คาถาขอขมาลาพระสงฆ์” ร.4

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช รัชกาลที่ 4 ทรงพระราชนิพนธ์ “คาถาขอขมาลาพระสงฆ์”ก่อนเสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว พระราชนิพนธ์นี้ทรงเป็นภาษามคธมีใจความขอขมาลาพระสงฆ์ ด้วยจิตสำนึกสุดท้าย ภาษาที่ทรงพระราชนิพนธ์ก็สะท้อนคุณค่าและพระปรีชาสามารถในด้านภาษา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ชีวิตสมณเพศแบบบัณฑิตของพระองค์ถึง 27 ปี เมื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์จึงเป็นกษัตริย์องค์เดียวของไทยที่มีความรู้ภาษาบาลีแตกฉานขั้นสามารถพระราชนิพนธ์ผลงานเป็นจำนวนมาก
รศ.ดร. สุภาพรรณ ณ บางช้าง วิเคราะห์การใช้ภาษาบาลีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ทรงใช้ในลักษณะการสื่อสารทั่วไป ไม่ใช่ในลักษณะภาษาคัมภีร์เหมือนสมัยก่อนเพื่อสนองเป้าหมาย 3 ประการ คือ วิเคราะห์วิจารณ์ประวัติเหตุการณ์ทางพระพุทธศาสนา, บันทึกประกาศเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหรือเรื่องที่มุ่งหวังให้เกิดความเป็นสิริมงคล และติดต่อกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งภายในและนอกประเทศ
ผลงานพระราชนิพนธ์ชิ้นสุดท้ายคือ “คาถาขอขมาพระสงฆ์” ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อเย็นวันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2411 (วันพุธ เดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ) วันต่อมาพระองค์เสด็จสวรรคต บทความของดร.สุภาพรรณ อธิบายว่า พระราชนิพนธ์นี้ปรากฏในบันทึกของเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง ในเวลานั้นดำรงตำแหน่งพระบุรุษรัตนราชพัลลภ ถวายการรับใช้ใกล้ชิด
บันทึกของเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง บันทึกไว้ว่า
“เวลา 5 โมงเศษมีพระบรมราชโองการรับสั่งแก่พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภว่า ให้ไปหาตาฟัก (พระศรีสุนทรโวหาร) เข้ามา ให้หาสมุดดินสอเข้ามาด้วย เมื่อจะเข้ารอคอยเวลาที่สบายจึงให้มาแล้วรับสั่งกับหลวงเดโชว่า หมอขาข้าจะธุระจะทำการ หมอช่วยทุกขเวทนาลมทีเสียดแทงให้ถอยลงสักหน่อยจะได้หรือมิได้ หลวงราโชรับว่าจะฉลองพระเดชพระคุณได้ด้วยเกล้าฯ หลวงราโชก็แก้ไขถวายงานพอพระวาโยที่เสียดแทงคลายลง พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภจึงทูลฉลองว่า พระศรีสุทรโวหารเข้ามาเฝ้าทูลละอองแล้ว จึงรับสั่งพระศรีสุนทรโวหารเป็นภาษามคธยืดยาว เรื่องความอนาถปิณทิโกวาทจบลงแล้ว จึงรับสั่งพระศรีสุนทรโวหารว่า ที่ตรัสภาษามคธดังนี้ผิดเพี้ยนอย่างไรบ้าง”
พระศรีสุนทรโวหารกราบทูลพระกรุณาว่า ซึ่งทรงภาษามคธนี้จะได้ผิดเพี้ยนแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดหามิได้ เหมือนหนึ่งเหมือนไม่ทรงพระประชวรฉะนั้น จึงรับสั่งว่าพระอาการก็มาก ถึงเพียงนี้แล้วยังมีสติไม่ฟั่นเฟือนให้เอาสมุดดินสอมา จะให้เขียนคาถาลาพระ ทรงเป็นภาษามคธจนจบ
บทพระราชนิพนธ์ฉบับแปลความหมายมีอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ของเจ้าพระยาทิพกรวงศ์ และในบันทึก “จดหมายเหตุเรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแรกทรงประชวรจนถึงเวลาสวรรคต” ของพระยามหินทรศักดิธำรง
ดร.สุภาพรรณ อธิบายว่า สำนวนแปลจากทั้งสองฉบับแตกต่างกันบ้าง ในบันทึกของพระยามหินทรศักดิธำรง บอกเกี่ยวกับคำแปลว่า “แต่คำแปลในคาถาที่ทรงลาพระแลขอขมาพระสงฆ์ประเดียงไปที่วัดราชประดิษฐ์” เข้าใจว่า ได้มีจัดทำคำแปลภาษาไทยไว้เมื่อครั้งนั้นแล้ว อาจให้พระศรีสุนทรโวหารเป็นผู้แปล หรือพระองค์เป็นผู้แปลเอง
คำแปลมีว่า
“เหมือนครั้งตัวฉันยังเป็นภิกษุอยู่ ฉันได้เจรจาคำนี้อยู่เนืองๆ ว่า เกิดจากครรภ์มารดาแล้วในวันพระมหาปวารณาคือ วันพฤหัสบดีเดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ถ้าเมื่อเราจะตายหากว่าป่วยหนักลง พวกศิษย์นำไปถึงที่ประชุมสงฆ์ทำปวารณาในโรงอุโบสถยังประกอบด้วยกำลังเช่นนั้นไรเล่า เราถึงธรรมปวารณา สามจบแล้วตายเฉพาะที่หน้าพระสงฆ์ การที่ได้ทำนั้นเป็นการดี เป็นการสงเคราะห์ควรแก่เรา วาจาอย่างนี้ฉันได้พูดเป็นเนืองๆ เมื่อครั้งเป็นภิกษุ บัดนี้ฉันเป็นคฤหัสถ์จะทำอะไรได้อย่างที่ว่านั้น เพราะฉะนั้นจึงส่งเครื่องสักการบูชาเหล่านี้ทำให้เป็นของแทนตัวฉัน วันมหาปวารณาคือวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีเหมือนเมื่อวันฉันเกิด ก็ความเจ็บไข้ของตัวฉันเจริญทวีมากขึ้น ตัวฉันกลัวว่าจะต้องตายลงในวันนี้ ฉันขอลาพระสงฆ์ ฉันขออภิวาทไหว้ต่อพระผู้มีพระภาค พระอรหังสัมมนาสัมพุทโธเจ้า แม้นพระนิพพานแล้วนาน ฉันขอนมัสการพระธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยตัวฉันขอลาผู้ได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่ระลึกแล้ว
‘โทษคือความล่วงเกิน ข้าพเจ้าเป็นคนพาลคนหลงไม่ฉลาดด้วยประการใด ตัวข้าพเจ้าคนไรเล่า ณ อาตมาภาพนี้เป็นผู้ประมาทแล้วอย่างนั้น ได้ทำกรรมเป็นอกุศลทั้งหลาย ขอพระสงฆ์จงรับโทษล่วงเกินของข้าพเจ้านั้นเป็นคนโทษล่วงเกินจริง เพื่อสังวรระวังตนต่อไปข้างหน้า’
บัดนี้ตัวฉันได้ทำการอธิษฐานการสังวรระวังในศีลห้าแล้ว ปลูกกรรมทำในใจอย่างนี้ ศึกษาอยู่ในขันธ์ทั้งหลายในอายตนะทั้งหลายภายในหกภายนอกหก ในวิญญาณทั้งหลายหก ในสัมผัสทั้งหลายหก ในเวทนาทั้งหลายหก ซึ่งเป็นไปในทวารทั้งหลายหก ของนั้นไม่มีในโลก ของไรเล่าเมื่อสัตว์เขาถือเอามั่นจะถึงไม่มีโทษ อนึ่งฤาบุรุษเขาถือเอามั่นของสิ่งไรเล่า ตัวฉันศึกษาความไม่ยึดหน่วงถือเอาสรรพสิ่งการทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตาไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา ใช่ตัวใช่ตน ย่อมเป็นไปตามปัจจัย ของนั้นไม่ใช่ของเรา ส่วนนั้นใช่เราไม่เป็นเรา ส่วนนั้นไม่เป็นแก่นสาร ใช่ตัวใช่ตน ความตายใดๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ความตายทั้งหลายไม่เป็นของอัศจรรย์เพราะความตายนั้นไม่เป็นอกุศลหนทางไป สัตว์ทั้งหลายทั้งหมดด้วยกัน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ฉันขอลาขอไหว้นมัสการ ข้อที่ได้เป็นความผิดพลั้งของตัวฉัน
ขอพระสงฆ์จงงดโทษเป็นความผิดของข้าพเจ้านี้เถิด ครั้นเมื่อความตายของข้าพเจ้าแม้นถึงความกระสับกระส่ายอยู่ จิตจะไม่เป็นกระสับกระส่าย ข้าพเจ้าศึกษาอยู่อย่างนี้ ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้”
พระยามหินทรศักดิธำรง เล่าให้บันทึกว่า หลังจากทรงแต่งคาถาลาเสร็จแล้ว ทรงมีรับสั่งกับพระศรีสุนทรโวหารให้นำไปคัดลอกให้อ่านง่ายๆ ให้ไปสั่งมหาดเล็กให้จัดเครื่องนมัสการไปตั้งที่อุโบสถพระเชตุพนฯ ที่วัดราชประดิษฐ์ เมื่อพระสงฆ์จะกระทำวินัยกรรมปวารณาพระพรรษาในพระอุโบสถให้จุดธูปเทียนแล้วจึงอ่านคาถาพระท่ามกลางพระสงฆ์แทนพระองค์ วันต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม (วันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ) พระองค์เสด็จสวรรคต

https://www.msn.com/th-th/news/other/ถอดนัย-คาถาขอขมาลาพระสงฆ์-ร-4-ทรงพระราชนิพนธ์ก่อนเสด็จสวรรคต-สะท้อนอะไร/ar-AAXf9Aw?li=BBr8Cnp
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่