การเลือกเรียน โทในต่างประเทศ

สวัสดีครับ เพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้
อย่างแรกบอกเลยว่าเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ เล่าจากประสบการณ์ของตัวผมเอง ที่ได้ทุนการศึกษาไปเรียนระดับ ปริญญาโท ทั้งหมด 2 ครั้ง (จบโท2ใบ) จาก2 ประเทศ ที่ผมได้ไปศึกษาต่อมา โดยจะเล่าถึงสิ่งที่เราควรจะคำนึงถึงในการเลือกมหาลัย และสิ่งที่จะได้รับหลังจากเรียนจบ รวมถึงเป้าหมาย โดยทั้งหมดที่จะบอกในกระทู้นี้ เพื่อที่จะเป็นแนวทางให้คนที่อาจจะสนใจเรียน ปริญญาโท และจุดมุ่งหมาย ของการเรียนนะครับ

ก่อนเริ่มนะครับบอกไว้ก่อนว่า โท ใบแรกของผมจบที่ ไต้หวัน ครับ ส่วนใบที่สอง จบที่ ญี่ปุ่นครับ
โดยที่ไต้หวันจะเรียนแบบทำวิทยานิพนธ์ ส่วนที่ญี่ปุ่นจะไม่ต้องทำจะเป็นแบบ IS หรือ internship ครับ (ให้เลือก แต่ความบ้าของผมทำทั้ง2 อย่าง)

บอกก่อนเลยว่าผมมีประสบการณ์ที่ทั้งดีและไม่ดีของแต่ละที่มาบอก

1.สำรวจตัวเองก่อนเลยครับ
ข้อนี้หลายคนอาจจะมองข้ามนะครับ จากประสบการณ์ของผม
ข้อแรก เราต้องถามตัวเองก่อนว่าจะเอาใบปริญญานี้ไปทำอะไร เอาไปอัพเกรดูโปรไฟล์? หรืออื่นๆ 
เพราะอย่างแรกเลย ผมเป็นคนที่จบปริญญาตรีแล้วต่อ โท ใบแรกที่ไต้หวันทันที
เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ทำงาน ทำให้หลังจากจบใช้เวลาหางานร่วมปีหลังจากจบ เพราะฉะนั้นคนที่คิดว่าการเรียนโทแล้วจบมาหางานง่าย อยากให้คิดให้รอบคอบก่อน
ถ้าเป็น requires ในการอัพต่ำแหน่งในหน้า การงานบอกเลยว่าสมควรเรียนเลยครับ
รวมๆแล้วข้อนี้ควรถามตัวเองก่อนว่าเราจะเอาไปทำอะไรก่อนไปเรียนครับ เพราะการเรียนโทเนี่ย อาจจะทำให้เราเสียโอกาสในการทำงานไป 2-3 ปีได้ (จริงๆข้อนี้แล้วแต่บริษัทนะ เพราะหลายๆหน้าที่เค้าสนใจประสบการณ์มากกว่า)
หรือต้องการจะหางานทำต่อที่ประเทศนั้น การเรียนปริญญาโทแล้วมาหางานทำต่อก็เป็นหนึ่งในวิธีเช่นกัน

2.เรียนสาขาอะไรดี
จริงๆข้อนี้น่าจะลิ้งจากข้อแรกนะครับ เพราะหลังจากเรารู้ตัวเองแล้วควรศึกษาว่าเราจะหาความรู้เพิ่มเติมด้านไหน
เช่นตัวผม จบBBA แล้วไปต่อ MM ( Master of marketing) และใบที่สอง ก็เป็น MBA
ซึ่งจริงๆสำหรับตัวผมนี่ก็ถือว่าไม่ได้เรียนเปลี่ยนสายมาก เพราะยังอยู่ใน field เดียวกัน
ส่วนผมมีเพื่อนที่จบทาง Engineer มาเรียนในคราสเดียวกัน เท่าที่คุยกันและทราบมาว่าสำหรับเค้าก็ข้อนข้างยากและต้องปรับตัวสักพัก
และด้วยความโชคดีมีเพื่อนที่จบ BBA ด้วยกันไปต่อ Engineer โท ได้จากที่ทราบมาก็คือข้อนข้างจะลำบากนิดนึงเลยเพราะ การที่เราข้ามสายมาเรียนจริงๆมันไม่ได้มีปัญหาที่เนื้อหานะครับ แต่มันมีปัญหาเรื่องวิธีคิดมากกว่า ซึ่งทางสายวิทยาศาสตร์กับสายศิลป์ข้อนข้างต่างกันตรงนี้นะครับ (อาจจะไม่ทั้งหมดแต่นี่เป็นสิ่งเคยเจอครับ)

3.การเลือกประเภทของ ปริญญาโท (แบบมีวิทยานิพนธ์กับแบบไม่มี)
3.1แบบมีวิทยานิพนธ์
ข้อดี
1 การเรียนเนื้อหาจะไม่แน่นมาก
สำหรับข้อนี้จะข้อนข้างเหมือนเราเรียนปริญญาตรีนะครับ คือเหมือนเราลงเรียนวิชาที่เค้ามีและ จะมีการสอบ mid term,final ตามลำดับครับ
ถ้าคนที่ถนัดทางนี้ถือว่านี่เป็นข้อได้เปรียบเลยเพราะทำเราเรียนได้สะดวกครับจึงเหมาะกับคนที่ชอบอ่านหนังสือแล้วไปทำข้อสอบ
2 เวลาว่างเยอะในช่วงแรกกับการจัดการง่ายกว่าครับ
สำหรับข้อนี้จริงๆขึ้นอยู่กับมหาลัยด้วยนะครับ เพราะบางมหาลัยอาจจะต้องการให้เราหาหัวข้อวิทยานิพนธ์เลย หรือเริ่มตอนปี2 
เพราะถ้าเราต้องหาหัวข้อเลยจะกลายเป็นข้อเสียทันที แต่ถ้าไม่เราจะสามารถมาค่อยๆคิดหัวข้อรวมถึงการเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาด้วยครับ
ส่วนตัวผมเรียนปีแรกให้เครดิตเรื่องเรียนหมดเลยครับ พอขึ้นปี2 เลยเหมือนเหลือแค่ทำวิทยานิพนธ์อย่างเดียว ทำให้เหมือนกึ่งๆไปเทียวตลอด
ทำให้ตัวผมจัดการเรื่องวิทยานิพนธ์ได้เร็วและจบก่อนวัน defense 1.5 เดือน เหมือนเที่ยวตลอดเลย
3 เหมาะกับคนไม่ได้ชอบพูดมาก
เพราะการเรียนแบบนี้การพูดในคราสหรือแสดงความเห็นจาก topic อาจจะไม่ได้สำคัญมากในห้องเรียนครับแต่เน้นไปที่การสอบกับทำวิจัยครับ

ข้อเสีย
1 ตัววิทยานิพนธ์นี่ละ
ก่อนที่เราจะทำอะไรเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์นี่ เราต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาก่อน อาจารย์ที่ปรึกษาบางท่านอาจจะให้เราเสนอหัวข้อเอง หรือ อาจจะมีหัวข้อที่เค้าอยากให้เราทำ ซึ่งอันนี้ ขึ้นอยู่กับการหาอาจารย์ที่ปรึกษาล้วนๆเลยครับ เพราะยิ่งได้หัวข้อเร็วเท่าไหร่ หรือ เรารู้เรื่องว่าจะทำเรื่องอะไรแล้ว มันจะไปได้ง่ายๆครับ บางคนในรุ่นผมเรื่องหัวข้อยังไม่นิ่งจนเกือบเดือนสุดท้ายยังมี เพราะฉะนั้นเราต้องหาเหตุผลในการวิจัยมาให้อาจารย์ยอมรับให้ได้หรือมีการปรับแก้ตามสถานการณ์ เพราะการจะคุยกับอาจารย์บางทีไม่ง่ายเลย เพราะอาจารย์หลายๆคนเค้าจะยุ่งจนเราแทบไม่ได้เจอเค้าเลย หรือ บางคนให้เราแก้ตลอดจนเหมือนเราทำอะไรก็ผิดจนท้อก็มีครับ
2 อาจจะไม่ได้เรียนบางวิชา ที่เราสนใจ
จากที่กล่าวไปเรื่แงวิทยานิพนธ์เพราะบางทีตอนเราปี2 อาจจะมีวิชาแปลกๆที่เราสนใจซึ่งหาไม่ได้ในปริญญาตรีทำให้เราเหมือนเสียโอกาสทางนั้นไป เพราะบางทีวิชาแปลกๆที่เป็นเรื่องเฉพาะทางมากๆส่วนมากวิชาพวกนี้จะเป็นคนนอกที่เชี่ยวชาญทางเรื่องนั้นๆมาสอน (ส่วนตัวเคยเรียนวิชา cost structure กับหัวหน้าฝ่ายเรื่องการเงินที่ทำงานให้ Foxconn ครับเลยรู้ถึงการจัดการเบื้องต้นเกี่ยวกับต้นทุนของ ไอโฟน และสินค้าอื่นๆของแอปเปิ้ล)

3.2 แบบไม่มีวิทยานิพนธ์
ข้อดี
1.เหมาะกับคนที่ไม่ชอบทำหรือกลัววิทยานิพนธ์ครับ
เพราะชื่อก็บอกเนอะ ว่าไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์เพราะฉะนั้นทำให้เราหมดกังวลจากข้อเสียในการทำวิทยานิพนธ์ไปได้เลยครับ
2.เหมาะกับคนที่ชอบพูด
อันนี้มาจากกฏของมหาลัยโทใบที่2 ของผมครับว่าทุกวิชาต้องมี participation และเรื่องที่เราแสดงความเห็นมีข้อดีกับ class ไหม เพราะฉะนั้นคนที่ชอบแสดงความเห็นอาจจะชอบวิธีการเรียนแบบนี้ครับคือยกมือพูด
3.จะสนิทกับเพื่อนในห้องและเกลียดกับบางคนได้
จากข้อที่แล้วเพราะความสำคัญในการเรียนคือการแสดงความเห็น หรือการพูดเพราะงั้นเราจะมีความสนิทสนมกับเพื่อนในห้องได้ง่ายครับ แต่ในอีกทางก็จะเกิด argument กับบางคนในห้องได้ (หลายๆครั้งเถียงเหมือนจะฆ่ากัน) เพราะเราเป็นคนต่างชาติมารวมตัวกัน บางทีความต่างทางวัฒนธรรมและความคิดยิ่งเราเถียงกันบ่อยๆอาจจะมีมองหน้ากันไม่ติดบ้าง แต่จริงๆข้อนี้มันก็แล้วแต่ภาพรวมในห้องแล้วแต่คนด้วยครับ
4.ได้ความใหม่ๆจากคนอื่น
อย่างที่บอกไปคือการเรียนที่ทุกคนต้อง participation เพื่อนๆในห้องหลายๆคนมาจากหลายๆ industrial หลายๆ อาชีพ ครับทำให้บางทีเรามองเรื่องบางเรื่องในมุมที่เปลี่ยนไป (เช่นเราเป็น Sale เวลาทำงานเราจะมองธุรกิจแบบในมุมของ Sale แต่ถ้าเป็น production หรือ QC ก็จะมาอีกแนวนึงครับ ซึ่งผมยอมรับว่าหลายๆเรื่องก็เปิดโลกจากตรงนี้)

ข้อเสีย
1.งานหนัก ต้องอึด
ข้อนี้บอกก่อนว่าอาจจะเป็นเฉพาะมหาลัยที่ผมเรียน เพราะก่อนเข้าเรียนต้องมีการส่ง pre assignment และพอถึงสัปดาห์สุดท้ายมีการทำ report ซึ่งเหมือนมีงานให้ทำทุกอาทิตย์ทุกวิชา ถ้าใครลงหนักๆนี่ทุกอาทิตย์ทำ 5-7 รีพอตเลยนะครับซึ่งถ้าจัดการตัวเองไม่ดี มีไม่จบได้เลยนะครับเลย
2.ต้องพูด
สำหรับข้อนี้บางคนอาจจะไม่ได้มองเป็นเป็นข้อเสียซึ่งแล้วแต่คนเนอะ ซึ่งจากที่ผมเรียนการพูดในห้องสำคัญมากครับ ยิ่งเราพูดแล้วมีหลักการหรือมี support evidence ยิ่งดีแต่สำหรับคนที่พูดไม่เก่งหรือบางคนอาจจะไม่ถนัดในวิชานั้นๆ จะพูดสักคำยังยากเลยทำให้เหมือนโดนบีบบังคับและจะทำให้เรียนไม่สนุกครับและสุดท้ายจะเป็นตัวเราที่ไม่ได้ความรู้ไป ตัวอย่างของผมคือ ดันไปลงวิชา Data science for business ซึ่งบอกไว้ก่อนผมไม่ใช่คนเก่งเลขครับ และวิบานี้คือการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ AI ซึ่งมีสิ่งที่ต้องคำนวนครับ แทบตายบอกเลย และที่แย่คือถ้สเรายิ่งไม่พูดจะทำให้เรายิ่งขาดความมั่นใจครับสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบพูด

4 เลือกมหาลัย,ประเทศไหนดี
จริงๆข้อนี้ต่อมาจากข้อแรกนะครับว่าเราต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าเรา concern เรื่องอะไร
อย่างเช่นผมครับ ผมอยากเรียนแล้วทำงานต่อที่ญี่ปุ่นเลยครับ ตัวผมเลยเลือกมหาลัย ที่มี career support เลยทำให้เลือกมหาลัยนี้ครับ
ส่วนที่ญี่ปุ่นก็ถือด้วยว่าเราสามารถเที่ยวได้ไปในตัวผมเลยเลือกมหาลัยนี้ครับและบวกกับได้ทุนค่าเทอมด้วยเป็นปัจจัยประกอบครับ
สรุปเรื่องนี้แล้ว แต่ละคนมีความชอบและความต้องการที่ต่างกันครับเลือกและหาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจด้วยนะครับ

Special 
ข้อนี้อยากให้ทุกคนที่วางแผนจะไปต่อปริญญาโทต่างประเทศไว้นะครับ ซึ่งส่วนตัวผมไม่ได้ทำเลยอยากจะมาแชร์ข้อมูลว่าควรทำก่อนคือ
เราควรจะหาข้อมูลมหาลัยนั้นๆให้ละเอียดครับ เช่นเชคจาก ศิษย์เก่าครับว่ามหาลัยนั้นเป็นแบบไหน เพราะการที่เราหาข้อมูลจากในเวปหรืออะไรก็ตามมันไม่ใช่ทั้งหมดครับบางอย่างอาจจะเป็นคำหลอกล่อของมหาลัยก็ได้ เพราะถ้าเราบินไปแล้วหลายๆอย่างอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดครับต้องระวังให้ดี
ขอยกตัวอย่างเคสผมละกัน อย่างที่บอกไปคือตัวผมนั้นเลือกมหาลัยที่ญี่ปุ่นอันนี้เพราะมี career team support ครับแต่พอมาถึงจริงเค้ากลับไม่ได้ช่วยตัวเราในการหางานเลยซึ่งเรียนจบมาจะ1ปีแล้วก็ยังหางานไม่ได้ เพราะฉะนั้นการจะตัดสินใจเลือกที่ไหนพยายามหาข้อมูลให้เยอะที่สุดครับและจะได้ไม่เสียใจหรือรู้สึกเสียเวลาในภายหลังครับ 
เพราะส่วนมหาลัยที่ญี่ปุ่นตอบรับมานี่ ตอนนั้นผมก็ได้อีกที่ที่สก็อตแลนด์ด้วยครับ แต่สุดท้ายเลือกที่ญี่ปุ่น

ยังไงคนที่มีความคิดจะเรียนโทต่างประเทศขอให้ประสบผลสำเร็จในการเรียนนะครับ หวังว่าที่เขียนอันนี้จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจได้บ้าง

สุดท้ายนี้ถ้าภาษากำกวมหรือไม่เข้าใจขอโทษด้วยนะครับถ้ามีคำถามอะไรยินดีตอบครับ
ขอบครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่