JJNY : ติดเชื้อ 4,837 เสียชีวิต 29│แม่ค้าโอด"ราคาหมู"พุ่งจนกู่ไม่กลับ คนเมิน│เทพไทแนะปชช.│ต.ต.ชี้รัสเซียเรียกค่าไถ่โลก

โควิดไทยวันนี้ ติดเชื้อใหม่ 4,837 ราย เสียชีวิต 29 ราย ป่วยสะสม 2,211,076 ราย
https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_3368486

โควิดไทยวันนี้ ติดเชื้อใหม่ 4,837 ราย เสียชีวิต 29 ราย ป่วยสะสม 2,211,076 ราย
 
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำวัน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวม 4,837 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 4,833 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 4 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,211,076 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 5,198 ราย หายป่วยสะสม 2,189,902 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 46,205 ราย เสียชีวิต 29 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 979 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 13 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 13.8

ขณะที่ ผู้ติดเชื้อเข้าข่ายจากผลแอนติเจน เทสต์ คิท (เอทีเค) อีก 6,380 ราย อาการหนักใช้ท่อช่วยหายใจ 493 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ 979 ราย โดยจังหวัดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น บุรีรัมย์  ชลบุรี นนทบุรี สมุทรสาคร มหาสารคาม สมุทรปราการ นครศรีธรรมราช ชัยภูมิ และยโสธร



แม่ค้าโอด "ราคาหมู" พุ่งจนกู่ไม่กลับ คนเมินซื้อทำตลาดเงียบเหงา
https://www.komchadluek.net/news/516408

"ราคาหมู" กู่ไม่กลับ พุ่งแรงเร็วกว่าบั้งไฟ ขึ้นเป็นโลละ 118 บาท แต่ตลาดยังขอให้ขายในราคาควบคุม ผู้ค้าเขียงหมูโอดถ้าขายไม่มีกำไรก็ต้องรวมตัวกันขึ้น เพราะแนวโน้มราคาหมูเป็นยังขึ้นต่อเนื่อง

จากการลงพื้นที่ตรวจสอบราคาหมูที่ตลาดศูนย์การค้า จ.กำแพงเพชร หลังจากที่ช่วงนี้ประชาชนบอกว่าราคาแพง เนื้อหมูตามตลาดต่าง ๆ และตามแผงขายหมูพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้แผงขายหมูบรรยากาศเงียบเหงาคนมาหาซื้อไม่คึกคัก
 
สอบถามพ่อค้าแม่ค้าเขียงหมูต่างเปิดเผยว่า วันนี้ราคาหมูเป็นขึ้นมาเป็นกิโลละ 118 บาทแล้ว ซึ่งถือว่าแพงมากเป็นประวัติการณ์ แต่ราคาหมูชำแหละยังปรับขึ้นราคาไม่ได้ เนื่องจาก ทางตลาดยังขอให้ยืนหยัดช่วยเหลือผู้บริโภคไปก่อน ส่วนสาเหตุที่หมูเป็นแพงเนื่องจากช่วงนี้หมูออกสู่ตลาดมีน้อยและหมูตัวเล็กด้วย
 
สำหรับราคาหมู อย่างเช่น สันคอหมู จากเดิมเคยขาย 160 บาท ขึ้นเป็น 200 บาท ซี่โครงจาก 120 บาท เป็นโลละ 190 บาท หมูสามชั้นจากที่เคยขาย 150 บาท ก็ขึ้นมาเป็น 200 บาท ตับหมูจาก 100 เป็น 180 บาท หมูเนื้อแดงขึ้นเป็น 190 บาท และขาหมู จากโลละ 80 บาท ตอนนี้ 130 บาทแล้ว แต่ตามช้อปและตามห้างราคาหมูทุกชนิดขึ้นไปเกิน 200 บาททุกชนิด ส่งผลให้ผู้บริโภคพากันเดือดร้อน
  
ศุทธิกาญจน์ ธนบวรเวศม ผู้สื่อข่าว จ.กำแพงเพชร
 


เทพไท แนะ ปชช.จำเป็นบทเรียน พรรคการเมืองใดทำไม่ได้อย่างหาเสียง ครั้งหน้าอย่าเลือก
https://www.matichon.co.th/politics/news_3368609
 
เทพไท แนะ ปชช.จำเป็นบทเรียน พรรคการเมืองใดทำไม่ได้อย่างที่หาเสียง ครั้งหน้าอย่าเลือก
 
เมื่อวันที่ 27 พ.ค. เทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความบนเพจเฟซบุ๊กระบุว่า 

จากกรณีที่มีข่าวเรื่อง พรรคพลังประชารัฐ ได้ลบโพสต์นโยบายหาเสียงเมื่อปี 2562 ออกจากเพจแล้ว โดยเป็นโพสต์ที่ระบุว่า เซอร์ไพรส์นโยบายพลังประชารัฐ ดันค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท, ป.ตรี เงินเดือน 2 หมื่น, อาชีวะเงินเดือน 1.8 หมื่น, เด็กจบใหม่เสนอยกเว้นภาษี 5 ปี, เสนอยกเว้นภาษีเพื่อพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ 2 ปี, และลดภาษี 10 % บุคคลธรรมดา จนมีแกนนำของพรรคพลังประชารัฐ ต้องออกมาแถลงข่าวแก้ตัวแบบนำ้ขุ่นๆ หรือจะเรียกว่าแถ แก้ผ้าเอาหน้ารอด เอาสีข้างเข้าถู หรือแบบศรีธนญชัย ก็แล้วแต่จะพิจารณากัน แม้ว่าได้ลบออกจากเพจพรรคไปแล้ว แต่ไม่สามารถลบออกจากใจและความทรงจำของประชาชนได้
 
แต่อยากจะตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงมีการรณรงค์หาเสียงเมื่อปี 2562 มีพรรคการเมืองบางพรรคเสนอนโยบายเกินจริง เพื่อหวังจะให้ประชาชนลงคะแนนเสียงให้ เมื่อมาเป็นรัฐบาลแล้วก็ทำไม่ได้ เป็นการหลอกลวงประชาชนหรือไม่ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าหากกฎหมาย หรือ กกต.ไม่สามารถเอาผิดพรรคการเมืองเหล่านั้นได้ ก็จะทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไป จะมีพรรคการเมืองใช้เป็นลัทธิเอาอย่าง มีการเสนอนโยบายที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ แต่หวังคะแนนเสียงเพื่อให้ประชาชนเลือกเท่านั้น ก็จะเป็นปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน
 
เทพไท ระบุว่า การที่มีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ออกมาอ้างว่าเพราะไม่ได้บริหารกระทรวงนั้นๆ จึงไม่สามารถผลักดันนโยบายให้สำเร็จได้ เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะพรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สามารถเขียนนโยบายให้เป็นนโยบายของรัฐบาล เพื่อนำไปปฏิบัติได้ เหมือนกับกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ ผลักดันให้นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ที่ใช้ในการหาเสียงไปเป็นนโยบายของรัฐบาล และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง จนทำให้สินค้าเกษตรราคาเกินกว่าราคาประกันรายได้ของรัฐบาลทุกตัว และช่วยแก้ปัญหานโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่หาเสียงไว้ว่า จะทำให้พี่น้องเกษตรกรรวยอย่างมั่นคง รวยอย่างยั่งยืน โดยดูแลข้าวเจ้า 12,000 บาทขึ้นไป/ตัน, ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาทขึ้นไป/ตัน, อ้อย 1,000 บาทขึ้นไป/ตัน, ยางพารา 65 บาทขึ้นไป/กิโลกรัม, มันสำปะหลัง 3 บาทขึ้นไป/กิโลกรัม และปาล์ม ราคาเป้าหมาย 5 บาท/กิโลกรัม ราคายางพารากิโลกรัมละ 65 บาท ซึ่งตอนนี้ทำได้แล้ว และมีส.ส.พรรคพลังประชารัฐหลายคน นำไปเคลมเป็นผลงานของพรรคอยู่
 
ยังคงเหลือแต่ค่าตอบแทนของ อสม.ที่มีพรรคการเมืองบางพรรค หาเสียงเสนอค่าตอบแทนให้กับ อสม.คนละ 2500 บาทต่อเดือน และคนละ 5000 บาทต่อเดือน แต่เมื่อเข้าร่วมรัฐบาลแล้ว ก็ไม่สามารถจะปรับค่าตอบแทน อสม.ได้ ซึ่งผมเคยได้เสนอต่อรัฐบาลในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรหลายครั้งว่า ควรจะปรับค่าตอบแทน อสม.เป็นเดือนละ 1500 บาท ให้กับทุกคน ทุกเดือนตลอดไป
 
“ขอให้ปรากฏการณ์การเบี้ยวนโยบายหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐ เป็นประเด็นให้ กกต.นำไปปรับปรุงกฎหมาย เพื่อเอาผิดกับการหาเสียงของพรรคการเมืองที่เกินจริง และไม่สามารถปฎิบัติได้ และขอให้เป็นบทเรียนของพี่น้องประชาชน ได้โปรดจดจำไว้ว่า มีพรรคการเมืองใดหลอกลวง โกหกปลิ้นปล้อนบ้าง สามารถลงโทษเอาคืนได้ โดยไม่ต้องลงคะแนนเสียงให้ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป” เทพไท ระบุ

https://www.facebook.com/theptai.theptai/posts/pfbid0ninveUM6c8Y6mdh1aE9cqNZhS4BfnBnYzoSsgnGkpjY6p8JK3X4MfXdVcTDJEfZ6l
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่