รีวิวอัพIELTS writing จาก 6.0 ไป 7.5 ฉบับเร่งด่วน

กระทู้สนทนา
กระทู้นี้จะขอพูดถึง IELTS writing (Academic) เป็นหลักนะคะ 

โดยส่วนตัวแล้วเราทำงานและมีเวลาในการเตรียมตัวค่อนข้างน้อย คิดจริงๆก็ประมาณ 1 เดือนนิดๆ และไม่ได้ฝึกทุกวัน ส่วนใหญ่จะ ใช้เวลาฝึกหรือเรียนแค่ 45 นาที วันเว้นวัน หรือไม่ก็จะไปฝึกช่วงเสาร์อาทิตย์เท่านั้นค่ะ 

และต้องขอเกริ่นก่อนนะคะว่ามหาวิทยาลัยที่เราจะไปต่อโทเขามี minimum requirement ว่าต้องได้ทุก band 7 ซึ่งเราสอบไปรอบแรก overall ได้ 7ค่ะ แต่ติด writingที่ได้แค่ 6.0 เพราะเราไม่ได้ฝึกwritingไปก่อนเลย(ดูตัวอย่างการเขียนแค่ 2-3อัน) ดังนั้นเราเลยจำเป็นต้องสอบอีกรอบ  

และรอบที่ 2 เราได้ overall 8 และ writing ได้ 7.5 ค่ะ เราเลยอยากจะมาแชร์youtubeและช่องทางอื่นๆที่ใช้เรียน เทคนิคในการเขียน และ คนตรวจงานเขียนของเราค่ะ ซึ่งเราไม่ได้เรียนพิเศษที่สถาบันใดๆ ชีทเอกสาร และข้อสอบที่ฝึกทำก็สามารถดาวน์โหลดและหาทำได้ฟรี ยกเว้นคนตรวจwritingอย่างเดียวเราใช้บริการไปแค่ 3 ครั้ง

Listening กับ Reading: เราเน้นฝึกทำข้อสอบแค่ (1) https://ieltsonlinetests.com/ และ (2) https://www.bestmytest.com/ielts/practice-test สองเว็บนี้ข้อสอบจะมีความยากและรูปแบบจะระดับเดียวกับของจริง มีจับเวลาให้ ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ตีbandให้หลังจากทำเสร็จในทุกครั้ง และที่สำคัญมีให้ทำหลายชุดมากกกกกกก 

เวลาเราทำผิดจุดไหนบ่อยๆ ก็จะค่อยไปเรียนจุดนั้นในyoutubeแยกอีกทีค่ะ (เช่น true/false/not given หรือ listening ก็จะเป็นmap) เพราะเรารู้สึกว่าเรียนรู้partพวกนี้ผ่านการฝึกทำข้อสอบสำคัญมาก เราจะจับหลักและพวกแพทเทิร์นของมันถ้าทำบ่อยๆว่าจะหลอกแบบไหนหรือต้องการอะไร ถ้าสังเกตว่าผิดจุดไหนบ่อยๆค่อนที่เน้นจุดนั้น แต่สำคัญที่สุดคือต้องจับเวลาค่ะ

โอเคค่ะ ทีนี้มาถึงพาร์ทที่เราเน้นกัน ซึ่งก็คือ writing

ช่องYoutubeและเอกสารที่ใช้เรียน

หลังจากที่เราบ้งไปแล้วรอบแรก555 ดังนั้นอย่างแรกที่เราทำเพื่อจะไปสอบรอบที่สองก็คือ ไปศึกษารูปแแบบของIELTS writing ทั้งสองtask ในYoutube
เราดูสองช่องเป็นหลักคือ (1) IELTS Advantage ของ Chris Pell กับ (2) Fastrack IELTS ที่จะสอนวิธีเขียน รูปแบบที่จะเจอในแต่ละtask (เราดาวน์โหลดเอกสารพวกคำศัพท์ ตัวอย่างการเขียนมาจากใต้วิดิโอ/websiteของสองช่องนี้เลย) เพราะจริงๆ IELTS writingก็แอบมีstructureที่เขาrequireนิดๆ 

บริการการเขียนตรวจที่เราใช้

พอได้รู้จักรูปแบบของIELTS writingและพวกวิธีคิด แล้วก็ถึงเวลาลองฟังเขียน
แผ่นแรกๆอาจจะรู้สึกเขียนติดขัดๆหรือเขียนช้านิดนึง เพราะยังไม่ชินกับรูปแบบ แต่พอแผ่นที่3จะเริ่มดีขึ้นค่ะ ส่วนตัวรู้สึกว่าถ้าจะได้writingไต่ระดับในสูงขึ้นต้องมีคนให้feedbackว่าต้องพัฒนาหรือต้องแก้ตรงไหน ไม่งั้นเราก็จะrepeatข้อผิดพลาดแบบนั้นไปเรื่อยๆถ้าไม่มีคนบอกและถึงจะฝึกเขียนด้วยตัวเองเยอะแค่ไหนคะแนนก็ไม่ค่อยขยับ เราใช้บริการของ

(1) Start.ieltsprep  สามารถแอดไปที่ line: @898ieovh แล้วเขาจะตอบกลับมาเรื่องค่าตรวจและแชร์เป็นgoogle docตรวจให้เลยค่ะ ค่าตรวจก็แล้วแต่task แต่ราคาถูกมากถ้าเทียบกับที่อื่น เขาไม่ได้ให้ให้feedbackคร่าวๆ แต่ที่นี่จะแก้แกรมม่าแบบละเอียด ให้choiceคำศัพท์โน้ตไว้ข้างๆdoc แล้วเขาตรวจทุกอย่างยึดIELTS wrting requirements แล้วกะbandให้ว่าเราน่าจะได้ประมาณเท่าไหร่ ทำให้เรารู้ว่าต้องไปโฟกัสตรงไหนเป็นพิเศษ ส่วนตัวจะโดนเรื่อง task responseค่ะว่าต้องตรงประเด็นมากกว่านี้และซัพพอร์ตmain ideaมากขึ้นในtask 2 คือเราจะได้ไฟล์งานที่แก้แล้วพร้อมfeedback แล้วก็เขาจะถามว่าอยากให้อัดวิดิโอให้อธิบายมั้ยหรือว่าสะดวกให้นัดเวลาอธิบายในzoom call ส่วนเราที่มีปัญหาเรื่องtask response เขาเลยนั่งสอนแล้วทำcontent planningข้อนั้นไปพร้อมๆกัน 

(2) Eazyeng แอดไลน์ไปที่ line: eazyeng ได้เลยค่ะ ที่นี่ก็จะราคาประมาณกัน แต่จะคิดราคาตามbandที่เราเล็งแบ่งเป็น2เรท ที่นี่ก็งานละเอียดมาก แก้แกรมม่า ดูcontent planning และให้คำแนะนำตามIELTS wrting requirementsเช่นกันค่ะ และที่นี่จะมีคอร์สแบบprivateสอนพวกwriting + speakingด้วย (แต่เราไม่ได้เรียนนะคะ) คนที่ตรวจดีใจและให้กำลังใจมากๆค่ะ แต่ที่นี่จะกะเป็นbandกว้างๆ แล้วพอส่งที่เขียนให้ตรวจเขาจะส่งกลับมาเป็นวิดิโอในไลน์อธิบายจุดที่ผิดของเราไป และสามารถถามข้อสงสัยเรื่องการเขียนได้ตลอดค่ะ

หรือการสมัครเรียนเป็นคอร์สIELTSในหลายๆสถาบันก็คุ้มในกรณีที่บางสถาบันรับตรวจงานเขียนไม่จำกัดค่ะ 

แต่เราส่งตรวจไปแค่ 3 ครั้งค่ะ เพราะเขาก็บอกว่าแค่ต้องจับจุด หรือรู้ว่าตัวเองต้องแก้หรือเพิ่มตรงไหนก็พอ และต้องจับเวลาทุกครั้ง และเราคิดว่าก่อนจะส่งตรวจจำเป็นต้องศึกษารูปแบบทั้งสองtaskให้ดี วิธีการเขียน เรียนรู้แกรมม่าจุดที่ตัวเองผิดบ่อยๆด้วยตัวเองก่อนประมาณนึงแล้วค่อยส่งตรวจเพื่อดูfeedbackค่ะ 

เทคนิคที่เราเรียนรู้ในใช้การอัพคะแนน 

การพัฒนาทักษะการเขียนจำเป็นต้องใช้เวลาค่ะ ต้องรู้คำศัพท์หลากหลาย สำนวนการเขียนที่ดีต้องเกิดจากการอ่านและฝึกเขียนบ่อยๆ แต่การรู้ว่าข้อสอบต้องการอะไรและมีเทคนิคยังไงก็ช่วยเพิ่มคะแนนได้ค่ะ 

(1) ใช้รูปประโยคให้หลากหลาย ไม่simpleมากจนเกินไป - เช่น พวก compound-complex, conditional sentence, passive, active voice เป็นต้น แต่ก็ไม่ควรทำให้ประโยคยาวเยิ่นเย้อซับซ้อนมากเกินความจำเป็นจนอ่านยาก เวลาประโยคยาวเกินก็ควรจะใช้fullstop และ ควรใช้ connector เยอะๆ (อย่างต่ำควรจะ 15-20 ตัว) แต่ก็ต้องใช้ให้ถูกต้อง เพราะจากที่เราเรียนและดูตัวอย่างมา band7ขึ้นไปจะใช้connectorค่อนข้างเยอะและหลายสถาบัน+คนตรวจงานเขียนก็พูดเหมือนกันค่ะ เช่น futhermore, otherwise, considering that.., thus, it is viewed as, whether..or.., As a result, essentially เป็นต้น 
 

(2) ไม่จำเป็นต้องใช้คำศัพท์หรูเกินความจำเป็น หรือจำประโยคทั้งประโยคเริ่มต้นจบท้ายเข้าห้องสอบแบบนี้แนะนำให้เลี่ยงนะคะ เพราะมีความเสี่ยงว่าคำศัพท์พวกนนั้นถ้าเราไม่เข้าใจความหมายหรือการใช้มันจริงๆ สุดท้ายไม่เข้ากับบริบทกลายเป็นว่าโดนตัดคะแนน

(3) Content planning สำหรับทั้ง 2 task สำคัญมาก เพราะใช้ช่วยประหยัดเวลาในการเขียนเป็นอย่างมากเพราะเราไม่ต้องคิดไปเขียนไป ไม่งั้นจะเขียนไม่ทัน สำหรับtask 1 เราแค่ใช้สัญลักษณ์2-3อัน แบ่งว่าอะไรเพิ่มขึ้น ลดลง หรือเหมือนเดิมแล้วเวลาเขียนก็แบ่งใส่แต่ละย่อหน้าว่าจะพูดถึงจุดไหนและเน้นเอาข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน เน้นแตะสิ่งที่เพิ่มขึ้น ลดลง เปลี่ยนไปนะคะ

ส่วนtask 2 ต้องทำcontent planingให้ชัดประมาณนึง เช่น ย่อหน้านี้supporting reasonคือะไรเอาให้ชัดเจน พร้อมexample ซึ่งทั้งหมดต้องสอดคล้องให้main ideaที่เราชูชัดเจนและตัวอย่างที่ใช้เสริมsupporting reasonแต่ละย่อหน้าควรเป็น fact-based ไม่ควรเป็น opinion-based นะคะ เช่น research/สถิติ/ หรือ ประสบการณ์โดยตรง (ซึ่งเราอาจจะคิดมาเองก็ได้) 
 
supporting reasonแต่ละย่อหน้าไม่จำเป็นต้องเป็นไอเดียที่ดีเลิศลึกซึ้งสุดๆ เพราะเขาไม่ได้ให้คะแนนไอเดียนะคะ แค่ต้องเป็นsupporting reasonที่ทำให้main ideaชัดเจนมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Some people spend a lot of money attending cultural or sports events.  Is it a good or a bad thing? เราอาจจะมีธงว่า มันเป็นสิ่งที่ดี เพราะ มันเป็น 1. New way of overcoming stress และ 2. Bonding, sense of belongingของกลุ่มคนที่ชอบในเรื่องเดียวกันให้มาทำความรู้จักกัน เป็นต้น เน้นsimple ให้คนเข้าใจง่าย และหาตัวอย่างประกอบง่ายค่ะ และเวลาทำtask2 เราจะอ่านทวนคำถามบ้างเพื่อให้มั่นใจว่าไม่หลงประเด็น

เราค่อนข้างเน้นส่วนนี้พอสมควร เพราะมันช่วยให้การเขียนIELTS writingง่ายขึ้น เร็วขึ้น ฉะนั้นถ้าเวลาน้อยก็เน้นทำcontent planningก็มีประโยชน์มากๆค่ะ

(4) เวลาทำข้อสอบควรเหลือเวลาตรวจการสะกดคำและแกรมม่านะคะ เพราะการจะมีข้อผิดพลาดแบบนั้นจะทำให้ได้bandสูงยากค่ะ หรือเวลาลองฝึกเขียนแล้วจับเวลาถ้าหากมีจุดผิดพลาดการสะกดคำหรือแกรมม่าเรื่องไหนควรไปเน้นเรื่องนั้นอีกทีค่ะ

(5) ต้องรู้จักรูปแบบของคำถามtask1และtask2 เพราะแต่ละอันมีหลายรูปแบบ เช่น task2มีหลายประเภทมาก ยกตัวตัวอย่างเช่น cause-solution (เราอาจจะแบ่งเป็น2body bodyแรกรวม2causeไว้ด้วยกัน bodyต่อมาพูดถึงsolutionก็ได้) หรือ agree/disagree อาจจะแยกbodyเป็นสองอันแล้วใส่แต่ละsupporting reasonไปเลยแต่ละย่อหน้า) การที่เรารู้จักหลายๆรูปแบบจะทำให้เราชินกับIELTS wrting แล้วเขียนอย่างมีระบบมากขึ้น

(6) สำหรับ task1 จะมีหลายแบบ เช่น กราฟ map process เป็นต้น ซึ่งหลายคนอาจจะกังวลส่วนนี้ แต่จริงๆแล้วtask1จะวัดแค่วิธีการอ่าน presentข้อมูล การอยากให้เราเอาข้อมูลมาเปรียบเทียบกันเฉยๆ หรือเน้นอธิบายขั้นตอนต่างๆตามลำดับไป และจำนวนคำก็requireน้อยกว่าด้วย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ  แนะนำให้หาคำศัพท์หรือพวกconnectorที่ใช้กับtask1ในรูปแบบต่างๆก็ช่วยได้ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น task 1แบบให้อธิบาย process คำศัพท์ที่ใช้บ่อยๆก็จะเป็น in the first stage, then, following this, subsequently, after which, the final stage is เป็นต้นค่ะ หรือ pie chart ที่ออกบ่อยๆset คำศัพท์ก็จะเช่น account for, followed by, one fifth, almost half of เป็นต้น 

(7) ควรหาตัวอย่างbandสูงๆ อ่านเป็นตัวอย่าง ดูวิธีการจัดเรียงข้อมูลในtask1 ดูวิธีการอธิบาย/developไอเดียในแต่ละย่อหน้าของtask2 แต่ต้องดูดีๆว่าตัวอย่างที่อ่านน่าเชื่อถือมั้ย ส่วนเราจะชอบดาวน์โหลดเอกสาร ตัวอย่างการเขียนต่างๆจาก Fastrack IELTS (https://fastrackielts.com/) กับ Liz IELTS (https://ieltsliz.com/about-me/) ค่ะ 

(8) การที่จะได้bandสูงมากกว่า 7 ปฎิเสธไม่ได้ว่าต้องมีสำนวนภาษาที่ค่อนข้างลื่นไหล การคำศัพท์ดีหลากหลาย และใช้ถูกบริบท ซึ่งเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลาฝึกและปรับแก้ ส่วนตัวในจุดนี้เราพยายามเรียนพวกนี้จากการอ่าน Bangkok Post หรือคอลัมสั้นๆทุกวัน เช่น https://health.clevelandclinic.org/why-we-dont-like-being-told-what-to do/#:~:text=Everyone%20has%20some%20form%20of,your%20choices%20are%20being%20limited. 
หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่เตรียมสอบieltsและกังวลเรื่องการเขียน เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่จะสอบให้ได้bandที่ต้องการนะคะหัวเราะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่