เรื่องราว มะเร็งต่อมลูกหมาก ระยะสุดท้าย ตั้งแต่ตอนเจอ จนวาระสุดท้ายของชีวิต

เรื่องนี้เป็นเรื่องของพ่อผมเอง ผมคิดว่าถ่ายทอดเพื่อเป็นประสบการณ์น่าจะดีไม่น้อย และน่าจะมีหลายเรื่องที่หลายคนน่าจะยังไม่รู้ครับ อีกทั้ง ผมก็ได้หาข้อมูลส่วนนึงจาก pantip ไปด้วย ดังนั้น ผมกลับมาถ่ายทอดกลับ โดยละเอียดเลยจะดีกว่า ถือว่าแลกเปลี่ยนกัน Take and Give back

เริ่มต้น
ย้อนไปเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน พ่อผมอายุ 65 ปีในตอนนั้น เริ่มมีอาการต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำบ่อยกลางดึก และก็เหมือนระหว่างวันฉี่ไม่ค่อยออก แต่ปวดฉี่นะ อาการค่อยๆมากขึ้นจนรบกวนการนอนตอนกลางคืน เพราะต้องตื่นมาฉี่บ่อย แต่ก็ไม่ค่อยออก แต่ก็ยังทนๆไป จนกระทั่งวันหนึ่งมีอาการฉี่ไม่ออกเลย และก็รู้สึกเจ็บกระเพาะปัสสาวะมากๆ และทนไม่ไหวอีกแล้ว ก็เลยต้องนำส่งโรงพยาบาล

สรุปความได้ว่า ไม่สามารถปัสสาวะเองได้ เนื่องจากมีการอุดตัน ตอนนั้น หมอตรวจพบค่า PSA ได้ 1500 (ถ้าจำไม่ผิด) จึงค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่การแก้ไขเรื่องเฉพาะหน้า ได้ทำการใส่สายสวน และ เจาะหน้าท้องเพื่อระบายของเสียออก (เพราะสายก็ระบายไม่ทัน โดยในตอนนั้นมีอาการเหมือนจะไตวายแล้ว เนื่องจากปัสสาวะไม่ออกสะสมเป็นเวลานาน แต่ก็ผ่านช่วงวิกฤติมาได้ 

ดังนั้น อายุเยอะ เริ่มฉี่ไม่ออก รีบไปหาหมอได้เลย เสี่ยงแล้ว

หมอก็ให้ทางเลือก ว่าผ่าตัดต่อมลูกหมาก หรือว่า ฝังแร่ แต่การผ่าตัดน่าจะให้ผลที่ดีกว่า เพราะว่าเป็นการตัดอาหารของมะเร็ง เนื่องจากอาการตอนนั้นเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสี่ แพร่กระจายไปที่กระดูกบริเวณสะโพกบ้างแล้ว

พ่อผมก็ OK ผ่าตัดไปเล้ย จบตรงนี้ คือไม่มีต่อมลูกหมากแล้ว
อันนี้ หลายคนต้องลอง research เพิ่มเติม หรือปรึกษาหมอนะครับ ว่าทางเลือกไหน ให้ผลดีเสียอย่างไร พ่อผมเข้าใจหมดแล้ว จัดหนักด้วยการผ่าออกเลย

หลังจากผ่าตัดไป ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ใช้ชีวิตเปิดร้านขายของชำตามปกติ ดูแลหน้าร้าน ไปเดินซื้อของเติมร้าน แต่ที่เริ่มเปลี่ยนไปจากวันนั้นก็คือ อาหารการกิน ก็ดูเหมือนจะเลิกเนื้อสัตว์ไป ถ้ากินก็จะกินปลาเท่านั้น และพยายามไปหาการรักษาทางเลือกควบคู่ไปในตอนนั้น รวมทั้งยังมี follow up กับหมออย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้ ต้องขอขอบคุณสิทธ์บัตรทองจริงๆเลย ที่ช่วย safe ค่าใช้จ่ายไปได้เยอะมากๆจริงๆ และคุณหมอ รพ ธรรมศาสตร์ในหลายๆส่วน ที่ดูแลคนไข้ทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะมาใช้บริการด้วยสิทธ์หรือเงินสดใดๆก็ตาม

เวลาผ่านไป ประมาณ3ปีครึ่งหรือสี่ปีได้ การ follow up ทำให้พบว่า ค่า PSA เริ่มกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับอาการเดิม ฉี่ไม่ออกอีกแล้ว คราวนี้ ก็พบว่า ค่า PSA กลับมาสูงหลักหลายสิบอีกแล้ว ทรงไม่ดี หมอก็มีทางเลือกว่า ยาพุ่งเป้า หรือว่าทำคีโม สรุปกันอยู่พักใหญ่ก็เลือก ยาพุ่งเป้า เพราะราคาค่อนข้างแพงเลย แต่น่าจะทรมานน้อยกว่า ก็รับยามา 

แต่จากเหตุการณ์คราวนี้สิ่งที่ต่างไปก็คือ ต้องเสียบสายสวนปัสสาวะ พร้อมกับพกถุงปัสสาวะไว้กับตัวแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นอาการฉี่ไม่ค่อยออกจะกลับมาได้อีก และพาลจะไม่ได้นอนอีกครั้ง แต่ก็ยังใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือถุงฉี่ที่ต้องพกกันไปทุกที่นั่นแหล่ะ

หลังจากที่กินยาพุ่งเป้าได้อยู่ไม่กี่เดือน ก็เอาอีกแล้ว PSA ก็กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หมอก็บอกว่า มันกลับมาอีกแล้วนะ คราวนี้ จะเหลือทางสุดท้าย คือคีโม
พ่อผมผู้เด็ดเดี่ยว ก็ตัดสินใจแน่วแน่อยู่ก่อนแล้ว ว่าจะไม่รับคีโมอย่างแน่นอน แล้วเค้าก็ไปหาแพทย์ทางเลือกอะไรต่างๆตามแนวทางที่เค้าตัดสินใจ ก็ทำการค้นคว้าหาความรู้ อะไรที่น่าจะดี น่าจะได้ผล ก็ลอง (ถ้ามันไม่ดูสุ่มเสี่ยงหรือแปลกๆ หรืออันตราย หรือ ออกแนวไม่มีหลักการมารองรับอ่ะนะ)

เวลาก็ผ่านไปอีกสามสี่เดือนต่อมา เริ่มมีอาการเลือดออกมาในถุงฉี่ เอาล่ะ เรื่องใหม่อีกละ
แพทย์ก็ยังพยายามช่วยรักษา โดยการทำเรื่องส่งไปฉายรังสี เพื่อน่าจะหยุดเลือดที่ไหลออกมานี้ได้ หลังจากที่ฉายไปวันละครั้ง 10 วัน สรุป เลือดยังไหลเหมือนเดิม

สุดท้ายหมอก็ลงความเห็นว่า ต้องคีโมนะ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วแหล่ะ แน่นอน พ่อผมก็ยังไม่เปลี่ยนใจ ก็ปฏิเสธอีกครั้ง

จากนั้นไม่นาน ประมาณ เดือนนึง อาการก็เริ่มไม่ค่อยดี โดยขาเริ่มบวม อัณฑะบวม เดินลำบาก ส่วนเลือดก็ยังมีไหลมาบ้างแล้วแต่ มาทุกวัน หรือ เว้นวันสองวันบ้างแล้วแต่เลย หมอก็พยายามแก้ปัญหาเรื่องขาบวม ลอง ultra sound ดูเส้นเลือด ก็ไม่พบลิ่มเลือดอุดตัน ก็ลงความเห็นว่า อวัยวะภายใน น่าจะเริ่มบวมมากขึ้นจนไปกดทับเส้นเลือดที่ขาทำให้เลือดหมุนเวียนไม่ดี

ช่วงนี้ก็เวียนไปหาหมออยู่สัปดาห์ละวันสองวัน อยู่นานเดือนครึ่ง

จนกระทั่งเริ่มไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง พ่อผมผู้ซึ่งแข็งแรงเดินเหินมาได้ดีตลอด ขับรถกระบะเกียร์ manual ออกไปซื้อของตามห้างมาขายที่ร้าน ก็กลับหมดแรง และเหนื่อยง่ายลงอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งรู้ตัวว่าจะไม่เปิดร้านขายของต่อแล้ว ขอวางมือเพื่อดูแลรักษาตัวเอง (อ้อ บอกก่อน ที่เปิดร้านขายของ เพราะเค้าอยากเจอผู้คน ได้คุย ได้เจอคนอื่นๆ และได้เงินด้วย แต่เค้าไม่ได้มองว่ามันเป็นอาชีพที่ต้องทำเพื่อหาเงิน ไม่เลย เค้าเลยจุดนั้นไปนานมากแล้ว และมองว่า นี่คือความสุขของเค้า เงินเป็นของแถม แค่นั้นเลย) 

ครั้งรองสุดท้ายที่ไปหาหมอ หมอได้ทำการส่งพ่อผมไปที่ส่วนงานดูแลรักษาแบบประคับประคอง ซึ่งตอนนั้น ไม่มีใครเข้าใจ ว่าคืออะไร และไม่ได้ค้น google ด้วย แต่เข้าใจไปเอง (ซึ่งผิด อย่าหาทำ) ว่าก็คงดูแลแบบมาหาหมอรักษาแบบปกติ เป็นอะไรก็ค่อยๆแก้ๆซ่อมๆกันไปเหมือนที่ผ่านมาล่ะมั้ง (ย้ำอีกทีว่าผิด)

แต่อาการก็ทรุดลงเรื่อยๆ เพียงช่วงเวลาไม่ถึงเดือน จากเดินเหินปกติ หลังจากที่ขาบวม และเริ่มยุบ ก็กลายเป็นขาอ่อนแรง และร่างกายก็อ่อนแรงลงด้วย ด้วยความรวดเร็ว ถ้านับวันจากขาบวม จนกลับเริ่มเดินไม่ได้ก็ครึ่งเดือนได้โดยประมาณ

ถึงตอนนี้ ก็ไม่ได้ไปหาหมอแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ได้ไปคือเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะเท่านั้น เพราะตันบ่อยมากขึ้นแล้ว เนื่องจากมีลิ่มเลือดไปตันบ่อย โดยหมอเปลี่ยนเป็นสายใหญ่ขึ้น ซึ่งพยาบาลสองคนใส่ไม่เข้า ต้องให้หมอมาใส่ ซึ่งพ่อผมบอกเลย ว่าทุกครั้งเจ็บ แต่คราวนี้เจ็บมากๆ (ข้างในน่าจะบวมมากๆแล้ว)

ย้อนไปนิด ตอนที่พ่อผมยังมีแรง และยังไปหาหมอ ผมก็ไปรับกลับบ้าน ผมเคยถามนะ ว่ากลัวมั้ย พ่อผมถาม กลัวอะไร? เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดา อะไรเสียก็ซ่อมไป แค่นั้นแหล่ะ คือทุกคนรู้ เค้าก็รู้ว่าอีกไม่นานหรอก เค้ารู้ดีกว่าใครแน่นอน ผมก็ถามว่า อยากไปเที่ยวไหนมั้ย อยากกินหรืออยากทำอะไรอีกหรือเปล่า เค้าก็บอกว่าไม่เลย อยากอยู่บ้านนี่แหล่ะ เที่ยวมาเยอะแล้ว ไม่อยากเที่ยวแล้ว และไม่ได้อยากกินอะไรเป็นพิเศษ ก็ปกติแหล่ะ

ตัดภาพมาปัจจุบัน หลังจากที่เริ่มเดินไม่ได้ โดยในตอนนั้น ผมก็เริ่มคิดว่า จะต้องวางแผนเพื่อดูแลท่านอย่างไรดี เพราะว่า ตอนนี้กลายเป็นเริ่มติดเตียงแล้ว แม่ ก็อายุเยอะไม่ได้ต่างกัน ก็น่าจะดูแลไม่ไหวแน่นอน สองคนตายาย (มีลูก 4 คน ผมและพี่ชาย แยกบ้านออกไป เหลือน้องสาวคนเล็ก ที่ก็ต้องดูแลลูกตัวเองและทำงานเป็นหลักอยู่)

เรื่องราวต่อจากนี้ คือช่วงเวลาปัจจุบัน (ณ วันที่จดบันทึก คือประมาณเดือน 3 ปี 2022) ที่ผมจำ detail ได้ค่อนข้างดี

วันอังคาร 1 มีนาคม ในตอนนั้น ที่ยังไม่มีใครในบ้านที่รู้จักและเข้าใจเรื่องสถานที่ ที่รับดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (เพราะตอนที่หมอส่งไปให้ที่ศูนย์ดูแลแบบประคับประคอง พ่อผมก็ไปไม่ไหวแล้ว เลยคลาดกัน) แต่ทุกคนรู้ว่าช่วงเวลาสุดท้ายใกล้เข้ามาแล้ว ก็เลยตัดสินใจ นำพ่อส่งโรงพยาบาล เพื่อคิดว่า อาการช่วงนี้แย่ลงกว่าเดิมมากแล้ว อาจจะได้ admit เลย

สรุปก็คือ ไม่มีอาการอะไรที่เร่งด่วนหรือร้ายแรงที่ต้อง admit ก็ต้องพากลับบ้านอีก (อันนี้ ผมคิดผิดไปเองจริงๆ และอย่าทำแบบนี้กันนะ แต่ถ้าต้องทำยังไงลองอ่านต่อไป)

ในตอนนั้น พ่อผมที่เดินไม่ค่อยได้แล้ว แล้วก็มีอาการเจ็บที่ใต(เค้าว่าอย่างนั้น) เมื่อเวลาที่ต้องเปลี่ยนอริยาบท เลยไม่อยากเคลื่อนไหว หรือเดินทางแล้ว
 
ผมเลยหาข้อมูลเพิ่ม จนกระทั่ง ผมเข้ามาอ่านเรื่องโรคนี้ในระยะท้ายๆ แล้วไปเจอ comment นึง ที่แนะนำ ศูนย์บริรักษ์ ศิริราช ซึ่งจะดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งก็สอดคล้องกับความต้องการของพ่อผมเลย เพราะตอนนั้น พ่อผมก็กลัวจะเป็นภาระคนอื่นรวมทั้งลูกหลาน ไม่อยากอยู่บ้าน หรือถ้าอยู่บ้านก็อยากให้มีพยาบาลมาดูแล ซึ่ง ศูนย์บริรักษ์ ศิริราช เค้าจะรับดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเลย ก็เลยหาข้อมูลเพิ่มทำให้พบว่า มีหลายที่ ที่ให้บริการเหมือนกัน ที่ใกล้ที่สุดสำหรับพ่อผมคือ ศูนย์ธรรมรักษ์ ที่ก่อตั้งโดยโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถานที่ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย และมีส่วนที่ดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยติดเตียงด้วย (ในพื้นที่เดียวกัน แต่แยกโซนจากกัน) ทำให้ไม่ต้องคิดเลย รีบประสาน และนำพ่อผมเข้ามาอยู่ทันที (เพราะปกติพ่อรับการรักษาที่ รพ ธรรมศาสตร์อยู่แล้ว)
 
ทีนี้ ผมขออธิบายอีกนิด เรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือ อีกชื่อที่คนไทยไม่คุ้นหู ก็คือ การรักษาแบบประคับประคอง มีการมุ่งเน้นเพื่อการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ให้ทั้งตัวคนไข้ และครอบครัว โดยไม่มีการรักษาแบบที่มีในโรงพยาบาลอีกแล้ว ซึ่งเค้าจะเป็นสถานที่ ที่แยกออกมาต่างหากจากโรงพยาบาล ทำสภาพแวดล้อมให้อยู่ได้แบบสบายๆ facility อะไรแม้ว่าจะดูคล้ายโรงพยาบาล แต่มีเน้นเพียงแค่การกู้ชีพเป็นหลักเท่านั้น 

แต่เรื่องนี้มีรายละเอียด เพราะว่าเค้าจะเน้นให้คนป่วยและญาติเข้าใจการดำเนินไปของร่างกาย และจิตใจ ของทั้งคนป่วยและญาติ ในช่วงเวลาสุดท้ายของคนป่วย รวมทั้ง มีการให้ผู้ป่วยได้แสดงเจตจำนงค์การรับการรักษาแบบต่างๆ ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ตั้งแต่ตอนที่ยังมีสติอยู่ เช่น สอดท่อมั้ย, รับ oxygen หรือเปล่า, ปั้มหัวใจมั้ย บลาๆๆ อะไรเหล่านี้ เพราะบางคน ไม่ได้อยากจะตื่นขึ้นมาเพื่อนอนรับความเจ็บปวดอีกแล้ว
 
และใช่ครับ สำหรับพ่อผม ไม่ต้องเดา ก็คือ ไม่รับการกู้ชีพใดๆ ไม่ต้องเสียสายน้ำเกลือ สารอาหาร สอดท่อ หรืออะไรทั้งสิ้น คือไม่เอาเลย ถ้าจะไปก็ให้ไปได้เลย ซึ่งอันนี้ ทั้งครอบครัวผมก็เคารพในการตัดสินใจนั้นครับ รวมทั้งตอนที่ยังหนุ่ม ท่านก็ทำเรื่องบริจาคร่างกายเอาไว้นานแล้วด้วย ก็ยังคงยืนยันตามเดิม
 
ประสานวันพุธที่ 2 ทางศูนย์ก็ได้รับการยืนยันจากอาจารย์เจ้าของ case ให้เข้ารับการรักษาได้เลย

>> เดี๋ยวต่อใน comment ยาวเกิน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่