อ.ปิยบุตร ว่าไว้ว่า คนจำพวกนี้ไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะพูดคุยกันในเนื้อหาสาระ
.
ซึ่งผมเห็นว่า เป็นความจริงที่สุด ก็ดูที่สลิ่มเขาคิดสิครับ
.
สลิ่มเขาคิดเชิงเหตุผลไม่เป็น ทำได้แค่หาเรื่องมาแซะไปวัน ๆ
เรื่องนิรโทษกรรมก็เรื่องหนึ่ง เรื่องการหาความจริงก็เรื่องหนึ่ง มันคนละเรื่อง
แต่สลิ่มกลับคิดแบบด้อยปัญญาว่า ถ้านิรโทษแล้ว ก็คือไม่ต้องหาความจริงอะไร คิดเชิงเหตุผลไม่ได้
นี่แหละ ที่เรียกว่า คิดแบบสลิ่ม จนความเป็นสลิ่มเสียหายโดนดูถูกเหยียดหยาม
ก็ขนาดไม่กล้าแสดงตัวว่าเป็นสลิ่มแหละครับ
.
การถามหาความจริง เพื่อให้ได้รู้ว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไร
คนสั่ง คนปฏิบัติ คนฆ่าคิดอย่างไร มีเหตุผลยังไง มีหลักฐานมีข้อมูลในการทำงานแบบไหน
คนโดนฆ่า โดนเพราะเหตุใด ก่อการร้ายจริงไหม มีความสมเหตุสมผลในการถูกฆ่าไหม สมควรที่จะโดนฆ่าไหม
เพื่อจะได้ถอดบทเรียน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ขึ้นอีก อย่างในอดีตที่ฆ่าแล้วก็แล้วกันไป หาความรับผิดชอบจากใครไม่ได้
การนิรโทษกรรม ก็เพื่อให้เลิกแล้วต่อกัน วางความเกลียดชัง ไม่ต้องมีผู้ต้องรับโทษ
หันหน้าเข้าหากัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ หาทางแก้ไขปัญหาและความเห็นต่างอย่างสันติ
ถอดบทเรียนจากความจริงเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นอีก ไม่ใช่นิรโทษแล้ว ก็ไม่ต้องหาความจริงใด ๆ
คนปกติ กับ สลิ่ม จึงคิดต่างกัน
.
คนปกติ จะคิดเชิงเหตุผล อิงข้อมูล อาศัยข้อเท็จจริง
แต่สลิ่ม คิดได้แค่เรื่องแซะ เหตุผลไม่ต้อง ข้อมูลไม่สน ข้อเท็จจริงไม่พิจารณา
หรือใครจะเถียง !!!
สลิ่มกับการคิดเชิงเหตุผลไม่เป็น อย่างที่ อ.ปิยบุตรว่าไว้นั่นแหละครับ