JJNY : หมอธีระเผยทำไม BA.4 BA.5 จึงน่ากังวล!!│“เป๊ปซี่”เดินหน้าขึ้นราคา1ก.ค.│น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง│“เสรีพิศุทธ์” เย้ยวิปรัฐ

หมอธีระ เผยข้อมูล WHO ทำไมโควิด "โอมิครอน" BA.4 BA.5 จึงน่ากังวล!!
https://www.nationtv.tv/news/378877711
 
น่ากังวล "โอมิครอน" BA.4 BA.5 หมอธีระ เปิดข้อมูลจาก WHO ถึงสาเหตุการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ที่เพิ่มสูงขึ้น พบการศึกษาในสัตว์ทดลองและเซลล์ในหลอดทดลอง โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยจับกับเซลล์ปอดมากขึ้น ผวาไทยมีสัดส่วนตรวจพบ BA.4 BA.5 สูงถึง 45.71%

24 มิถุนายน 2565 โควิด “โอมิครอน” สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 น่ากังวล ล่าสุด “หมอธีระ” รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Thira Woratanarat” เปิดข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ถึงสาเหตุของการแพร่ระบาดของ “โอมิครอน” สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ที่เพิ่มมากขึ้น มีเนื้อหาดังนี้

 อัพเดตการระบาดของ โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 BA.5 จาก WHO 

WHO ออกรายงาน WHO Weekly Epidemiological Update เมื่อ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ปัจจุบันสายพันธุ์หลักของการระบาดทั่วโลกยังคงเป็น BA.2 และลูกหลาน (BA.2.x) รวมแล้ว 48% 
 
แต่จากระบบเฝ้าระวังทั่วโลก พบว่า ปัจจุบัน โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย มีการระบาดดังนี้ 
○ BA.2.12.1 ระบาดไปแล้ว 69 ประเทศ
○ BA.4 58 ประเทศ
○ BA.5 62 ประเทศ
 
WHO ถือเป็น 3 สายพันธุ์ที่เป็นที่ น่ากังวล เพราะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้สัดส่วนของการระบาดทั่วโลกจากแต่ละสายพันธุ์นั้นพบว่า BA.2.12.1 ครองการระบาดอยู่ 17%, BA.4 9%, และ BA.5 25%
 
ที่กังวลกันมากเพราะ “โอมิครอน” สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 นั้น มีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่ง และแตกต่างจาก BA.2 อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง S:L452 ซึ่งทำให้มีสมรรถนะในการแพร่เชื้อมากขึ้นกว่าสายพันธุ์ “โอมิครอน” เดิม ในขณะที่เรื่องความรุนแรงของโรคนั้น ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสรุปได้
 
อย่างไรก็ตามเคยมีงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ศึกษาในสัตว์ทดลองและเซลล์ในหลอดทดลอง พบว่า สายพันธุ์เหล่านี้จะจับกับเซลล์ปอดได้มากขึ้น และทำให้เกิดพยาธิสภาพมากกว่าสายพันธุ์เดิม จึงทำให้ต้องติดตามกันต่อไปว่าหากแพร่ระบาดในคนจำนวนมากแล้วจะทำให้ป่วยมากขึ้น ตายมากขึ้นหรือไม่
 
อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดสำคัญ ทั้งจำนวนติดเชื้อใหม่ จำนวนผู้ป่วย และอัตราการป่วยจนต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลในหลายต่อหลายประเทศทั่วโลกนั้นสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนว่า BA.4 และ BA.5 น่าจะดุกว่าเดิมแน่
  
 สำหรับสถานการณ์ไทยเรา 
 
ภาวะที่ส่วนตัวแล้วหนักใจที่สุดคือ การที่ประชาชนได้รับข้อมูลอัพเดตที่ไม่เพียงพอ และไม่ทันต่อสถานการณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อความตระหนัก การรับรู้สถานการณ์ และการตัดสินใจประพฤติปฏิบัติตัว
 
ดังจะเห็นได้จากเรื่องล่าสุดคือ BA.4 และ BA.5 ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเพิ่งได้ทราบจากข่าวเมื่อคืนนี้ว่า ไทยเรามีสัดส่วนตรวจพบ BA.4 และ BA.5 สูงถึง 45.71% แล้ว 
  
 มองเรื่องระบบเฝ้าระวังทั่วโลก 
 
ในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศพัฒนาแล้ว จะมีระบบเฝ้าระวังที่แจ้งให้ประชาชนได้ทราบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และทันสถานการณ์ ทำให้มีความรู้เท่าทัน ระแวดระวัง และตัดสินใจประพฤติปฏิบัติได้เหมาะสมกว่าการที่มารู้ตอนที่เป็นกันหนักแล้ว
 
ระบบเฝ้าระวังโรคติดต่อสำคัญที่ทุกประเทศมีนั้น ล้วนมีหลักการและกลไกการทำงานคล้ายกัน เก็บข้อมูลสำคัญ วิเคราะห์แนวโน้ม และเตือนให้ทราบ มิใช่การตามเก็บข้อมูล แต่เก็บไว้รู้กันเฉพาะภายใน ความแตกต่างของประสิทธิภาพของระบบเฝ้าระวังของแต่ละประเทศจะอยู่ที่การนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนควบคุมป้องกันโรคอย่างทันท่วงที
  
ที่สำคัญคือ หากให้ความสำคัญกับชีวิตประชาชน ก็จำเป็นต้องรวม"ประชาชนทุกคน"ไว้เสมือนกลไกสำคัญในระบบสุขภาพ เมื่อมีข้อมูลรายละเอียดก็ต้องแจ้งให้ทราบแบบ real time สม่ำเสมอ เพื่อให้กลไกประชาชนได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบการป้องกันควบคุมโรค ไม่ใช่ให้รอนโยบาย มาตรการ แนวทางปฏิบัติแบบ Top down เมื่อเข้าสู่วิกฤติไปแล้ว ซึ่งมักจะไม่ทันท่วงที และเสี่ยงต่อความสูญเสีย ทั้งเรื่องติดเชื้อ ป่วย ตาย หรือปัญหาผลกระทบระยะยาว ดังที่เห็นจากประสบการณ์ในอดีตมากมายหลายเรื่อง
 
นี่คือหลักการที่จะทำให้สังคมนั้นพัฒนาไปสู่ Health literate society ที่จะสามารถรับมือกับภัยคุกคามในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
คำว่า "ไม่ปกปิด" นั้นมีความหมายลึกซึ้ง เพราะไม่ใช่หมายความแค่เปิดให้เห็น แต่ควรหมายถึงเปิดให้เห็นครบถ้วนสมบูรณ์ โดยข้อมูลนั้นมีรายละเอียดลึกซึ้งเพียงพอ ทำให้เข้าใจได้ชัดเจน และที่สำคัญที่สุดคือ ทันสถานการณ์ ไม่ควรเป็นแบบเปิดเมื่ออยากเปิด และเปิดเท่าที่อยากเปิด เพราะจะกลายเป็น"ปกปิดในช่วงเวลาที่ต้องการ" และ"ปกปิดในส่วนที่ไม่อยากให้รู้"นั่นเอง
  
หากเข้าใจเช่นนี้ ทุกประเทศจึงควรประเมินสิ่งที่ดำเนินมาว่าเป็นไปในทางที่ควรเป็นจริงหรือไม่? มีจุดใดที่สำคัญและควรนำไปปรับปรุงแก้ไขโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดวิกฤติสูญเสียซ้ำซากจนนำไปสู่ภาวะประชาชนชาชินกับ"ความไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อมือ และไม่เชื่อใจ"หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต้องเอาตัวรอดด้วยการพึ่งพาตนเองในทุกเรื่อง
 
...ควบคุม มิใช่ติดตาม
สุขภาพ มิอาจต้านทาน
มัวเมา โง่เขลา มิอาจรู้
ประเทศชาติ มิอาจละเลย...
 
" สำคัญที่สุดที่ต้องเน้นย้ำคือ การใส่หน้ากากเสมอ ใช้ให้คุ้นชิน เป็นอวัยวะที่ 33 ของร่างกายเรา เวลาออกตะลอนนอกบ้าน เป็นเรื่องที่จำเป็น ท่ามกลางสถานการณ์ระบาดที่ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ Health consciousness เป็นหัวใจในการปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของแต่ละคน " หมอธีระ ย้ำในตอนท้าย
 
https://www.facebook.com/thiraw/posts/pfbid03mWQe9e8YNx1ko7trPWftRSD7DX344KWxSjmLfpQku2U4Mf83z8ueJ6GVJQjh9qHl
 


“เป๊ปซี่” เดินหน้าขึ้นราคา “ขายปลีก-ขายส่ง” ตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้
https://www.prachachat.net/marketing/news-963555

เป๊ปซี่ยักษ์น้ำดำ ไปต่อเดินหน้าปรับขึ้นราคา “ขายส่ง-ขายปลีก” 1-2 บาท ต่อขวด/กระป๋อง ราคาขายส่งปรับขึ้นประมาณ 16-24 บาทต่อลัง มีผลตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้ หลังกรมการค้าภายในเรียกคุย
 
วันที่ 25 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเมื่อปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ทางบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป๊ปซี่ มิรินด้า และอื่นๆ เตรียมปรับราคาขายส่งและขายปลีก น้ำอัดลม “เป๊ปซี่” ราคา 1-2 บาท ต่อกระป๋อง/ขวด
 
ส่งผลให้ทางกรมการค้าภายใน ออกมาระบุว่า จะเชิญบริษัทซันโทรี่ฯ เข้าหารือเพื่อสอบถามผลกระทบต้นทุนที่แท้จริง เพราะการปรับขึ้นราคาต้องสมเหตุสมผลกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
 
โดยทางผู้ผลิตชี้แจงว่าการปรับราคาเป็นเพราะต้นทุนวัตถุดิบการผลิตบรรจุภัณฑ์ทั้งกระป๋องและขวด รวมถึงค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม เครื่องดื่ม “น้ำอัดลม” ไม่ได้อยู่ในกลุ่มสินค้าควบคุมของกรมการค้าภายใน
 
ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ ประเทศไทย จำกัด ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 บริษัทจะปรับขึ้นราคาน้ำอัดลมเป๊ปซี่ ทั้งราคาขายปลีกและขายส่ง ทุกขนาดทั้งแบบขวดและกระป๋อง
 
โดยราคาขายปลีก จะปรับขึ้น1-2บาทต่อขวด/กระป๋อง ขณะที่ราคาขายส่ง จะปรับขึ้นตั้งแต่ 16-24 บาทต่อลัง
 
สำหรับสินค้าไซซ์เล็กที่เดิมราคาไม่ถึง 20 บาทจะปรับขึ้น 1 บาทต่อขวด/กระป๋อง อาทิขนาด 245 มิลลิลิตร เดิมราคา 12 บาทต่อกระป๋อง เพิ่มเป็น 13 บาท ราคาขายส่งร้านค้าโชห่วยอยู่ที่ 254 บาทต่อลัง(24กระป๋อง) เป๊ปซี่ขนาด 325 มิลลิลิตร ราคาขายปลีกเดิม 15 บาทต่อกระป๋อง ปรับเพิ่มเป็น 16 บาท ราคาขายส่งอยู่ที่ 332 บาทต่อลัง(24กระป๋อง) เป็นต้น
 
สำหรับไซซ์ใหญ่เช่น เป๊ปซี่ขนาด 1,000 มิลลิลิตร ราคาขายปลีกเดิม 25 บาทต่อขวด ปรับเพิ่มเป็น 27 บาท ราคาขายส่งเดิม 239 บาทต่อลัง (12ขวด) ปรับเพิ่มเป็น 263 บาท
 
หรือขนาด 1,260 มิลลิลิตร ราคาขายปลีกเดิม 27 บาทต่อขวด ปรับเพิ่มเป็น 29 บาท ขณะที่ราคาขายส่ง ปรับจาก 286บาทต่อลัง (12ขวด) เป็น 310 บาท เป็นต้น
  
รายงานข่าวระบุว่า ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นของน้ำอัดลมคือ “บรรจุภัณฑ์” ไม่ว่าจะเป็นกระป๋องอะลูมิเนียม ขวดพลาสติก ทำให้บริษัทพิจารณาที่จะปรับขึ้นราคาสินค้า โดยได้มีการแจ้งปรับราคาให้กับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนแล้ว โดยบริษัทได้ทำแคมเปญให้ส่วนลดยี่ปั้วตัวแทนจำหน่าย ในราคาเดิมตลอดเดือนนี้ เพื่อให้ราคาขายปลีกคงราคาเดิมต่อไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้
 


น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง 3.35 ดอลล์ วิตกอุปทานตึงตัวหนุนราคา
https://news.ch7.com/detail/578549
 
วันนี้ (25 มิ.ย.65) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (24 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากความวิตกครั้งใหม่เกี่ยวกับปริมาณน้ำมันที่ตึงตัว
 
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 3.35 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 107.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
 
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 3.07 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 113.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
 
คาร์สเทน ฟริตช์ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจากคอมเมิร์ซแบงก์รีเสิร์ชระบุว่า ราคาน้ำมันทะยานขึ้น โดยได้แรงหนุนบางส่วนจากข่าวการหยุดผลิตน้ำมันครั้งใหม่ในลิเบีย โดยบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกของประเทศต้องระงับการผลิตน้ำมันชั่วคราว เนื่องจากมีการประท้วงทางการเมืองเพิ่มขึ้น
 
บรรดานักลงทุนจะจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะมีการพิจารณาถึงภาวะตลาด และทำการตัดสินใจเกี่ยวกับระดับการผลิต
 
ตลาดน้ำมันพุ่งขึ้นหลังจากในช่วงสองวันที่ผ่านมา ราคาปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และผลกระทบที่จะเกิดกับความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่