บรรพบุรุษเป็นพุทมาก่อน
แต่พอมารับเชื่อพระเจ้าตอนโตจากมหาลัย
1.ตอนแรกก็เหมือนชีวิตจะดีขึ้นนะ แล้วสังคมคริสเตียนที่โบสถ์ก็น่ารักดี อบอุ่นมากกก ได้ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน ได้ไปนุ่นนี่นั่น เยอะมาก ได้คนคอยช่วยเหลือ ได้พี่เลี้ยงด้วยยย555
2.ตอนแรกมันก็ดีกับชีวิตเราแหละ แต่ลึกๆแล้วคุณก็ทำตัวเป็นฟารีสีนั้นแหละ บอกให้พระเจ้าเป็นที่ 1 แต่การเรียนตกต่ำ เพราะต้องไปทำกิจกรรมกับคุณ ต้องไปให้ได้นะ จนตอนนั้นย้าคลั่งพระเจ้ามาก เป็นคริสเตียนบักเดียว บินไปค่ายสัมนา กทม. 3 ครั้ง เลิกเรียนตอนเย็นก็ไปงานอีก บางทีก็ให้เราลาเรียนไปสัมนา แทบไม่ได้อ่านหนังสือสอบ
จนกระทั่งกูรับใช้ กูเอาพระเจ้ามาเป็นที่ 1 แบบของไม่ไหวแล้วหว่ะ อะไรคือผู้รับใช้วะ เกินไปไหม กูร้องไห้ ออกมาหลังจากลงเวทีนมัสการ และขับรถกลับบ้าน ร้องไปด้วยตอนกลับ และบอกว่ากูไม่เอาแล้ว ไม่ไหว ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย กูต้องเฟกเป็นคนดีหมด กูจะทำอะไร ที่โบสถ์ก็ห้ามนั่นห้ามนี่
เรื่องแฟนก็ไปเดทด้วยกันไม่ได้ ต้องมีอีกคนไปด้วยคอยดู ซ้อนมอเตอร์ไซต์ก็ผิด กลัวเราออกนอกทางพระเจ้านู่นนี่นั่น ชี้กูเป็นคนผิด ต้อวมาปรับทัศสนคติอีก
จากที่ไม่เป็นครโกหก ก็ต้องโกหกบ่อยขึ้น มันก็ตัดสินกูทุกเรื่อง แต่กลับไม่มองตัวเองเลย ว่ากำลังตัดสินอยู่ พระคัมพงคัมภีร์ก็อ่านแบบฟาริสี เทศแบบฟาริสี ต้องทำนุ่นทำนี่ บอกไม่ให้อวดตัว แต่ดันไม่รู้ตัวว่ากำลังอวดตัวเองอยู่ บอกว่ารักผู้คนแต่กลับทำให้คนออกจากทางพระเจ้า เฟกสุดๆ ไม่ได้ยอมรับตัวเองเลย สอนคนอื่นแต่ดันไม่เห็นไม้ขวางตาตัวเองทั้งท่อน
3.พระเจ้าอ่ะดีเลิศ แต่พระองค์บอกว่าไม่สามารถมีใครดีได้เลยแม้แต่คนเดียว
ดังนั้นให้สมดุลย์ มีทั้งดีทั้งชั่วในตัวเองนี่แหละ
มีขาวมีดำ มีมืดมีสว่าง แค่นี้แหละไม่ต้องคิดอะไรมาก
แต่พระเจ้าดีเลิศอยู่แล้ว ไม่ต้องเฟก
ยังมีอีกเยอะ และนี่ไม่ใช่บาดแผลด้วย ไม่ต้องมาสงสารกู กูมีความสุขกับพระเจ้าดี สงสารคนที่ไม่รู้นุ่น ไม่ต้องบอกให้พระเจ้าจัดการกู กูจัดการตัวกูเอง ด้วยนะ
และนี่และคือความจริง ไม่ต้องเฟก
ตอนนี้เราออกมาจากสังคมคริสเตียน และไม่ได้เกลียดเขา เราอยู่ได้กับทุกสังคม และเรารักมากขึ้น มันไม่มีอะไรดีกว่าการอยู่ร่วมกันได้ในทุกสังคมอ่ะ และเราแค่เป็นความรักให้เขาในนั้น แค่นี้พอ
ยอมรับ เข้าใจ รัก
นี่คือ 1 เดียวกันเท่านี้แหล่ะ
สังคมคริสเตียนแท้จริงแล้วโกหก?
แต่พอมารับเชื่อพระเจ้าตอนโตจากมหาลัย
1.ตอนแรกก็เหมือนชีวิตจะดีขึ้นนะ แล้วสังคมคริสเตียนที่โบสถ์ก็น่ารักดี อบอุ่นมากกก ได้ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน ได้ไปนุ่นนี่นั่น เยอะมาก ได้คนคอยช่วยเหลือ ได้พี่เลี้ยงด้วยยย555
2.ตอนแรกมันก็ดีกับชีวิตเราแหละ แต่ลึกๆแล้วคุณก็ทำตัวเป็นฟารีสีนั้นแหละ บอกให้พระเจ้าเป็นที่ 1 แต่การเรียนตกต่ำ เพราะต้องไปทำกิจกรรมกับคุณ ต้องไปให้ได้นะ จนตอนนั้นย้าคลั่งพระเจ้ามาก เป็นคริสเตียนบักเดียว บินไปค่ายสัมนา กทม. 3 ครั้ง เลิกเรียนตอนเย็นก็ไปงานอีก บางทีก็ให้เราลาเรียนไปสัมนา แทบไม่ได้อ่านหนังสือสอบ
จนกระทั่งกูรับใช้ กูเอาพระเจ้ามาเป็นที่ 1 แบบของไม่ไหวแล้วหว่ะ อะไรคือผู้รับใช้วะ เกินไปไหม กูร้องไห้ ออกมาหลังจากลงเวทีนมัสการ และขับรถกลับบ้าน ร้องไปด้วยตอนกลับ และบอกว่ากูไม่เอาแล้ว ไม่ไหว ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย กูต้องเฟกเป็นคนดีหมด กูจะทำอะไร ที่โบสถ์ก็ห้ามนั่นห้ามนี่
เรื่องแฟนก็ไปเดทด้วยกันไม่ได้ ต้องมีอีกคนไปด้วยคอยดู ซ้อนมอเตอร์ไซต์ก็ผิด กลัวเราออกนอกทางพระเจ้านู่นนี่นั่น ชี้กูเป็นคนผิด ต้อวมาปรับทัศสนคติอีก
จากที่ไม่เป็นครโกหก ก็ต้องโกหกบ่อยขึ้น มันก็ตัดสินกูทุกเรื่อง แต่กลับไม่มองตัวเองเลย ว่ากำลังตัดสินอยู่ พระคัมพงคัมภีร์ก็อ่านแบบฟาริสี เทศแบบฟาริสี ต้องทำนุ่นทำนี่ บอกไม่ให้อวดตัว แต่ดันไม่รู้ตัวว่ากำลังอวดตัวเองอยู่ บอกว่ารักผู้คนแต่กลับทำให้คนออกจากทางพระเจ้า เฟกสุดๆ ไม่ได้ยอมรับตัวเองเลย สอนคนอื่นแต่ดันไม่เห็นไม้ขวางตาตัวเองทั้งท่อน
3.พระเจ้าอ่ะดีเลิศ แต่พระองค์บอกว่าไม่สามารถมีใครดีได้เลยแม้แต่คนเดียว
ดังนั้นให้สมดุลย์ มีทั้งดีทั้งชั่วในตัวเองนี่แหละ
มีขาวมีดำ มีมืดมีสว่าง แค่นี้แหละไม่ต้องคิดอะไรมาก
แต่พระเจ้าดีเลิศอยู่แล้ว ไม่ต้องเฟก
ยังมีอีกเยอะ และนี่ไม่ใช่บาดแผลด้วย ไม่ต้องมาสงสารกู กูมีความสุขกับพระเจ้าดี สงสารคนที่ไม่รู้นุ่น ไม่ต้องบอกให้พระเจ้าจัดการกู กูจัดการตัวกูเอง ด้วยนะ
และนี่และคือความจริง ไม่ต้องเฟก
ตอนนี้เราออกมาจากสังคมคริสเตียน และไม่ได้เกลียดเขา เราอยู่ได้กับทุกสังคม และเรารักมากขึ้น มันไม่มีอะไรดีกว่าการอยู่ร่วมกันได้ในทุกสังคมอ่ะ และเราแค่เป็นความรักให้เขาในนั้น แค่นี้พอ
ยอมรับ เข้าใจ รัก
นี่คือ 1 เดียวกันเท่านี้แหล่ะ