คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รวมสไลด์แถลงสถานการณ์โควิด-19 จาก ศบค.
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553933856224943

จำนวนการได้รับวัคซีนสะสม (28 ก.พ. 2564 - 2 พ.ค. 2565)
รวม 133,927,344 โดส ใน 77 จังหวัด
ภาพรวมยอดฉีดวัคซีน วันที่ 2 พฤษภาคม 2565
ยอดฉีดทั่วประเทศ 284,878 โดส
เข็มที่ 1 : 4,807 ราย
เข็มที่ 2 : 13,830 ราย
เข็มที่ 3 : 266,241 ราย
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม : 56,311,711 ราย
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 สะสม : 51,365,679 ราย
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม : 26,249,954 ราย
แหล่งข้อมูล : MOPH-IC
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553848496233479

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กระบวนการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายหลังการยกเลิกข้อกำหนดการเดินทางเข้าประเทศแบบ Test&Go ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป ซึ่งจะแยกผู้โดยสารเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย
1) กรณีได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ หรือ ไม่ได้รับวัคซีน / รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ แต่มีผลตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 72 ชม. สามารถเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR เมื่อมาถึงและไม่ต้องกักตัว
2) กรณีไม่ได้รับวัคซีนหรือรับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์และไม่มีผลตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย ต้องกักตัวในระบบ AQ
ทั้งนี้ ผู้โดยสารที่ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สามารถสอบถามได้ที่ AOT Contact Center หมายเลขโทรศัพท์ 1772 ตลอด 24 ชั่วโมง
———————————————
Entry measures for international arriving passengers at Suvarnabhumi Airport after the eased of Test&Go entry requirements. From May 1, 2022 onwards, passengers will be separated into:
1. Fully vaccinated or unvaccinated but have RT-PCR test result 72 hours prior to departure passenger can enter Thailand without additional RT-PCR testing. No quarantine needed.
2. Unvaccinated or not fully vaccinated passengers with no RT-PCR test result before enter Thailand will need to quarantine with AQ system.
For more information regarding the service, contact AOT Contact center 1722
ที่มา : ประชาสัมพันธ์กระทรวงคมนาคม
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553818132903182

สถานเสาวภา สภากาชาดไทย เปิดให้บริการประชาชนที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป
เข้ารับวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” เข็ม 2,3,4 (WALK IN ฟรี)
ตามเงื่อนไขดังนี้
เข็ม 2
- เคยได้รับวัคซีน ซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม เป็นเข็มที่ 1 ภายในวันที่ 4 เม.ย. 2565
- เคยได้รับวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้า เป็นเข็มที่ 1 ภายในวันที่ 9 มี.ค. 2565
เข็ม 3
- เคยได้รับวัคซีน ซิโนแวค 2 เข็ม/ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม โดยฉีดเข็ม 2 ภายในวันที่ 4 เม.ย. 2565
- เคยได้รับวัคซีนสูตรไขว้ (เข็ม 1 ซิโนแวค และเข็ม 2 แอสตร้าเซนเนก้า)
ภายในวันที่ 4 ก.พ. 2565
เข็ม 4
- เคยได้รับวัคซีน ซิโนแวค 2 เข็ม/ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม และเข็ม 3 แอสตร้าเซนเนก้า
ภายในวันที่ 4 ม.ค. 2565
ให้บริการวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” ณ ตึกราชูทิศ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย
ในวันที่ 4,6,11,13,18,20,25,27 พฤษภาคม 2565 เวลา 10.00 - 11.00 น.
(ทุกวันพุธและวันศุกร์ของเดือนพฤษภาคม 2565)
>>> ขอสงวนสิทธิ์ให้บริการวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” ตามเงื่อนไขที่ระบุเท่านั้น
กรณีไม่เป็นไปตามเงื่อนไขขอสงวนสิทธิ์ในการรับวัคซีน
>>> กรุณานำ บัตรประชาชน ปากกา มาด้วยในวันนัดหมาย
>>> สำหรับสตรีมีครรภ์สามารถรับวัคซีนได้เมื่ออายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์
โดยนำสมุดฝากครรภ์มาด้วยในวันรับบริการ
ที่มา : สถานเสาวภา สภากาชาดไทย
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553825692902426

แนวทางการจัดการผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของผู้ป่วย / ผู้ติดเชื้อโควิด 19
ผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง เช่น รับประทานอาหาร ดื่มสุรา อยู่ในสถานที่อากาศปิด โดยไม่สวมหน้ากากร่วมกับผู้ป่วย
สัมผัสใกล้ชิดกับ
1. ผู้ป่วยเข้าข่าย พบผลบวกตรวจด้วย ATK
2. ผู้ป่วยยืนยัน พบผลบวกตรวจด้วย RT-PCR
3. ผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการ พบผลบวกตรวจด้วย RT-PCR / ATK
เมื่อเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง
• กักตัวอยู่ที่บ้าน 5 วัน
• ตรวจสอบอาการป่วยทุกวัน ตรวจ ATK วันที่ 5 หลังสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยครั้งสุดท้าย หรือหากมีอาการตรวจ ATK ทันที
• สังเกตอาการตนเองต่ออีก 5 วัน
• ออกนอกพื้นที่ได้ ตรวจ ATK วันที่ 10 หลังสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยครั้งสุดท้าย
ที่มา : กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553837422901253

สธ.ชี้โควิด ใกล้เข้าสู่โรคประจำถิ่น
แนะ กทม.ผ่อนกิจการแบบค่อยเป็นค่อยไป
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ของประเทศไทยเริ่มคลี่คลายมากขึ้น พื้นที่ กทม.แนวโน้มดีขึ้น มีระบบดูแลรักษาผู้ติดเชื้อครอบคลุม ประชาชนได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 มากกว่า 60% สามารถเดินหน้าเข้าสู่การจัดการให้โควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่นได้ โดยมีมาตรการดูแลพื้นที่สำคัญ
สำหรับกรุงเทพมหานคร เป็นจังหวัดหนึ่งที่สถานการณ์ดีขึ้นเช่นกัน ผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อได้รับการดูแลรักษาที่บ้าน (Home Isolation) และแบบผู้ป่วยนอก “เจอ แจก จบ” ขณะที่การฉีดวัคซีนมีความครอบคลุมสูง คือ เข็ม 1 และเข็ม 2 ได้เกิน 100% ส่วนเข็มกระตุ้นหรือเข็ม 3 มีความครอบคลุมมากกว่า 60% สามารถเดินหน้าเข้าสู่การเป็นจังหวัดที่บริหารจัดการโรคโควิด 19 แบบโรคประจำถิ่น (Endemic Sandbox) ได้แนะนำให้มุ่งเน้นการจัดการในพื้นที่สำคัญ เช่น สวนสาธารณะ ที่มีคนจำนวนมาก กิจการที่มีความเสี่ยง เช่น ผับ บาร์ รวมถึงขนส่งสาธารณะต่าง ๆ โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับการผ่อนคลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ประชาชนค่อยๆ ปรับตัว และการเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553876952897300

รายละเอียดผู้เสียชีวิตของประเทศไทย
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565 จำนวน 77 ราย
แหล่งข้อมูล : กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553935139558148

สธ. เผย สถานการณ์โควิดภาพรวมลดลง
ภาคอีสานยังมียอดผู้ติดเชื้อสูง
ย้ำ!! ฉีดเข็มกระตุ้นจะลดการเสียชีวิตได้ถึง 31 เท่า
นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อ 9,331 ราย ลดลงจากหลายสัปดาห์ก่อนที่มีผู้ติดเชื้อวันละประมาณ 2 หมื่นราย ผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ผู้ป่วยรักษาหายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลผู้ติดเชื้อที่ลงทะเบียนรับการรักษาของ สปสช. ทั้งแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักที่บ้าน (OPSI) และระบบรักษาที่บ้าน (HI)
การรายงานผู้เสียชีวิตมีการปรับรายงานแยกระหว่างกลุ่มติดเชื้อโควิด ปอดอักเสบและเสียชีวิต กับกลุ่มที่มีโรคเรื้อรังและตรวจพบโควิด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การติดเชื้อและเสียชีวิตที่เกิดขึ้นจริงซึ่งทั้งสองกลุ่มมีมาตรการที่จะลดการตายจากการดูแลรักษาที่ต่างกัน จะช่วยให้วางมาตรการการรักษาในอนาคตได้ ทั้งนี้ สายพันธุ์โอมิครอนส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการไม่มาก แต่หากไม่ฉีดวัคซีน ยังมีโอกาสป่วยหนักรุนแรงและทำให้เสียชีวิตสูง โดยการฉีดเข็มกระตุ้นจะลดการเสียชีวิตได้ถึง 31 เท่า ดังนั้น ต้องช่วยกันนำผู้สูงอายุไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งปัจจุบันฉีดได้เพียง 41.5% ขณะที่ความครอบคลุมที่จะช่วยลดการป่วยหนักเป็นวงกว้างได้ คือ 60% ขึ้นไป ส่วนเด็กอายุ 5-11 ปี ขอให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานไปฉีดก่อนเปิดเทอมเช่นกัน
“สถานการณ์การติดเชื้อ ป่วยหนักและเสียชีวิต ยังเป็นไปตามคาดการณ์ ส่วนผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจจะลดลงตามผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยปอดอักเสบหรือไม่ ยังต้องติดตามอีก 2-4 สัปดาห์ ขณะนี้จึงยังคงแจ้งเตือนภัยระดับ 4 ทั่วประเทศ ขอให้หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มและสถานที่เสี่ยง เพราะบางจังหวัดยังพบการติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคอีสานส่วน 40 กว่าจังหวัดที่มีจำนวนผู้ป่วยลดลง และมีแนวโน้มคงตัว ได้ให้จัดทำแผนปฏิบัติการเตรียมพร้อมเข้าสู่ระยะโรคประจำถิ่น เพื่อมั่นใจว่าหากมีเชื้อกลายพันธุ์ที่ระบาดง่ายรุนแรงมากขึ้นจะสามารถรับมือได้ โดยต้องมีวัคซีนและแพทย์เพียงพอให้การดูแลรักษาป้องกันได้ตามมาตรฐาน”
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553989809552681

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รวมสไลด์แถลงสถานการณ์โควิด-19 จาก ศบค.
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553933856224943

จำนวนการได้รับวัคซีนสะสม (28 ก.พ. 2564 - 2 พ.ค. 2565)
รวม 133,927,344 โดส ใน 77 จังหวัด
ภาพรวมยอดฉีดวัคซีน วันที่ 2 พฤษภาคม 2565
ยอดฉีดทั่วประเทศ 284,878 โดส
เข็มที่ 1 : 4,807 ราย
เข็มที่ 2 : 13,830 ราย
เข็มที่ 3 : 266,241 ราย
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม : 56,311,711 ราย
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 สะสม : 51,365,679 ราย
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม : 26,249,954 ราย
แหล่งข้อมูล : MOPH-IC
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553848496233479

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กระบวนการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายหลังการยกเลิกข้อกำหนดการเดินทางเข้าประเทศแบบ Test&Go ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป ซึ่งจะแยกผู้โดยสารเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย
1) กรณีได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ หรือ ไม่ได้รับวัคซีน / รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ แต่มีผลตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 72 ชม. สามารถเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR เมื่อมาถึงและไม่ต้องกักตัว
2) กรณีไม่ได้รับวัคซีนหรือรับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์และไม่มีผลตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย ต้องกักตัวในระบบ AQ
ทั้งนี้ ผู้โดยสารที่ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สามารถสอบถามได้ที่ AOT Contact Center หมายเลขโทรศัพท์ 1772 ตลอด 24 ชั่วโมง
———————————————
Entry measures for international arriving passengers at Suvarnabhumi Airport after the eased of Test&Go entry requirements. From May 1, 2022 onwards, passengers will be separated into:
1. Fully vaccinated or unvaccinated but have RT-PCR test result 72 hours prior to departure passenger can enter Thailand without additional RT-PCR testing. No quarantine needed.
2. Unvaccinated or not fully vaccinated passengers with no RT-PCR test result before enter Thailand will need to quarantine with AQ system.
For more information regarding the service, contact AOT Contact center 1722
ที่มา : ประชาสัมพันธ์กระทรวงคมนาคม
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553818132903182

สถานเสาวภา สภากาชาดไทย เปิดให้บริการประชาชนที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป
เข้ารับวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” เข็ม 2,3,4 (WALK IN ฟรี)
ตามเงื่อนไขดังนี้
เข็ม 2
- เคยได้รับวัคซีน ซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม เป็นเข็มที่ 1 ภายในวันที่ 4 เม.ย. 2565
- เคยได้รับวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้า เป็นเข็มที่ 1 ภายในวันที่ 9 มี.ค. 2565
เข็ม 3
- เคยได้รับวัคซีน ซิโนแวค 2 เข็ม/ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม โดยฉีดเข็ม 2 ภายในวันที่ 4 เม.ย. 2565
- เคยได้รับวัคซีนสูตรไขว้ (เข็ม 1 ซิโนแวค และเข็ม 2 แอสตร้าเซนเนก้า)
ภายในวันที่ 4 ก.พ. 2565
เข็ม 4
- เคยได้รับวัคซีน ซิโนแวค 2 เข็ม/ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม และเข็ม 3 แอสตร้าเซนเนก้า
ภายในวันที่ 4 ม.ค. 2565
ให้บริการวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” ณ ตึกราชูทิศ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย
ในวันที่ 4,6,11,13,18,20,25,27 พฤษภาคม 2565 เวลา 10.00 - 11.00 น.
(ทุกวันพุธและวันศุกร์ของเดือนพฤษภาคม 2565)
>>> ขอสงวนสิทธิ์ให้บริการวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” ตามเงื่อนไขที่ระบุเท่านั้น
กรณีไม่เป็นไปตามเงื่อนไขขอสงวนสิทธิ์ในการรับวัคซีน
>>> กรุณานำ บัตรประชาชน ปากกา มาด้วยในวันนัดหมาย
>>> สำหรับสตรีมีครรภ์สามารถรับวัคซีนได้เมื่ออายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์
โดยนำสมุดฝากครรภ์มาด้วยในวันรับบริการ
ที่มา : สถานเสาวภา สภากาชาดไทย
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553825692902426

แนวทางการจัดการผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของผู้ป่วย / ผู้ติดเชื้อโควิด 19
ผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง เช่น รับประทานอาหาร ดื่มสุรา อยู่ในสถานที่อากาศปิด โดยไม่สวมหน้ากากร่วมกับผู้ป่วย
สัมผัสใกล้ชิดกับ
1. ผู้ป่วยเข้าข่าย พบผลบวกตรวจด้วย ATK
2. ผู้ป่วยยืนยัน พบผลบวกตรวจด้วย RT-PCR
3. ผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการ พบผลบวกตรวจด้วย RT-PCR / ATK
เมื่อเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง
• กักตัวอยู่ที่บ้าน 5 วัน
• ตรวจสอบอาการป่วยทุกวัน ตรวจ ATK วันที่ 5 หลังสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยครั้งสุดท้าย หรือหากมีอาการตรวจ ATK ทันที
• สังเกตอาการตนเองต่ออีก 5 วัน
• ออกนอกพื้นที่ได้ ตรวจ ATK วันที่ 10 หลังสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยครั้งสุดท้าย
ที่มา : กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553837422901253

สธ.ชี้โควิด ใกล้เข้าสู่โรคประจำถิ่น
แนะ กทม.ผ่อนกิจการแบบค่อยเป็นค่อยไป
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ของประเทศไทยเริ่มคลี่คลายมากขึ้น พื้นที่ กทม.แนวโน้มดีขึ้น มีระบบดูแลรักษาผู้ติดเชื้อครอบคลุม ประชาชนได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 มากกว่า 60% สามารถเดินหน้าเข้าสู่การจัดการให้โควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่นได้ โดยมีมาตรการดูแลพื้นที่สำคัญ
สำหรับกรุงเทพมหานคร เป็นจังหวัดหนึ่งที่สถานการณ์ดีขึ้นเช่นกัน ผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อได้รับการดูแลรักษาที่บ้าน (Home Isolation) และแบบผู้ป่วยนอก “เจอ แจก จบ” ขณะที่การฉีดวัคซีนมีความครอบคลุมสูง คือ เข็ม 1 และเข็ม 2 ได้เกิน 100% ส่วนเข็มกระตุ้นหรือเข็ม 3 มีความครอบคลุมมากกว่า 60% สามารถเดินหน้าเข้าสู่การเป็นจังหวัดที่บริหารจัดการโรคโควิด 19 แบบโรคประจำถิ่น (Endemic Sandbox) ได้แนะนำให้มุ่งเน้นการจัดการในพื้นที่สำคัญ เช่น สวนสาธารณะ ที่มีคนจำนวนมาก กิจการที่มีความเสี่ยง เช่น ผับ บาร์ รวมถึงขนส่งสาธารณะต่าง ๆ โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับการผ่อนคลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ประชาชนค่อยๆ ปรับตัว และการเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553876952897300

รายละเอียดผู้เสียชีวิตของประเทศไทย
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565 จำนวน 77 ราย
แหล่งข้อมูล : กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553935139558148

สธ. เผย สถานการณ์โควิดภาพรวมลดลง
ภาคอีสานยังมียอดผู้ติดเชื้อสูง
ย้ำ!! ฉีดเข็มกระตุ้นจะลดการเสียชีวิตได้ถึง 31 เท่า
นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อ 9,331 ราย ลดลงจากหลายสัปดาห์ก่อนที่มีผู้ติดเชื้อวันละประมาณ 2 หมื่นราย ผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ผู้ป่วยรักษาหายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลผู้ติดเชื้อที่ลงทะเบียนรับการรักษาของ สปสช. ทั้งแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักที่บ้าน (OPSI) และระบบรักษาที่บ้าน (HI)
การรายงานผู้เสียชีวิตมีการปรับรายงานแยกระหว่างกลุ่มติดเชื้อโควิด ปอดอักเสบและเสียชีวิต กับกลุ่มที่มีโรคเรื้อรังและตรวจพบโควิด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การติดเชื้อและเสียชีวิตที่เกิดขึ้นจริงซึ่งทั้งสองกลุ่มมีมาตรการที่จะลดการตายจากการดูแลรักษาที่ต่างกัน จะช่วยให้วางมาตรการการรักษาในอนาคตได้ ทั้งนี้ สายพันธุ์โอมิครอนส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการไม่มาก แต่หากไม่ฉีดวัคซีน ยังมีโอกาสป่วยหนักรุนแรงและทำให้เสียชีวิตสูง โดยการฉีดเข็มกระตุ้นจะลดการเสียชีวิตได้ถึง 31 เท่า ดังนั้น ต้องช่วยกันนำผู้สูงอายุไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งปัจจุบันฉีดได้เพียง 41.5% ขณะที่ความครอบคลุมที่จะช่วยลดการป่วยหนักเป็นวงกว้างได้ คือ 60% ขึ้นไป ส่วนเด็กอายุ 5-11 ปี ขอให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานไปฉีดก่อนเปิดเทอมเช่นกัน
“สถานการณ์การติดเชื้อ ป่วยหนักและเสียชีวิต ยังเป็นไปตามคาดการณ์ ส่วนผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจจะลดลงตามผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยปอดอักเสบหรือไม่ ยังต้องติดตามอีก 2-4 สัปดาห์ ขณะนี้จึงยังคงแจ้งเตือนภัยระดับ 4 ทั่วประเทศ ขอให้หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มและสถานที่เสี่ยง เพราะบางจังหวัดยังพบการติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคอีสานส่วน 40 กว่าจังหวัดที่มีจำนวนผู้ป่วยลดลง และมีแนวโน้มคงตัว ได้ให้จัดทำแผนปฏิบัติการเตรียมพร้อมเข้าสู่ระยะโรคประจำถิ่น เพื่อมั่นใจว่าหากมีเชื้อกลายพันธุ์ที่ระบาดง่ายรุนแรงมากขึ้นจะสามารถรับมือได้ โดยต้องมีวัคซีนและแพทย์เพียงพอให้การดูแลรักษาป้องกันได้ตามมาตรฐาน”
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/553989809552681
แสดงความคิดเห็น
🇹🇭มาลาริน💖3พ.ค.ไทยติดเชื้อใหม่อันดับ8โลก/ป่วย9,721คน หายป่วย20,145คน ตาย77คน/สธ.-ศธ. เผยมาตรการสกัดโควิดรับเปิดเทอม
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อในรอบ 24 ชั่วโมง ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 9,721 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 51 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 77 คน ผู้ป่วยยืนยันสะสมระลอกมกราคม 2,058,101 ราย ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มระบาด 4,281,536 ราย เสียชีวิตรวม 28,778 คน
วันนี้ (3 พ.ค.) เมื่อเวลา 07.30 น. ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมของประเทศไทยประจำวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 ดังนี้.....👇
พบจํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ เพิ่มขึ้น 9,721 ราย แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,670 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 51 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 77 คน ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 7,080 คน ตั้งแต่ 1 มกราคม - 2 พฤษภาคม 2565 มีผู้ป่วยสะสม 2,058,101 ราย
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,669 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 22 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 21.2
ผู้ติดเชื้อสะสมนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดเมื่อต้นปี 2563 มีจำนวน 4,281,536 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 28,778 คน ทำให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานเพิ่มเติมว่า ยอดผู้หายป่วยจากโควิด-19 ในประเทศ ผู้หายป่วยรายใหม่วันนี้ 20,145 ราย ผู้หายป่วยสะสม 1,965,697 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม - 2 พฤษภาคม 2565) หายป่วยสะสมนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดเมื่อต้นปี 2563 มีจำนวน 4,134,191 ราย ผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการรักษาตัว 118,567 ราย
https://mgronline.com/qol/detail/9650000041795
https://www.bangkokbiznews.com/social/1002182
2 พ.ค.2565 ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ข้อมูล ณ วันที่ 2 พ.ค.65 เวลา 01.00 น. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 76 จังหวัด มีเพียงจังหวัดลำพูนเท่านั้นที่วันนี้ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ โดย 10 อันดับจังหวัดติดเชื้อสูงสุด พบว่า.....👇
กทม.ยังคงมีผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ในอันดับ 1 อยู่ที่ 2,378 ราย ลดลงจากเมื่อวาน (จาก 2,870 ราย) อันดับ 2 บุรีรัมย์ 408 ราย (จาก 437 ราย) อันดับ 3 สมุทรปราการ 315 ราย (จาก 352 ราย) อันดับ 4 ชลบุรี 294 ราย (จาก 370 ราย) อันดับ 5 ศรีษะเกษ 271 ราย (จาก 428 ราย) อันดับ 6 ร้อยเอ็ด 251 ราย (จาก 302 ราย) อันดับ 7 สุรินทร์ 250 ราย (จาก 228 ราย) อันดับ 8 นนทบุรี 234 ราย (จาก 324 ราย) อันดับ 9 อุบลราชธานี 221 ราย (จาก 298 ราย) อันดับ 10 ขอนแก่น 205 ราย (จาก 266 ราย)
https://siamrath.co.th/n/344603
สธ.-ศธ. เผยรายละเอียดมาตรการสกัดโควิดรับเปิดเทอม 1 /2565 สธ.ยังประกาศกำหนดการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในกลุ่มเด็ก 12-17 ปีช่วงเดือนพ.ค.นี้อีกด้วย
วันที่ 3 พฤษภาคม 2565 สธ. – ศธ.ได้ประชุมร่วม สสจ. แจกแจงมาตรการที่สถานศึกษา และผู้ปกครองจะต้องปฏิบัติในช่วงเปิดเรียนแบบ On-Site ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ในวันที่ 17 พฤษภาคมที่จะถึงนี้
👉ประเมินความพร้อม
สำหรับแนวทางปฏิบัติของสถานศึกษานั้น ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ขั้นการเตรียมความพร้อม ทุกสถานศึกษาต้องประเมินตนเองในระบบ Thai Stop COVID Plus ซึ่งจะมีการประเมินในแง่ของการเตรียมการ และการจัดการด้านกายภาพรวม 44 ข้อ ก่อนจะส่งไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดที่โรงเรียนตั้งอยู่ ที่เป็นผู้พิจารณาอนุญาตให้เปิดเรียนได้
👉ปรับผังห้องเรียนลดระยะห่าง
ในส่วนของการเว้นระยะห่างในห้องเรียน จะลดจาก 1.5 เมตร เหลือ 1 เมตร ดังนั้นห้องเรียนขนาด 8 X 8 เมตร สามารถจัดโต๊ะเรียนได้ 7 แถวๆ ละ 6 ที่นั่ง รวม 42 คน ซึ่งโดยปกติ 1 ห้องเรียนจะมีนักเรีนนประมาณ 40 คน จึงไม่มีปัญหาในเรื่องการเว้นระยะห่าง
แต่อาจจะมีปัญหาในโรงเรียนประถมศึกษาบางแห่งที่เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ บางห้องอาจจะมีขนาด 6 X 8 เมตร
ส่วนโรงเรียนที่เรียนในห้องปรับอากาศ ต้องมีการเปิดระบายอากาศ ทุก 2 ชั่วโมง เป็นเวลา 10 นาที ในช่วงพัก
โรงอาหารแยกสำรับ งดพูดคุย
โรงอาหารควรมีการแยกสำรับกับข้าวแยกพื้นที่ และงดการพูดคุยขณะกินอาหาร รวมถึงเมื่อมีการเล่นร่วมกัน ควรสวมหน้ากากตลอดเวลา
👉แผนเผชิญเหตุ
แต่ถ้ามีการแพร่ระบาดในโรงเรียนขอให้ดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุ เช่น หากพบผู้ติดเชื้อเข้าไปเรียนให้ปิดทำความสะอาด 3 วัน แล้วเปิดเรียนตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีผู้ติดเชื้อมากกว่า 5 คน มีการแพร่กระจายมากกว่า 2 ห้อง ทางโรงเรียนต้องประสานไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อเข้ามากำกับดูแล ระงับการแพร่ระบาดต่อไป
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสริมว่า การทำตามแผนเผชิญเหตุ เมื่อเจอผู้ติดเชื้อหรือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงนั้น จะไม่ปิดชั้นเรียนหรือโรงเรียน เพราะนักเรียนควรได้รับการเรียนรู้อย่างเต็มที่ที่โรงเรียน
โดยหากพบผู้ติดเชื้อในโรงเรียนประจำ ให้แยกกักตัวที่โรงเรียน (School Isolation) ตามมาตรการ Sandbox: Safety Zone in School (SSS)
สำหรับโรงเรียนไป – กลับ ให้ปฏิบัติตามมาตรการการรักษาของกระทรวงสาธารณสุข หรือพิจารณาจัดทำ School Isolation โดยคณะกรรมการสถานศึกษา หน่วยงานสาธารณสุข ผู้ปกครอง ชุมชน พิจารณาร่วมกันให้ความเห็นชอบตามความเหมาะสม
กรณีพบผู้ติดเชื้อในห้องเรียน คือ ให้ทำความสะอาดห้องเรียน ตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข แล้วดำเนินการเรียนการสอนได้ตามปกติ
ส่วนเมื่อพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ถ้านักเรียนได้วัคซีนครบตามแนวทางปัจจุบันและไม่มีอาการ ไม่แนะนำให้กักกัน พิจารณาให้เข้าเรียนได้โดยพิจารณาร่วมกันระหว่างครอบครัว สถานบริการสาธารณสุข และสถานศึกษา
กรณีไม่ได้รับวัคซีน ให้แยกกักกัน (Self-quarantine) เป็นเวลา 5 วัน และติดตามเฝ้าระวังอีก 5 วัน รวมเป็น 10 วัน
ทั้งนี้ หากมีอาการ ให้ตรวจคัดกรอง ATK ทันที หากไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องตรวจ ATK โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูง แนะนำให้ตรวจ ATK ในวันที่ 5 และวันที่ 10 หลังจากสัมผัสผู้ติดเชื้อ
👉เร่งฉีดวัคซีนไฟเซอร์กลุ่มเด็ก
นอกจากมาตรการป้องกันและรับมือกรณีพบผู้ติดเชื้อแล้ว สธ. ยังเดินหน้าแผนฉีดวัคซีนในเด็ก โดย นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า มาตรการเข้ารับวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น ช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1/2565 นั้น
ในกรณีเด็กอายุ 12 – 17 ปี ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็มแล้ว ให้เข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีม่วง เข็มกระตุ้น (เข็ม 3) ขนาดครึ่งโดส และต้องมีระยะห่างจากเข็ม 2 เป็นเวลา 4 – 6 เดือนขึ้นไป
สำหรับเด็กสุขภาพแข็งแรง เข้ารับบริการฉีดวัคซีน ผ่านระบบสถานศึกษา เดือนพฤษภาคม 2565 และรับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว ระหว่างวันที่ 9 – 31 พฤษภาคม 2565 พร้อมกันทั่วประเทศ
กรณีเด็กนอกระบบการศึกษา รับวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น (เข็ม 3) จากสถานพยาบาล ได้แก่ กลุ่มเด็ก Home School จัดการเรียนการสอนที่บ้าน กลุ่มเด็ก 7 กลุ่มโรค (อ้วน โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง หัวใจและหลอดเลือด ไตวายเรื้อรัง มะเร็งและภูมิคุ้มกันต่ำ เบาหวาน และโรคพันธุกรรม กลุ่มดาวน์ มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทรุนแรง เด็กมีพัฒนาการล่าช้า) และกลุ่มที่มีเงื่อนไขหรือมีข้อจำกัด
การรับวัคซีนตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข ให้เข้ารับวัคซีนผ่านระบบสถานพยาบาลตามความสมัครใจของผู้ปกครองและผู้รับวัคซีน
https://www.prachachat.net/breaking-news/news-923288
สถานการณ์ดีขึ้นทั่วโลก....
ไทยยังติดเชื้อสูงแต่มีแนวโน้มลดลงๆต่อเนื่องค่ะ