ตอนนี้กลุ้มใจมากๆเลยค่ะ ขอฟังความคิดเห็นหน่อยนะคะ
เล่าแบคกราวน์คร่าวๆว่าเรียนจบป.ตรี ทำงานเป็นบุคลากรทางการแพทย์มา 3-4 ปีแล้ว เจอพิษโควิดเข้าไปสาหัสมาก บ้านช่องไม่ได้กลับ หน้าพ่อแม่แทบไม่ได้เจอ ทุกเดือนต้องอยู่เวรดึก 7-10 คืน บางเดือนได้หยุดงาน 3 วัน มีเดือนนึงทำโอทีไป 230 ชั่วโมง ร่างกายทรุดโทรมมากๆ เหลืออดกับความบัดซบของอาชีพนี้เลยลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์และเรียนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย ค้นพบว่ามีความสุขมากๆและเรียนได้ดีมากๆ จากที่ตอนมหาลัยเรียนแล้วได้ที่โหล่ของคลาสตลอดจนเข้าใจไปแล้วว่าตัวเองโง่บรม กลายเป็นว่าตอนนี้สอบได้ที่หนึ่ง เรียนได้ท็อปคลาสตลอด เลยมีความตั้งใจจะไปเรียนภาษาระยะยาวที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วเปลี่ยนสายการทำงานมาทำงานที่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นแทน เช่น ล่าม หรืองานด้านนำเข้าส่งออกเครื่องมือแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น จะได้ไม่เสียเวลาเรียนหรือเสียเงินเรียนไปเปล่าๆ
เลยนำมาสู่การตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนภาษา 1 ถึง 1 ปีครึ่ง ต่อหลักสูตรเซมมงอีก 2 ปี (วิทยาลัยวิชาชีพ) โดยเราตั้งใจจะเรียนสาขาธุรกิจระหว่างประเทศ แล้วกลับมาทำงานที่ไทย แต่ปัญหาคือหัวข้อกระทู้เลยค่ะ ตอนนี้กังวลกับสุขภาพของพ่อแม่มากๆ ทั้งคู่อายุใกล้จะ 70 แล้ว อีกสองสามปีเท่านั้น (เป็นลูกหลงค่ะ แม่ท้องเราตอนอายุ 40 กว่าๆ) ระยะนี้ทั้งพ่อและแม่ก็เริ่มเจ็บป่วยออดๆแอดๆ เริ่มเข้าออกโรงพยาบาลถี่ขึ้น ปัญหาสุขภาพเริ่มถามหา ความดันโลหิตสูง ปวดข้อ ต่อมลูกหมากโต ที่สำคัญคือทั้งพ่อแม่ดันเป็นพวกบ้างาน อยู่เฉยๆไม่ได้กันทั้งคู่ รักการทำสวนปลูกผักมาก พอเห็นพวกท่านมีความสุขกับงานสวนเราก็ไม่กล้าห้าม ทั้งที่ในใจคืออยากให้อยู่เฉยๆแล้วพักผ่อนใช้ชีวิตหลังเกษียณกันได้แล้ว
ตอนนี้ในใจเลยกังวลมากๆ การไปเรียนต่อต่างประเทศระยะเวลา 3-4 ปีเป็นอะไรที่นานมากๆ พูดตรงๆคือเรากลัวมากๆว่าพวกท่านจะเป็นอะไรไปในขณะที่เราอยู่ต่างประเทศ คืออยากใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ให้นานที่สุดในช่วงบั้นปลายชีวิตของพวกท่าน ไม่อยากเป็นลูกที่ต้องรีบบินตรงดิ่งกลับไทยในขณะที่พ่อหรือแม่โคม่าอยู่ห้องไอซียูไม่รับรู้อะไรแล้ว ไม่อยากเป็นลูกที่ทำได้แค่นั่งข้างเตียงพ่อแม่ที่นอนเป็นผักแล้วต้องมานั่งตัดสินใจแทนว่าจะเซ็นให้พ่อหรือแม่ถอดออกซิเจนหรือเครื่องพยุงชีพหรือเปล่า ไม่อยากเป็นลูกที่โดนบรรดาหมอๆมองว่าเป็น Acute กตัญญู Syndrome หรือแย่กว่านั้นคือกลับมาไม่ทันได้ดูใจด้วยซ้ำ แต่จะให้รอจนพ่อแม่จากโลกนี้ไปก่อนค่อยไปเรียนก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่เราจะได้ทำตามฝันของตัวเองบ้าง ใครจะไปคาดเดาอนาคตได้ขนาดนั้น แถมยิ่งปล่อยเวลาล่วงเลยไปอายุเราก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนใกล้จะเลยเกณฑ์ที่ร.ร.ที่ญี่ปุ่นจะรับแล้ว
ก็เลยยอมรับในข้อนี้แล้วคิดว่าจะลดระยะเวลาไปเรียนต่อเหลือแค่ปีเดียว พยายามมุ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นจากที่ไทยไปให้ได้มากที่สุด เอาให้ได้จนจบ N4 หรือใกล้เคียง N3 จะได้ใช้เวลาเรียนที่ต่างประเทศให้น้อยลง แล้วก็ตั้งใจจะกลับมาเรียนด้านธุรกิจระหว่างประเทศหรือหลักสูตรระยะสั้นอื่นๆที่ไทยแทน
คิดว่าเส้นทางนี้คงตอบโจทย์ของเรามากที่สุดแต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่อยากขอคำแนะนำให้คลายกังวลค่ะ คือ
คิดว่าเราตัดสินใจถูกไหมคะที่วางแผนชีวิตแบบนี้? หรือใครมีคำแนะนำอื่นที่ดีกว่านี้ไหมคะ? เรารู้สึกว่าทำแบบนี้มันดูครึ่งๆกลางๆยังไงชอบกล แบบจะไปเรียนก็ไปไม่สุด แค่ปีเดียวมันจะเพียงพอให้กลับมาทำอะไรได้หรือเปล่า? จะเสียเวลาเสียเงินไปเปล่าๆไหมคะ
ป.ล. ขอเล่าเสริมนิดนึงว่าใจจริงๆอยากไปทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศมากๆ แต่ติดอยู่ที่มีห่วงคนทางบ้านเนี่ยแหละ ข้อเดียวเลยค่ะ คือรักพ่อกับแม่และพี่น้องมาก และตั้งใจไว้ว่าจนกว่าพ่อแม่จะไปจากโลกนี้แล้วจะไม่ออกนอกประเทศเด็ดขาด แต่ถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่เมื่อไหร่จะหาทางไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศทันที
อยากไปเรียนต่อต่างประเทศหลายๆปีแต่เป็นห่วงสุขภาพพ่อแม่มากๆ
เล่าแบคกราวน์คร่าวๆว่าเรียนจบป.ตรี ทำงานเป็นบุคลากรทางการแพทย์มา 3-4 ปีแล้ว เจอพิษโควิดเข้าไปสาหัสมาก บ้านช่องไม่ได้กลับ หน้าพ่อแม่แทบไม่ได้เจอ ทุกเดือนต้องอยู่เวรดึก 7-10 คืน บางเดือนได้หยุดงาน 3 วัน มีเดือนนึงทำโอทีไป 230 ชั่วโมง ร่างกายทรุดโทรมมากๆ เหลืออดกับความบัดซบของอาชีพนี้เลยลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์และเรียนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย ค้นพบว่ามีความสุขมากๆและเรียนได้ดีมากๆ จากที่ตอนมหาลัยเรียนแล้วได้ที่โหล่ของคลาสตลอดจนเข้าใจไปแล้วว่าตัวเองโง่บรม กลายเป็นว่าตอนนี้สอบได้ที่หนึ่ง เรียนได้ท็อปคลาสตลอด เลยมีความตั้งใจจะไปเรียนภาษาระยะยาวที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วเปลี่ยนสายการทำงานมาทำงานที่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นแทน เช่น ล่าม หรืองานด้านนำเข้าส่งออกเครื่องมือแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น จะได้ไม่เสียเวลาเรียนหรือเสียเงินเรียนไปเปล่าๆ
เลยนำมาสู่การตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนภาษา 1 ถึง 1 ปีครึ่ง ต่อหลักสูตรเซมมงอีก 2 ปี (วิทยาลัยวิชาชีพ) โดยเราตั้งใจจะเรียนสาขาธุรกิจระหว่างประเทศ แล้วกลับมาทำงานที่ไทย แต่ปัญหาคือหัวข้อกระทู้เลยค่ะ ตอนนี้กังวลกับสุขภาพของพ่อแม่มากๆ ทั้งคู่อายุใกล้จะ 70 แล้ว อีกสองสามปีเท่านั้น (เป็นลูกหลงค่ะ แม่ท้องเราตอนอายุ 40 กว่าๆ) ระยะนี้ทั้งพ่อและแม่ก็เริ่มเจ็บป่วยออดๆแอดๆ เริ่มเข้าออกโรงพยาบาลถี่ขึ้น ปัญหาสุขภาพเริ่มถามหา ความดันโลหิตสูง ปวดข้อ ต่อมลูกหมากโต ที่สำคัญคือทั้งพ่อแม่ดันเป็นพวกบ้างาน อยู่เฉยๆไม่ได้กันทั้งคู่ รักการทำสวนปลูกผักมาก พอเห็นพวกท่านมีความสุขกับงานสวนเราก็ไม่กล้าห้าม ทั้งที่ในใจคืออยากให้อยู่เฉยๆแล้วพักผ่อนใช้ชีวิตหลังเกษียณกันได้แล้ว
ตอนนี้ในใจเลยกังวลมากๆ การไปเรียนต่อต่างประเทศระยะเวลา 3-4 ปีเป็นอะไรที่นานมากๆ พูดตรงๆคือเรากลัวมากๆว่าพวกท่านจะเป็นอะไรไปในขณะที่เราอยู่ต่างประเทศ คืออยากใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ให้นานที่สุดในช่วงบั้นปลายชีวิตของพวกท่าน ไม่อยากเป็นลูกที่ต้องรีบบินตรงดิ่งกลับไทยในขณะที่พ่อหรือแม่โคม่าอยู่ห้องไอซียูไม่รับรู้อะไรแล้ว ไม่อยากเป็นลูกที่ทำได้แค่นั่งข้างเตียงพ่อแม่ที่นอนเป็นผักแล้วต้องมานั่งตัดสินใจแทนว่าจะเซ็นให้พ่อหรือแม่ถอดออกซิเจนหรือเครื่องพยุงชีพหรือเปล่า ไม่อยากเป็นลูกที่โดนบรรดาหมอๆมองว่าเป็น Acute กตัญญู Syndrome หรือแย่กว่านั้นคือกลับมาไม่ทันได้ดูใจด้วยซ้ำ แต่จะให้รอจนพ่อแม่จากโลกนี้ไปก่อนค่อยไปเรียนก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่เราจะได้ทำตามฝันของตัวเองบ้าง ใครจะไปคาดเดาอนาคตได้ขนาดนั้น แถมยิ่งปล่อยเวลาล่วงเลยไปอายุเราก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนใกล้จะเลยเกณฑ์ที่ร.ร.ที่ญี่ปุ่นจะรับแล้ว
ก็เลยยอมรับในข้อนี้แล้วคิดว่าจะลดระยะเวลาไปเรียนต่อเหลือแค่ปีเดียว พยายามมุ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นจากที่ไทยไปให้ได้มากที่สุด เอาให้ได้จนจบ N4 หรือใกล้เคียง N3 จะได้ใช้เวลาเรียนที่ต่างประเทศให้น้อยลง แล้วก็ตั้งใจจะกลับมาเรียนด้านธุรกิจระหว่างประเทศหรือหลักสูตรระยะสั้นอื่นๆที่ไทยแทน
คิดว่าเส้นทางนี้คงตอบโจทย์ของเรามากที่สุดแต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่อยากขอคำแนะนำให้คลายกังวลค่ะ คือ
คิดว่าเราตัดสินใจถูกไหมคะที่วางแผนชีวิตแบบนี้? หรือใครมีคำแนะนำอื่นที่ดีกว่านี้ไหมคะ? เรารู้สึกว่าทำแบบนี้มันดูครึ่งๆกลางๆยังไงชอบกล แบบจะไปเรียนก็ไปไม่สุด แค่ปีเดียวมันจะเพียงพอให้กลับมาทำอะไรได้หรือเปล่า? จะเสียเวลาเสียเงินไปเปล่าๆไหมคะ
ป.ล. ขอเล่าเสริมนิดนึงว่าใจจริงๆอยากไปทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศมากๆ แต่ติดอยู่ที่มีห่วงคนทางบ้านเนี่ยแหละ ข้อเดียวเลยค่ะ คือรักพ่อกับแม่และพี่น้องมาก และตั้งใจไว้ว่าจนกว่าพ่อแม่จะไปจากโลกนี้แล้วจะไม่ออกนอกประเทศเด็ดขาด แต่ถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่เมื่อไหร่จะหาทางไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศทันที