นี่เป็นภาพยนตร์ที่เสียงแตกมากที่สุดในบรรดาภาพยนตร์ที่เข้าชิง Best Picture ในปีนี้ (Rotten Tomatoes 55% หมายความว่านักวิจารณ์เกือบครึ่งไม่ชอบภาพยนตร์เรื่องนี้) แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลของการที่จะเลือกไม่ดูภาพยนตร์ที่คับคั่งไปด้วยเหล่านักแสดงรางวัลออสกร์ อาทิ Leonardo DiCaprio, Jennifer Lawrence Cate Blanchett Meryl Streep และอีกมากมาย

Don't Look Up สร้างจากเรื่องราวที่ "อาจจะเกิดขึ้นจริง" (Based on Truly Possible Events) เมื่อ Kate Dibiasky (รับบทโดย Jennifer Lawrence) สาวนักศึกษาปริญญาเอกสาขาดาราศาสตร์มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้บังเอิญตรวจพบดาวหางที่มีขนาดกว่า 10 กิโลเมตร และกำลังจะพุ่งเข้าชนโลกในอีก 6 เดือนข้างหน้า เธอจึงปรึกษากับ Dr. Randall Mindy (รับบทโดย Leonardo DiCaprio) อาจารย์หัวหน้าคณะของเธอ ถึงการรับมือกับภัยพิบัติที่ร้ายแรงถึงขนาดกวาดล้างมนุษยชาติจนสูญพันธุ์ได้ ทั้งคู่จึงต้องร่วมมือกับ Dr. Teddy Oglethorpe (รับบทโดย Rob Morgan) หัวหน้าสำนักงานประสานงานพิทักษ์โลก ในการหาทางรับมือกับภัยพิบัตินี้ร่วมด้วย Orlean ประธานาธิบดีหญิงของสหรัฐอเมริกา (รับบทโดย Meryl Streep) เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้รอดพ้นจากวิกฤติใหญ่ครั้งนี้

อ่านจากเรื่องย่อหลายคนคงนึกว่าหนังเรื่องนี้จะต้องมีการปฏิบัติภารกิจกอบกู้โลกเหมือนใน Armageddon (1998) ที่เชิดชูฮีโร่และความเสียสละอะไรทำนองนั้น แต่ด้วยความที่นี่เป็นงานของผู้กำกับ Adam McKay ผู้ซึ่งถนัดในงานแนวจิกกัดเสียดสีสังคม ทั้งการจิกกัดวงการการเงินตอนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ใน The Big Short (2015) หรือการเล่าเรื่องของ Dick Cheney ผู้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวจริงที่ชักใยเบื้องหลัง George W. Bush ในภาพยนตร์เรื่อง Vice (2018) จึงไม่น่าแปลกใจถ้าเกิด Don't Look Up จะมีท่าทีของการเสียดสีผู้คน วงการสื่อ และรัฐบาลอเมริกันอย่างเจ็บแสบตลอดทั้งเรื่อง (หรืออาจจะโดนรัฐบาลประเทศอื่นด้วย)

ในเรื่องจะเห็นว่าหนังพยายามจะเสียดสีทั้งประเด็นเล็กๆ ตั้งแต่เรื่องราวของบุคคล ทั้งการมีชื่อเสียงแล้วทะนงตัวขึ้นของ ดร.แรนดัล การที่มหาลัยไม่ดังคนก็ไม่เชื่อถือ การยัดเงินเพื่อเข้ารับตำแหน่ง จนไปถึงประเด็นใหญ่ๆ อย่างคนในสังคมที่เพิกเฉยต่อคำเตือนของนักวิทยาศาสตร์และมักมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ วงการสื่อที่มุ่งเน้นแต่จะขายข่าวดราม่า ข่าวบันเทิง เพื่อเรียกเรตติ้งและการทำงานของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อคนทั้งโลกจากการตัดสินใจของคนแค่กลุ่มเดียว (แถมด้วยการอุ้มคนเห็นต่างด้วยการจับขึ้นรถแล้วคลุมหัว เอ๊ะ คุ้นๆ)

ด้วยการจิกกัดอย่างตรงไปตรงมานี้เอง ทำให้ตัวละครใน Don't Look Up นั้นมีแต่ความวายป่วงและแบนราบไร้มิติอย่างสิ้นเชิง (อาจเป็นเหตุผลที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ไม่ชอบ) ทั้งประธานาธิบดีหญิงออลีน ที่วันๆสนใจอยู่แต่การกู้ภาพลักษณ์จากข่าวฉาว แม้โลกจะแตกก็ไม่สำคัญเท่าคะแนนเสียงของเธอ หรือนักธุรกิจที่สนใจแต่ผลทางกำไรของธุรกิจจนยอมแลกได้แม้กระทั่งความเป็นความตายของคนทั้งโลก นักข่าวสาวที่ทำให้ข่าวดาวหางกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ซึ่งจะว่าไปลักษณะนี้ก็คล้ายกับผู้นำเผด็จการหลงตัวเองจอมเฟอะฟะใน The Dictator (2012) (ซึ่งคะแนนจากนักวิจารณ์ก็ไม่ต่างกัน) แต่หากเราเข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อสารออกมา ซึ่งน่าจะรับรู้แล้วตั้งแต่คำโปรยที่อยู่บนโปสเตอร์ว่า 'Based on Truly Possible Events' มันก็คือการประชดนั่นแหละ

แต่กระนั้นสารที่ถูกซ่อนไว้อีกชั้นหนึ่งของ Don't Look Up คือการรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน ทั้งการใช้ดาวหางแทนสัญลักษณ์ของความภัยพิบัติ และตัวละครต่างๆก็เป็นภาพจำลองของบุคคลจริงๆ เช่นเมื่อเราลองมองไปที่ตัวละคร เคท ของ Jennifer Lawrence ดีๆ จะพบว่า ตัวละครนี้เป็นเหมือนภาพจำลองของสาวน้อยนามว่า เกรต้า เทนเบิร์ก (Greta Thunberg) นักรณรงค์ด้านสภาพแวดล้อมชาวสวีเดน โดยการกระทำที่เคทได้รับในเรื่องนั้นเหมือนกับที่เกรต้าได้รับไม่มีผิดเพื้ยน ทั้งการถูกนำรูปไปตัดต่อล้อเลียน การที่ถูกอดีตประธานาธิบดีอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาว่าเป็นพวกคุมอารมณ์ไม่ได้ก็เช่นกัน รวมถึงการพูดจาขวานฝ่าซากตรงไปตรงมาก็เป็นอีกหนึ่งบุคลิกของเกรต้าด้วย

หรือตัวละครประธานาธิปดีหญิงออลีนก็เป็นการถอดแบบมาจากโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เขาออกมาบอกว่าาภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องโกหกก็ตรงกับในเรื่องที่ออลีนแทบไม่สนใจเรื่องดาวหางเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งตัวละครนักธุรกิจอิเชอร์เวลก็มีส่วนผสมของประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐอย่าง โจ ไบเดน แทบจะเหมือนกันในลักษณะการพูดและท่าทาง(ฉากแอบดมผมผู้หญิงในเรื่องก็ตรงกับพฤติกรรมของไบเดนด้วย) ผสมกับนักธรุกิจอย่างอีลอน มัสก์ และ ความเป็นเจ้าเทคโนโลยีแบบ สตีฟ จ็อบส์ อย่างละนิดละหน่อย

และตัวละคร ดร.แรนดัล ของ Leonardo ก็แทบจะไม่ต้องบอกว่าเป็นภาพจำลองของเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ออกมาพูดปากจนจะฉีกถึงหูแล้วว่า โลกเรากำลังเผชิญกับสภาวะโลกร้อน และควรช่วยกันยับยั้งไม่ให้มันเลวร้ายลงไปกว่านี้ แต่ก็เหมือนกับในเรื่องนั้นแหละ ฉากที่ ดร.แรนดัลระเบิดอารมณ์ในรายการข่าว แม้ว่าเขาจะพูดด้วยท่าทีจริงจังแค่ไหน มันก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย (และตัวลีโอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนอยู่แล้วด้วย)

(นี่บทพูดของ ดร.แรนดัล ในรายการข่าวและเป็นครั้งสุดท้ายที่เขามีโอกาสได้พูดต่อหน้าสาธารณะชน)
"มีดาวหางดวงใหญ่มุ่งมายังโลก และเหตุผลที่เรารู้ว่ามีดาวหาง เพราะว่าเราเห็น เราเห็นมันด้วยตาของเราเอง ด้วยการใช้กล้องส่องทางไกล"
"คือว่าให้ตายเถอะ

ถ่ายภาพมันเอาไว้ได้ด้วยซ้ำ จะเอาหลักฐานอะไรอีก!"
"และถ้าเราเห็นตรงกันเรื่องพื้นฐานสุดๆอย่างเรื่องดาวหางดาวยักษ์ขนาดเท่าเทือกเขาเอเวอเรสต์ กำลังมุ่งหน้าตรงมายังโลก

โคตรไม่ใช่เรื่องดี"
"เราน่าจะเปลี่ยนวิถีดาวหางนี้ ตอนที่เรายังมีโอกาสทำได้ แต่เราไม่ทำ ผมไม่รู้ทำไมเราไม่ทำ"
"ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

กำลังโกหกอยู่!!!"
"ผมหวังอย่างยิ่งว่า ประธานาธิบดีคนนี้จะรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ผมหวังว่าเขาจะดูแลเราทุกคน แต่ความเป็นจริงคือ ผมคิดว่าไอ้รัฐบาลนี้

เสียสติกันไปหมดแล้วโว้ย!!! และผมคิดว่าพวกเราจะตายห่ากันหมด!!!!!!!!!!!!!!!!"
(ทีนี้ลองเปลี่ยนเป็นเรื่องสภาวะโลกร้อนแทนดู)
.
อีกทั้งความหมายของ Don't Look Up ยังเปรียบเสมือนการกวาดขยะซ่อนเอาไว้ใต้พรม หรือการไม่ให้ความสำคัญของสิ่งหนึ่งแต่หันไปสนใจอีกสิ่งแทน (เหมือนวงการบันเทิงบ้านเรากรณีน้าเน็กกับทิดไพรวัลย์ที่กลบกระแสคดีของหมอกระต่ายซะเกลี้ยงเลย)

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่หนังใส่เข้ามา ทั้งเรื่องพวกอนุรักษ์นิยม เรื่องศาสนา ฯลฯ ถ้าจะให้พูดก็คงไม่จบ เอาเป็นว่าใครที่ยิ่งเห็นจุดที่หนังแทรกเอาไว้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสนุกและคิดตามไปด้วยมากเท่านั้น เป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่ขึ้นอยู่กับบุคคลจริงๆ (แม้จะหนักไปทางสังคมตะวันตกไปสักหน่อย)

ในด้านการเล่าเรื่องแน่นอนว่านี่คือหนังที่สนุกที่สุดในบรรดาหนังที่เข้าชิง Best Picture บนเวทีออสการ์ในครั้งนี้ เพราะมันดำเนินตามขนบหนังทั่วๆไป ไม่ต้องมานั่งหาวเพราะความเชื้องช้าเพราะแช่ภาพนานๆ เหมือนที่หนังรางวัลเรื่องอื่นๆ ชอบทำกัน พล็อตเรื่องก็ตรงๆเข้าใจง่าย ไม่ต้องตีลังกาดูหลายตลบก็เข้าใจสิ่งที่หนังจะสื่อได้ (ไม่มีคำถามตอนจบเรื่องทำนองว่า เอ๊ะ เมื่อกี้ฉันดูอะไรไป(วะ))
.
ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง คือ เมื่อ ดร.แรนดัลระเบิดลงกลางรายการไปแล้ว จากนั้นดีกรีความจิกกัดจะลดลงแทบเป็นศูนย์ เหมือนเป็นการบอกใบ้กลายๆว่า "ฉันได้พูดสิ่งที่อยากจะพูดไปแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วกัน"

เรื่องนักแสดงคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณใดๆ เพราะแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น แม้ว่าตัวละครหลายๆตัวมันจะแบนราบไร้มิติ แต่พวกเขาก็แสดงออกมาได้อย่างที่มันควรจะเป็น (ส่วนตัวหมั่นไส้ Meryl Streep ที่สุด) ส่วนเรื่องโปรดักชั่นและงานCGI ถือว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับเยี่ยม ทั้งฉากปล่อยกระสวยอวกาศ ฉากดาวหางบนท้องฟ้า ที่ช่วยเพิ่มความสมจริงกับตัวหนังได้มากทีเดียว

สรุป Don't Look Up เป็นภาพยนตร์ที่เสียดสีและจิกกัดสภาพสังคมมนุษย์ในปัจจุบัน แล้วยังเป็นนักรณรงค์ที่ไม่ได้ทำท่าทีแบบว่า "พวกเรามาช่วยกันปกป้องโลกนี้เถอะ" แต่เป็น "รีบทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะตายห่ากันหมด" มากกว่า เพื่อให้เราฉุกคิดว่าเหตุการณ์ในหนังมันควรจะเป็นแค่ "เรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นจริง" หรือมันอาจจะกำลังเกิดขึ้นจริงในโลกแห่งความเป็นจริงก็ได้

Don't Look Up เข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 94 ประจำปี 2022 ทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และสาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม
ฝากเพจด้วยนะครับ
Story Decoder เข้าไปเยี่ยมชมกันได้
[รีวิวหนัง] Don't Look Up: จิกกัดและเสียดสีให้ดูแย่ แต่ในความเป็นจริงก็แย่พอกัน
Don't Look Up สร้างจากเรื่องราวที่ "อาจจะเกิดขึ้นจริง" (Based on Truly Possible Events) เมื่อ Kate Dibiasky (รับบทโดย Jennifer Lawrence) สาวนักศึกษาปริญญาเอกสาขาดาราศาสตร์มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้บังเอิญตรวจพบดาวหางที่มีขนาดกว่า 10 กิโลเมตร และกำลังจะพุ่งเข้าชนโลกในอีก 6 เดือนข้างหน้า เธอจึงปรึกษากับ Dr. Randall Mindy (รับบทโดย Leonardo DiCaprio) อาจารย์หัวหน้าคณะของเธอ ถึงการรับมือกับภัยพิบัติที่ร้ายแรงถึงขนาดกวาดล้างมนุษยชาติจนสูญพันธุ์ได้ ทั้งคู่จึงต้องร่วมมือกับ Dr. Teddy Oglethorpe (รับบทโดย Rob Morgan) หัวหน้าสำนักงานประสานงานพิทักษ์โลก ในการหาทางรับมือกับภัยพิบัตินี้ร่วมด้วย Orlean ประธานาธิบดีหญิงของสหรัฐอเมริกา (รับบทโดย Meryl Streep) เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้รอดพ้นจากวิกฤติใหญ่ครั้งนี้
อ่านจากเรื่องย่อหลายคนคงนึกว่าหนังเรื่องนี้จะต้องมีการปฏิบัติภารกิจกอบกู้โลกเหมือนใน Armageddon (1998) ที่เชิดชูฮีโร่และความเสียสละอะไรทำนองนั้น แต่ด้วยความที่นี่เป็นงานของผู้กำกับ Adam McKay ผู้ซึ่งถนัดในงานแนวจิกกัดเสียดสีสังคม ทั้งการจิกกัดวงการการเงินตอนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ใน The Big Short (2015) หรือการเล่าเรื่องของ Dick Cheney ผู้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวจริงที่ชักใยเบื้องหลัง George W. Bush ในภาพยนตร์เรื่อง Vice (2018) จึงไม่น่าแปลกใจถ้าเกิด Don't Look Up จะมีท่าทีของการเสียดสีผู้คน วงการสื่อ และรัฐบาลอเมริกันอย่างเจ็บแสบตลอดทั้งเรื่อง (หรืออาจจะโดนรัฐบาลประเทศอื่นด้วย)
ในเรื่องจะเห็นว่าหนังพยายามจะเสียดสีทั้งประเด็นเล็กๆ ตั้งแต่เรื่องราวของบุคคล ทั้งการมีชื่อเสียงแล้วทะนงตัวขึ้นของ ดร.แรนดัล การที่มหาลัยไม่ดังคนก็ไม่เชื่อถือ การยัดเงินเพื่อเข้ารับตำแหน่ง จนไปถึงประเด็นใหญ่ๆ อย่างคนในสังคมที่เพิกเฉยต่อคำเตือนของนักวิทยาศาสตร์และมักมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ วงการสื่อที่มุ่งเน้นแต่จะขายข่าวดราม่า ข่าวบันเทิง เพื่อเรียกเรตติ้งและการทำงานของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อคนทั้งโลกจากการตัดสินใจของคนแค่กลุ่มเดียว (แถมด้วยการอุ้มคนเห็นต่างด้วยการจับขึ้นรถแล้วคลุมหัว เอ๊ะ คุ้นๆ)
ด้วยการจิกกัดอย่างตรงไปตรงมานี้เอง ทำให้ตัวละครใน Don't Look Up นั้นมีแต่ความวายป่วงและแบนราบไร้มิติอย่างสิ้นเชิง (อาจเป็นเหตุผลที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ไม่ชอบ) ทั้งประธานาธิบดีหญิงออลีน ที่วันๆสนใจอยู่แต่การกู้ภาพลักษณ์จากข่าวฉาว แม้โลกจะแตกก็ไม่สำคัญเท่าคะแนนเสียงของเธอ หรือนักธุรกิจที่สนใจแต่ผลทางกำไรของธุรกิจจนยอมแลกได้แม้กระทั่งความเป็นความตายของคนทั้งโลก นักข่าวสาวที่ทำให้ข่าวดาวหางกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ซึ่งจะว่าไปลักษณะนี้ก็คล้ายกับผู้นำเผด็จการหลงตัวเองจอมเฟอะฟะใน The Dictator (2012) (ซึ่งคะแนนจากนักวิจารณ์ก็ไม่ต่างกัน) แต่หากเราเข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อสารออกมา ซึ่งน่าจะรับรู้แล้วตั้งแต่คำโปรยที่อยู่บนโปสเตอร์ว่า 'Based on Truly Possible Events' มันก็คือการประชดนั่นแหละ
แต่กระนั้นสารที่ถูกซ่อนไว้อีกชั้นหนึ่งของ Don't Look Up คือการรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน ทั้งการใช้ดาวหางแทนสัญลักษณ์ของความภัยพิบัติ และตัวละครต่างๆก็เป็นภาพจำลองของบุคคลจริงๆ เช่นเมื่อเราลองมองไปที่ตัวละคร เคท ของ Jennifer Lawrence ดีๆ จะพบว่า ตัวละครนี้เป็นเหมือนภาพจำลองของสาวน้อยนามว่า เกรต้า เทนเบิร์ก (Greta Thunberg) นักรณรงค์ด้านสภาพแวดล้อมชาวสวีเดน โดยการกระทำที่เคทได้รับในเรื่องนั้นเหมือนกับที่เกรต้าได้รับไม่มีผิดเพื้ยน ทั้งการถูกนำรูปไปตัดต่อล้อเลียน การที่ถูกอดีตประธานาธิบดีอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาว่าเป็นพวกคุมอารมณ์ไม่ได้ก็เช่นกัน รวมถึงการพูดจาขวานฝ่าซากตรงไปตรงมาก็เป็นอีกหนึ่งบุคลิกของเกรต้าด้วย
หรือตัวละครประธานาธิปดีหญิงออลีนก็เป็นการถอดแบบมาจากโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เขาออกมาบอกว่าาภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องโกหกก็ตรงกับในเรื่องที่ออลีนแทบไม่สนใจเรื่องดาวหางเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งตัวละครนักธุรกิจอิเชอร์เวลก็มีส่วนผสมของประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐอย่าง โจ ไบเดน แทบจะเหมือนกันในลักษณะการพูดและท่าทาง(ฉากแอบดมผมผู้หญิงในเรื่องก็ตรงกับพฤติกรรมของไบเดนด้วย) ผสมกับนักธรุกิจอย่างอีลอน มัสก์ และ ความเป็นเจ้าเทคโนโลยีแบบ สตีฟ จ็อบส์ อย่างละนิดละหน่อย
และตัวละคร ดร.แรนดัล ของ Leonardo ก็แทบจะไม่ต้องบอกว่าเป็นภาพจำลองของเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ออกมาพูดปากจนจะฉีกถึงหูแล้วว่า โลกเรากำลังเผชิญกับสภาวะโลกร้อน และควรช่วยกันยับยั้งไม่ให้มันเลวร้ายลงไปกว่านี้ แต่ก็เหมือนกับในเรื่องนั้นแหละ ฉากที่ ดร.แรนดัลระเบิดอารมณ์ในรายการข่าว แม้ว่าเขาจะพูดด้วยท่าทีจริงจังแค่ไหน มันก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย (และตัวลีโอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนอยู่แล้วด้วย)
(นี่บทพูดของ ดร.แรนดัล ในรายการข่าวและเป็นครั้งสุดท้ายที่เขามีโอกาสได้พูดต่อหน้าสาธารณะชน)
"มีดาวหางดวงใหญ่มุ่งมายังโลก และเหตุผลที่เรารู้ว่ามีดาวหาง เพราะว่าเราเห็น เราเห็นมันด้วยตาของเราเอง ด้วยการใช้กล้องส่องทางไกล"
"คือว่าให้ตายเถอะ
"และถ้าเราเห็นตรงกันเรื่องพื้นฐานสุดๆอย่างเรื่องดาวหางดาวยักษ์ขนาดเท่าเทือกเขาเอเวอเรสต์ กำลังมุ่งหน้าตรงมายังโลก
"เราน่าจะเปลี่ยนวิถีดาวหางนี้ ตอนที่เรายังมีโอกาสทำได้ แต่เราไม่ทำ ผมไม่รู้ทำไมเราไม่ทำ"
"ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
"ผมหวังอย่างยิ่งว่า ประธานาธิบดีคนนี้จะรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ผมหวังว่าเขาจะดูแลเราทุกคน แต่ความเป็นจริงคือ ผมคิดว่าไอ้รัฐบาลนี้
(ทีนี้ลองเปลี่ยนเป็นเรื่องสภาวะโลกร้อนแทนดู)
.
อีกทั้งความหมายของ Don't Look Up ยังเปรียบเสมือนการกวาดขยะซ่อนเอาไว้ใต้พรม หรือการไม่ให้ความสำคัญของสิ่งหนึ่งแต่หันไปสนใจอีกสิ่งแทน (เหมือนวงการบันเทิงบ้านเรากรณีน้าเน็กกับทิดไพรวัลย์ที่กลบกระแสคดีของหมอกระต่ายซะเกลี้ยงเลย)
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่หนังใส่เข้ามา ทั้งเรื่องพวกอนุรักษ์นิยม เรื่องศาสนา ฯลฯ ถ้าจะให้พูดก็คงไม่จบ เอาเป็นว่าใครที่ยิ่งเห็นจุดที่หนังแทรกเอาไว้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสนุกและคิดตามไปด้วยมากเท่านั้น เป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่ขึ้นอยู่กับบุคคลจริงๆ (แม้จะหนักไปทางสังคมตะวันตกไปสักหน่อย)
ในด้านการเล่าเรื่องแน่นอนว่านี่คือหนังที่สนุกที่สุดในบรรดาหนังที่เข้าชิง Best Picture บนเวทีออสการ์ในครั้งนี้ เพราะมันดำเนินตามขนบหนังทั่วๆไป ไม่ต้องมานั่งหาวเพราะความเชื้องช้าเพราะแช่ภาพนานๆ เหมือนที่หนังรางวัลเรื่องอื่นๆ ชอบทำกัน พล็อตเรื่องก็ตรงๆเข้าใจง่าย ไม่ต้องตีลังกาดูหลายตลบก็เข้าใจสิ่งที่หนังจะสื่อได้ (ไม่มีคำถามตอนจบเรื่องทำนองว่า เอ๊ะ เมื่อกี้ฉันดูอะไรไป(วะ))
.
ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง คือ เมื่อ ดร.แรนดัลระเบิดลงกลางรายการไปแล้ว จากนั้นดีกรีความจิกกัดจะลดลงแทบเป็นศูนย์ เหมือนเป็นการบอกใบ้กลายๆว่า "ฉันได้พูดสิ่งที่อยากจะพูดไปแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วกัน"
เรื่องนักแสดงคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณใดๆ เพราะแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น แม้ว่าตัวละครหลายๆตัวมันจะแบนราบไร้มิติ แต่พวกเขาก็แสดงออกมาได้อย่างที่มันควรจะเป็น (ส่วนตัวหมั่นไส้ Meryl Streep ที่สุด) ส่วนเรื่องโปรดักชั่นและงานCGI ถือว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับเยี่ยม ทั้งฉากปล่อยกระสวยอวกาศ ฉากดาวหางบนท้องฟ้า ที่ช่วยเพิ่มความสมจริงกับตัวหนังได้มากทีเดียว
สรุป Don't Look Up เป็นภาพยนตร์ที่เสียดสีและจิกกัดสภาพสังคมมนุษย์ในปัจจุบัน แล้วยังเป็นนักรณรงค์ที่ไม่ได้ทำท่าทีแบบว่า "พวกเรามาช่วยกันปกป้องโลกนี้เถอะ" แต่เป็น "รีบทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะตายห่ากันหมด" มากกว่า เพื่อให้เราฉุกคิดว่าเหตุการณ์ในหนังมันควรจะเป็นแค่ "เรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นจริง" หรือมันอาจจะกำลังเกิดขึ้นจริงในโลกแห่งความเป็นจริงก็ได้
Don't Look Up เข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 94 ประจำปี 2022 ทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และสาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม
ฝากเพจด้วยนะครับ Story Decoder เข้าไปเยี่ยมชมกันได้