์ก็นั่งวินกลับแต่ถ้าหมดก็ได้เดินกลับทุกวัน ในระหว่างทางเราได้สวนทางกับพ่อทุกครั้งแต่ไม่เคยรับเราขึ้นรถกลับไปด้วยเลยแกจะนั่งรถไปกับแฟนใหม่แก ทุกครั้งที่กล่าวมาเราเริ่มเดินกลับจากโรงเรียนไปบ้านตั้งแต่ ป.3 ซึ่งระยะทางห่างกันประมาณ 2-3 กิโล เราก็เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแกถึงไม่รับเราในความรู้สึกเราตอนนั้นคือเราเหนื่อยมากกระเป๋าก็หนักเดินก็ไกลเดินไปแต่ละก้าวเราได้แต่มองไปข้างหน้าว่าเมื่อไหร่จะถึงเมื่อไหร่จะถึง 😔 จากนั้นจากนั้นมาเราก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาโดยตลอด ปิดเทรมก็หารับจ้าง เสริฟอาหารตามร้านอาหารตามสั่งกลางคืน เด็กอายุ 7-9 ขวบเพื่อให้ได้เงินวันละ 150 จน ป.6 เรากลายเป็น เด็กติดเกมส์ โดดเรียนเพื่อไปเล่นเกมส์ ในตอนนั้นเรารู้ว่ามันผิดแต่ก็ยังทำ จนขโมยเงินพ่อทีละ 10-100 เพื่อไปเล่นเกมส์ คืออยากเล่นแต่เกมส์เพื่อให้สมองมันผ่อนคายโดยที่ไม่ต้องไปคิดอะไรมากมาย ทำไหมเราถึงขโมยพ่อกับแม่ไม่เคยให้ค่าขนมเราเลย ไม่เคยได้กินขนมที่เขาแร่ขายตามทางเคยขอแล้วแต่ก็โดนด่าเลยเลือกที่ไม่ขออีกเลย ต่างจากลูกติดของแฟนใหม่แกจะซัพพอร์ตทุกอย่าง พอย่างจะขึ้น ม.1 เราเริ่มโหยหาความรักที่ไม่ใช่กับครอบครัวแต่เป็นบุคคลภายนอกเป็นจุดเริ่มต้นที่ใครๆ เค้าก็เรียกว่า  เด็กใจแตก  เราเริ่มมีคนมาชอบเริ่มคุยแชทกับเพศตรงข้ามมากขึ้นจนได้ไปเจอกับคนหนึ่งซึ่งเป็นจุดพลิกชีวิตเราไปโดยสิ้นเชิง เราไม่รู้ว่าการเข้าของเขามีจุดประสงค์อะไรแต่คือเราได้รับการใส่ใจเอาใจพูดหยอดหวานจนเราหลงไปกับคำพูดกับการกระทำที่เขาทำโดยที่เราไม่เคยได้รับมาเลยสักครั้งในชีวิตหลงเขาหัวปักหัวปำจนเป็นเรื่องราวเป็นราวที่ผู้ใหญ่ต้องเขามาเคลียร์แม้กระทั่งตำรวจ แต่เรากะยังดื้อที่จะรักโดยไม่ฟังคำสอนของใคร จนเรามาจับได้ว่า ผช.ไปแอบคบกันกับเพื่อนที่เรารักและสนิทมากๆ ในความรู้สึกเราในตอนนั้นคือมันพังรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ในความคิดของเด็กความรักในตอนนั้นเราคงคิดว่ามันคงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นความรักสวยงามเกินไป จนทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่ดีอีกครั้งเราขึ้นมอ เราขึ้ ม.1 เราเริ่มเกเรเริ่มคบเพื่อนที่ไม่ดีเริ่มโดดเรียนไปเที่ยวไปเล่นเกมโกหกพ่อว่าไปโรงเรียนแต่ไม่ไปโรงเรียน เพื่อนชักนำพาไปทำอะไรไปหมดยกเว้นสิ่งเสพติดที่เราไม่แตะต้องเลย เริ่มคบแฟนทีละ 2-3 ไปกับคนนั้นทีคนนี้ทีโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมากมายเลยแล้วก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นเป็นอะไรมันเหมือนเป็นเรื่องปกติทั้วไปแล้ว พอพ่อเริ่มเห็นเราถ้าไม่ดีแกก็เริ่มที่จะพาเราไปอยู่บ้านเกิดในตอนนั้นความคิดเราคือไม่อยากไปมากๆจนหนีออกจากบ้านไปอยู่กับผู้ชายอยู่ อยู่กินฉันสามีภรรยาในอายุ 13 ปี ใช่ค่ะ 13 ปี ในตอนนั้นเราคิดว่าบุคคลภายนอกให้ความรักเอาใจใส่เราได้ดีกว่าคนในครอบครัว สุดท้ายพ่อก็ตามหาเราเจอจึงได้กลับมาอยู่ต่างจังหวัดกับพ่อ ในช่วงที่อยู่บ้านเกิดพ่อเราได้มีครอบครัวใหม่แล้วซึ่งพ่อก็ยัง Support ให้กับลูกครอบครัวใหม่โดยที่ไม่ได้สนใจลูกตัวเองเหมือนเดิมอยู่ตามมีตามเกิดดังตามที่เคยเป็นมา พี่เราเลือกที่จะไม่มาบ้านเกิดเลือกที่จะทำงานที่ กทม. (ในช่วงที่พี่เรียนอยู่ก็ได้ทำงานไปด้วยหาเงินส่งตัวเองเรียนไปด้วยตั้งแต่ ม.4-ม.6 พอกลับมาอยู่ต่างจังหวัดได้ 1 ปี พ่อก็ได้เลิกรากับแม่เลี้ยง ไม่นานแกก็ได้ภรรยาคนใหม่ได้แต่งงานและเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา ในตอนนั้นเราก็ได้คบกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นสามีปัจจุบันเราได้คบกันไปมาหาสู่โดยให้ผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่ายแต่พ่อเราก็ไม่พอใจเหมือนเดิมปิดกั้นทุกอย่างจนในที่สุดก็ได้แต่งงานกัน (ในตอนนั้นเราก็ยังคิดว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามอยู่ดี) โดยสินสอดทั้งหมดตกเป็นของพ่อกับแม่เลี้ยงเราฝ่ายเดียวโดยที่ไม่ได้แบ่งให้แม่แท้ๆเราเลย เราแต่งงานในอายุ 14 ปีย่าง 15 ปี แฟนเป็นพี่แค่ 1 ปี โดยแต่งเข้าไปอยู่บ้านฝ่ายชาย แม่แฟนและแฟนเราดูแลเราดีมากแฟนเรารับจ้างทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาจุนเจือในครอบครัวตัวเองรับจ้างทุกที่ จนเราได้ตั้งท้องลูกคนแรกได้คลอดตอนอายุ 16 ปี พอน้องแข็งแรงแล้วเราก็ไปทำงานกับสามีที่ กทม. ช่วยกันหาเงินโดยให้ย่าหรือแม่แฟนเป็นคนดูแลลูกคนแรกของเรา เราก็ดำเนินชีวิตสามีภรรยากันมาอย่างไม่มีปัญหามีทะเลาะกันบ้างตามประสาลิ้นกับฟัน ในช่วงที่เรากับแฟนทำงานอยู่ที่ กทม. เราก็ได้รับข่าวคราวจากทางบ้านว่าพ่อแฟนเมาอาละวาดบ่อยๆ ชอบทำร้ายข้าวของและไล่ทุบตี ลูกเมีย ซึ่งแม่แฟนต้องได้หอบหลานซึ่งเป็นลูกคนแรกของเราวิ่งหนีไปซ่อนในโพลงป่าตามบ้านคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง พออายุ 19 ปี เราก็ให้คลอดลูกคนที่สอง เราคลอดน้องเราจึงตัดสินใจกลับไปอยู่บ้านเกิดเพื่อไปดูแลน้องเองโดยที่เราไม่มีความไว้ใจที่จะให้แม่แฟนดูลูกให้เราเพราะเรากลัวเกิดเหตุการณ์แบบครั้งก่อน ลูกคนแรกก็ได้ติดแม่แฟนเราโดยที่ไม่ติดเราเลยแต่อย่างน้อยเราก็ยังได้ดูแลลูกได้ในเหตุการณ์ที่พ่อแฟนชอบเมาอาละวาดบ่อยๆ อย่างน้อยก็ยังอยู่ในสายตาเราตลอด จากนั้นชีวิตครอบครัวก็เริ่มหดหู่ลงเรื่อยๆ เนื่องจากพ่อแฟนติดสุราและอาละวาดอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็มีกระทบกระทั่งกันทั้งแม่ทั้งลูกทั้งพ่อทะเลาะกันเป็นเรื่องราวอยู่ไม่จบไม่สิ้นจากที่ทะเลาะกันแค่ภายในครอบครัวพ่อแฟนก็ลามมาทะเลาะกับเราไปด้วย จากที่เมื่อก่อนเราไม่สนใจจะทะเลาะอะไรก็ภายในครอบครัวของเขาแต่นับวันยิ่งแย่ลงแย่ลงลามาหาเราจนทำให้เราอยู่ยาก เราจึงออกมาอยู่เฉพาะแต่ครอบครัวของเรา เราอยู่กินสามีภรรยามาเป็นระยะ 11 ปี เข้าปีที่ 12-ปัจจุบัน  สามีเราจากคนที่ทำมาหากินนำเงินเข้ามาภายในครอบครัวครบทุกบาททุกสตางค์เริ่มที่จะไม่สนใจไม่ดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายใดใดช่วยเราแม้แต่บาทเดียว เราจึงเลือกที่จะขอสามีหย่าร้าง ในระหว่างนี้เราก็ดันตั้งท้องคนที่สาม เราไม่รู้รู้จะเราไม่รู้จะทำยังไงเพราะถ้าเราจะกลับไปบ้านพ่อตัวเองแม่เลี้ยงก็ไม่ได้ยินดีที่จะต้อนรับเราเลยเค้าขนลูกขนเต้าเข้ามาอยู่ในบ้านเราเต็มไปหมดแค่เราจะไปเล่นกับพ่อเราเรายังลำบากในพื้นที่ที่เราเคยอยู่ในบ้านของเราแต่มันไม่ใช้บ้านของเราอีกต่อไป เราจึงต้องได้กลับมาอยู่กับสามีเหมือนเดิมโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ยอมไปไหน เราจับได้ว่าสามีเสพสารเสพติดและติดพนันออนไลน์หายืมเงินคนอื่นเป็นหนี้ไปทั่วแล้ว แค่นั้นยังไม่พอเรายังมาโดนโกงเงินอีกไป 500,000 ค่าใช้จ่ายภาระนับวันเริ่มยิ่งบานขึ้นเรื่อยๆ เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างนี้เราก็ยังทำงานอยู่เหมือนเดิมสามีก็ยังทำงานอยู่เหมือนเดิมเราทำงานได้มาเท่าไหร่เราต้องมาตามใช้หนี้สินรวมแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายในบ้านค่าไปโรงเรียนลูกต่างๆ ทุกอย่างหาบท้องไปทำงานเพื่อแลกกับเงินมาใช้หนี้ส่วนสามีไปทำงานเงินเดือนเยอะกว่าเราแต่ไม่รู้เอาเงินไปทำอะไรนักหนา เราไม่รู้จะหันหน้าหาใครเราคิดว่าการมีครอบครัวเป็นของตัวเองจะดีกว่าการอยู่กับพ่อกับแม่แต่ป่าวเลยเหมือนเกิดมาใช้กรรมยังไงรู้ เหมือนหนีเสือปะจรเข้ คือมันเข็ดไปเลยกับความรักแบบฉันสามีภรรยาอยู่ด้วยกันทุกวันนี้ก็มีแต่บันทอนจิตใจกันทุกวัน อยู่เพื่อลูกโดยมันหมดความรักไปแล้ว จะผิดไหมถ้าเราคลอดลูกคนที่ 3 แล้วให้แม่แฟนเลี้ยงแล้วเราจะไปหางานทำโดยทิ้งทุกอย่างไว้ด้านหลัง ตั้งหลักได้ค่อยมารับลูกไปดูแลคนที่เลี้ยงลูกให้เราได้ก็มีแต่แม่แฟนเท่านั้นเพราะทางพ่อแม่เราเขาไม่เลี้ยงให้เลย แม่เราก็มีครอบครัวใหม่แกก็สนใจแต่ลูกที่เกิดใหม่เท่านั้น  ตอนนี้เรานิ่งคิดไปไกลเลยในระหว่างที่เราคิดงานคลอดลูกค่าใช่จ่ายต่างๆใครจะหา เพราะแฟนไม่เคยจะช่วยเลยไหนจะค่าคลอดค่าของใช้ลูกที่ยังไม่ได้เตรียม ถ้าไม่โดนโกงคงไม่ต้องนั่งรับกรรมใช้หนี้แทนชีวิตก็คงดีกว่านี้ จะจบชีวิตก็สงสารลูกๆที่ไม่รู้เรื่องอีก คิดสะว่าเป็นเรื่องราวตัวอย่างสอนลูกสอนหลานในวันข้างหน้านะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่