ฟินแลนด์ประเทศมีความสุขที่สุดในโลก 5 ปีซ้อน ส่วนไทยสุขน้อยลง ตกอันดับ
https://brandinside.asia/finland-happiest-country-in-world-for-fifth-consecutive-year/
เปิดรายงานการจัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ฟินแลนด์ครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศมีความสุขที่สุดในโลกติดต่อกัน 5 ปีซ้อน แต่ประเทศไทยมีความสุขลดลง ตกอันดับ เดนมาร์กยังรักษาอันดับ 2 ไว้ได้ ส่วนอันดับ 3 นั้นเป็นไอซ์แลนด์ที่มีความสุขแซงสวิตเซอร์แลนด์ได้แล้ว
สำหรับรายงาน World Happiness Report นี้ มีการจัดทำต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลา 1 ทศวรรษแล้ว ในช่วงปี 2020-2021 ที่ผ่านมามีโควิดระบาดเกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน จากการทำรายงานพบว่า ประเทศใดก็ตามที่ประชาชนมีความเชื่อมั่น ไว้วางใจในรัฐบาลและมีอัตราการเสียชีวิตจากโควิดระบาดต่ำก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการทำให้ผู้คนมีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น
ฟินแลนด์นั้นถือเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกติดต่อกันยาวนานเป็นเวลา 5 ปีแล้ว ขณะที่สหรัฐอเมริกานั้นติดอันดับที่ 16 เลื่อนขึ้นมาจากเดิม 3 อันดับ ด้าน Jeffrey Sachs ผู้อำนวยการ Center for Sustainable Development แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ระบุว่า บทเรียนจากรายงานการจัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกนั้นทำให้ได้รู้ว่า แรงสนับสนุนจากสังคม การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ไปจนถึงความซื่อสัตย์ของรัฐบาลนั้นมีนัยสำคัญที่ส่งผลให้ประชาชนมีความสุข
รายงานดักล่าวจัดทำขึ้นเป็นเวลายาวนานนับสิบปีแล้ว พบว่า ประเทศที่มีความสุขที่สุดโดยมากคือประเทศเซอร์เบีย บัลแกเรีย โรมาเนีย ขณะที่ประเทศที่มีความสุขน้อยลงก็มีเช่นกัน อาทิ เลบานอน เวเนซุเอลาและอัฟกานิสถาน รายงานมีการวัดผลความสุขของผู้คนมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ปัจจัยที่นำมาประเมิน อาทิ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว อายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในสังคม แรงสนับสนุนจากสังคม เสรีภาพในการใช้ชีวิตและมุมมองต่อการคอร์รัปชั่น เป็นต้น
Sachs ระบุว่า ผู้นำโลกควรจะเอาใจใส่เรื่องนี้ การเมืองควรจะเป็นรากฐานที่สร้างความสุข การกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนมากกว่าจะคำนึงแต่เรื่องของอำนาจในการปกครอง
สำหรับ 10 อันดับแรกที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ
• ฟินแลนด์
• เดนมาร์ก
• ไอซ์แลนด์
• สวิตเซอร์แลนด์
• เนเธอร์แลนด์
• ลักแซมเบิร์ก
• สวีเดน
• นอร์เวย
• อิสราเอล
• นิวซีแลนด์
ส่วนประเทศไทยนั้นติดอันดับที่ 61 ขณะที่ปีก่อนหน้านี้อยู่อันดับที่ 54
ที่มา –
Bloomberg, World Happiness Report
2022,
2021
ส.อ.ท.ห่วงน้ำมันแพงจี้รัฐดูรอบด้านแก้ปัญหา
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_309060/
ประธาน ส.อ.ท. เผย ภาคธุรกิจยังกังวลความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน น้ำมันแพง เงินเฟ้อพุ่ง สินค้าปรับขึ้นราคา แนะ รัฐบาลต้องดูรอบด้านแก้ปัญหา
นาย
สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า ภาคธุรกิจยังกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนที่เกิดขึ้น เพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกให้ชะลอตัวลง ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับไทยโดยตรงเป็นเรื่องของระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และปัญหาภาวะเงินเฟ้อที่จะตามมาจากทั่วโลก
ทั้งนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องมีแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาพลังงาน เพราะจะส่งผลต่อราคาสินค้าหากปรับตัวขึ้น สิ่งที่จะตามมาคือผลกระทบค่าครองชีพประชาชนที่เพิ่มขึ้น เช่นปัจจุบันที่ต้นทุนด้านการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น จากปัญหารัสเซีย-ยูเครน และจะเริ่มเห็นการทยอยปรับขึ้นราคาสินค้า
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องพิจารณาแนวทางต่างๆ อย่างรอบด้านในการแก้ไขปัญหา เพื่อดูแลไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบมากเกินไป
น่าห่วง!คนว่างงานสูงขึ้น-โรงแรมยื้อไม่ไหว-จี้รัฐคืนเงินกองทุนน้ำมัน
https://www.dailynews.co.th/news/872879/
วงเสวนาหลักสูตร "บสก." ชี้พิษโควิดทำคนจนเพิ่มเป็น 4.8 ล้านคน ท่องเที่ยวอ่วมหนักสุด วอนภาครัฐปลดล็อกทุกมาตรการรับนักท่องเที่ยวฟื้นธุรกิจทางรอดประเทศ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซ้ำเติมวิกฤติพลังงาน แนะรื้อโครงสร้างราคาน้ำมันทั้งระบบ
เมื่อวันที่ 19 มี.ค.65 ที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลางด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (บสก.) รุ่นที่ 10 จัดสัมมนาสาธารณะ ในหัวข้อ
“ทางรอดปากท้อง ทางออกเศรษฐกิจฝ่าคลื่นโควิด : โอกาสหรือความเสี่ยง?” โดยมีวิทยากร 5 คน ประกอบด้วย ดร.
พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผอ.สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ดร.
สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ดร.
ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้า และอุตสาหกรรมไทย นาง
มาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) และ ดร.
ทองอยู่ คงขันธ์ ประธานที่ปรึกษา สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ร่วมพูดคุยหาทางออกวิกฤติเศรษฐกิจในหลายมิติ
ดร.
พิสิทธิ์ กล่าวว่า โควิด-19 ทำกิจกรรทางเศรษฐกิจต้องชะงักลง โดยตั้งแต่ปี 63 รัฐบาลได้ พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 1 ล้านล้านบาท และ พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มเติมปี 64 วงเงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งเข้ามาช่วยเยียวยาด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจในหลายๆ มิติ ทั้งภาคการท่องเที่ยว มาตรการชดเชยต่างๆ การจัดหาวัคซีน ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา คือ โครงการเยียวยาประชาชนต่างๆ ทั้ง คนละครึ่ง เราชนะ ม.33 เรารักกัน สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ถึง 40 ล้านคน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วปี 63 เม็ดเงินเยียวยาที่รัฐให้แก่ประชาชนเฉลี่ยอยู่ที่ 13,400 บาทต่อคนต่อปี
“ต้องยอมรับว่าโควิดทำให้คนจนเพิ่มขึ้น จากก่อนโควิดที่มีคนจนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3 ล้านคน แต่เมื่อเกิดโควิดเพิ่มเป็น 4.8 ล้านคน แต่ถ้าไม่มีมาตรเยียวยาต่างๆ จากรัฐออกมา จะมีคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 11 ล้านคน”
อย่างไรก็ตามทิศทางปี 65 รัฐบาลยังมีงบประมาณที่ยังไม่ได้จัดสรรอยู่ ทำให้มีความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ได้รับความเดือดร้อนอยู่ โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสถานการณ์บรรยากาศต่างๆในไทยก็เริ่มดีขึ้น มีวัคซีนเพิ่มขึ้น แต่ไทยกำลังเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่สำคัญ อย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ศึกษา วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยผลกระทบหนักที่เกิดขึ้น คือ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น เพราะเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ต้นทุนต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นทุกส่วน ซึ่งอาจจะต้องหาจุดกึ่งกลาง หากลไกเข้ามาจัดสรร โดยกระทรวงการคลังก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว
ขณะที่ ดร.
สมชัย ชี้ว่า ปัจจุบันเพดานหนี้สาธารณะประเทศไทยอยู่ที่ 70% หรือคิดเป็น 10% ของจีดีพีประเทศ ดังนั้นมีโอกาสเพิ่มหนี้ได้อีก 10% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านบาท แต่ขึ้นอยู่ว่าจะนำเงินไปใช้อะไร แต่ถ้าไม่ใช่ สถานการณ์อาจจะแย่ลง เพราะเศรษฐกิจจะโตช้ามาก ถ้าไม่ช่วยตอนนี้ จะทำให้อีก 5 ปีจากนี้ เศรษฐกิจจะเดินต่อไม่ได้
“แม้หนี้อาจจะสูงแต่เศรษฐกิจก็เดินต่อได้ และอีกสิ่งที่จำเป็นในอนาคต ที่รัฐบาลต้องทำ คือ การสร้างเศรษฐกิจไทยให้ดีด้วย ไม่ได้ซ่อม หรือแค่บรรเทาผลกระทบอย่างเดียว”
ส่วนทิศทางปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือไม่ ก็มีความเป็นไป ยังมีโอกาสเติบโต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการแพร่ระบาดโควิด-19 หากอัตราการตายมีสัดส่วนที่น้อย และเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนผู้สูงอายุ อาจจะทำให้รัฐไม่ต้องปิดเมือง สถานการณ์เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น
“สิ่งที่รัฐต้องทำ ไม่ใช่แค่เยียวยาต่อลมหายใจอย่างเดียว แต่ต้องเติมสภาพคล่องที่นำไปสู่การปรับตัว ปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ ทำให้กระบวนการปรับเปลี่ยนมีต้นทุนน้อยที่สุดและเร็วที่สุด หนึ่งในนั้นคือการให้สินเชื่อเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ รัฐบาลต้องทำงานร่วมกับธนาคารพาณิชย์และภาคการเงินดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งมีหลายเรื่องที่ภาครัฐสามารถทำได้ รวมถึงการอัพสกิล รีสกิล เพื่อเกิดแรงทางใหม่ รองรับการเติบโตเศรษฐกิจไทยในรูปแบบใหม่”
ขณะที่ ดร.
ธนิต ย้ำว่า เรากำลังเผชิญกับ 2 วิกฤติซ้อนกันอยู่ ทั้งวิกฤติโรคระบาดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน นับว่ามีผลอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งกระทบต่อตลาดแรงงานโดยตรงด้วยพอโควิด-19 เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา เศรษฐกิจแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด จีดีพีติดลบ 6.1 แนวโน้มที่จะฟื้นตัวมีการประเมินแล้วว่า เร็วที่สุดคือช่วงครึ่งปีหน้า
“ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้จะอยู่ไกลจากไทย ทว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะเรื่องราคาน้ำมัน นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดวิกฤติเงินเฟ้อในหลายประเทศอีกด้วย และยังไม่รู้ว่าสงครามนี้ยืดยาวไปถึงเมื่อไหร่ จากการเจอวิกฤติซ้อนกัน ก่อให้เกิดซัพพลายช็อต ราคาสินค้านำเข้าก็พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย”
ดร.
ธนิต กล่าวต่อว่า ขณะที่ภาคแรงงาน ธุรกิจการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบโดยตรง กระทบกับแรงงานท่องเที่ยว 3 ล้านกว่าคน ขณะที่คนว่างงานประมาณ 6.3 แสนคน ยังมีคนว่างงานแฝงที่ทำงานไม่ถึงชั่วโมงต่อสัปดาห์อีกประมาณ 6 แสนคน ในขณะเดียวกันยังจะมีนักศึกษาจบใหม่ออกมาแย่งงานทำอีก จึงส่งผลให้อัตราว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
“หลังวิกฤติครั้งนี้ โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มีแนวโน้มสูงที่การจ้างงานจะต้องเปลี่ยน ผู้ประกอบการจะใช้เครื่องจักรเข้ามาแทนมนุษย์มากยิ่งขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ” ดร.
ธนิต กล่าว
ส่วนนาง
มาริสากล่าวว่า ตอนนี้ท่องเที่ยวทรงๆ จากปี 2019 มีนักท่องเที่ยว 3.89 ล้านคน รายได้ 3 ล้านล้านบาท มาถึงปี 2021 มีนักท่องเที่ยวเหลือ 4.2 แสนคน ติดลบ 90% ตัวเลขรายได้ไม่ต้องคำนวณกัน ถึงแม้จะมีการกระตุ้นเที่ยว แต่ถือเป็นสถานการณ์ลำบากที่สุด เท่าที่เคยประสบมา ลำบากยิ่งกว่าต้มยำกุ้ง เพราะกระทบทั้งองคาพยพ ซัพพลายเชน ปัญหาที่กระทบมาก คือ กระแสเงินสด คนที่อยู่ได้คือคนที่มีหนี้น้อย กระเป๋าหนัก สายป่านยาว โดยเฉพาะโรงแรมใหญ่
นาง
มาริสา กล่าวต่อไปว่า แม้รัฐบาล จะมีเงินช่วยจากเงินกู้ซอฟต์โลน แต่ ดีมานด์นักท่องเที่ยวหายไป 90% แต่คนเป็นหนี้ไม่อยากเป็นหนี้แล้ว โกดังพักหนี้ ก็โอนให้แบงก์ แล้วถ้ามีโอกาสค่อยมาซื้อคืน สิ่งที่ต้องทำคือ เราต้องสร้างดีมานด์ให้ได้ เพราะตอนนี้หลายโรงแรมยื้อไม่ไหว อยู่ได้อีกแค่ 2-3 เดือน ซึ่งตอนนี้มีนักลงทุนต่างชาติ อยากจะมาซื้อ แต่เขาต้องการทำเลที่ดี โดยมองว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า เขาเห็นโอกาส
“สิ่งที่อยากให้รัฐช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุดคือ 1. ยกเลิกมาตรการกักตัวต่างๆ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตรวจ RT-PCR ก่อนเข้าประเทศ ยกเลิก Test & GO รวมถึงยกเลิกการกักตัว สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วให้สามารถเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยได้เลย 2.กระตุ้นให้คนไทยเดินทางมากขึ้น” นาง
มาริสา กล่าว
JJNY : ไทยสุขน้อยลง ตกอันดับ│ส.อ.ท.ห่วงน้ำมันแพง│น่าห่วง!คนว่างงานสูงขึ้น-โรงแรมยื้อไม่ไหว│‘หวัง อี้’ย้ำจีนต่อต้านสงคราม
https://brandinside.asia/finland-happiest-country-in-world-for-fifth-consecutive-year/
สำหรับรายงาน World Happiness Report นี้ มีการจัดทำต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลา 1 ทศวรรษแล้ว ในช่วงปี 2020-2021 ที่ผ่านมามีโควิดระบาดเกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน จากการทำรายงานพบว่า ประเทศใดก็ตามที่ประชาชนมีความเชื่อมั่น ไว้วางใจในรัฐบาลและมีอัตราการเสียชีวิตจากโควิดระบาดต่ำก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการทำให้ผู้คนมีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น
ฟินแลนด์นั้นถือเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกติดต่อกันยาวนานเป็นเวลา 5 ปีแล้ว ขณะที่สหรัฐอเมริกานั้นติดอันดับที่ 16 เลื่อนขึ้นมาจากเดิม 3 อันดับ ด้าน Jeffrey Sachs ผู้อำนวยการ Center for Sustainable Development แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ระบุว่า บทเรียนจากรายงานการจัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกนั้นทำให้ได้รู้ว่า แรงสนับสนุนจากสังคม การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ไปจนถึงความซื่อสัตย์ของรัฐบาลนั้นมีนัยสำคัญที่ส่งผลให้ประชาชนมีความสุข
รายงานดักล่าวจัดทำขึ้นเป็นเวลายาวนานนับสิบปีแล้ว พบว่า ประเทศที่มีความสุขที่สุดโดยมากคือประเทศเซอร์เบีย บัลแกเรีย โรมาเนีย ขณะที่ประเทศที่มีความสุขน้อยลงก็มีเช่นกัน อาทิ เลบานอน เวเนซุเอลาและอัฟกานิสถาน รายงานมีการวัดผลความสุขของผู้คนมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ปัจจัยที่นำมาประเมิน อาทิ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว อายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในสังคม แรงสนับสนุนจากสังคม เสรีภาพในการใช้ชีวิตและมุมมองต่อการคอร์รัปชั่น เป็นต้น
Sachs ระบุว่า ผู้นำโลกควรจะเอาใจใส่เรื่องนี้ การเมืองควรจะเป็นรากฐานที่สร้างความสุข การกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนมากกว่าจะคำนึงแต่เรื่องของอำนาจในการปกครอง
สำหรับ 10 อันดับแรกที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ
• ฟินแลนด์
• เดนมาร์ก
• ไอซ์แลนด์
• สวิตเซอร์แลนด์
• เนเธอร์แลนด์
• ลักแซมเบิร์ก
• สวีเดน
• นอร์เวย
• อิสราเอล
• นิวซีแลนด์
ส่วนประเทศไทยนั้นติดอันดับที่ 61 ขณะที่ปีก่อนหน้านี้อยู่อันดับที่ 54
ที่มา – Bloomberg, World Happiness Report 2022, 2021
ส.อ.ท.ห่วงน้ำมันแพงจี้รัฐดูรอบด้านแก้ปัญหา
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_309060/
ประธาน ส.อ.ท. เผย ภาคธุรกิจยังกังวลความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน น้ำมันแพง เงินเฟ้อพุ่ง สินค้าปรับขึ้นราคา แนะ รัฐบาลต้องดูรอบด้านแก้ปัญหา
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า ภาคธุรกิจยังกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนที่เกิดขึ้น เพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกให้ชะลอตัวลง ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับไทยโดยตรงเป็นเรื่องของระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และปัญหาภาวะเงินเฟ้อที่จะตามมาจากทั่วโลก
ทั้งนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องมีแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาพลังงาน เพราะจะส่งผลต่อราคาสินค้าหากปรับตัวขึ้น สิ่งที่จะตามมาคือผลกระทบค่าครองชีพประชาชนที่เพิ่มขึ้น เช่นปัจจุบันที่ต้นทุนด้านการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น จากปัญหารัสเซีย-ยูเครน และจะเริ่มเห็นการทยอยปรับขึ้นราคาสินค้า
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องพิจารณาแนวทางต่างๆ อย่างรอบด้านในการแก้ไขปัญหา เพื่อดูแลไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบมากเกินไป
น่าห่วง!คนว่างงานสูงขึ้น-โรงแรมยื้อไม่ไหว-จี้รัฐคืนเงินกองทุนน้ำมัน
https://www.dailynews.co.th/news/872879/
วงเสวนาหลักสูตร "บสก." ชี้พิษโควิดทำคนจนเพิ่มเป็น 4.8 ล้านคน ท่องเที่ยวอ่วมหนักสุด วอนภาครัฐปลดล็อกทุกมาตรการรับนักท่องเที่ยวฟื้นธุรกิจทางรอดประเทศ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซ้ำเติมวิกฤติพลังงาน แนะรื้อโครงสร้างราคาน้ำมันทั้งระบบ
เมื่อวันที่ 19 มี.ค.65 ที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลางด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (บสก.) รุ่นที่ 10 จัดสัมมนาสาธารณะ ในหัวข้อ “ทางรอดปากท้อง ทางออกเศรษฐกิจฝ่าคลื่นโควิด : โอกาสหรือความเสี่ยง?” โดยมีวิทยากร 5 คน ประกอบด้วย ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผอ.สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้า และอุตสาหกรรมไทย นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) และ ดร.ทองอยู่ คงขันธ์ ประธานที่ปรึกษา สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ร่วมพูดคุยหาทางออกวิกฤติเศรษฐกิจในหลายมิติ
ดร.พิสิทธิ์ กล่าวว่า โควิด-19 ทำกิจกรรทางเศรษฐกิจต้องชะงักลง โดยตั้งแต่ปี 63 รัฐบาลได้ พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 1 ล้านล้านบาท และ พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มเติมปี 64 วงเงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งเข้ามาช่วยเยียวยาด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจในหลายๆ มิติ ทั้งภาคการท่องเที่ยว มาตรการชดเชยต่างๆ การจัดหาวัคซีน ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา คือ โครงการเยียวยาประชาชนต่างๆ ทั้ง คนละครึ่ง เราชนะ ม.33 เรารักกัน สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ถึง 40 ล้านคน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วปี 63 เม็ดเงินเยียวยาที่รัฐให้แก่ประชาชนเฉลี่ยอยู่ที่ 13,400 บาทต่อคนต่อปี
“ต้องยอมรับว่าโควิดทำให้คนจนเพิ่มขึ้น จากก่อนโควิดที่มีคนจนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3 ล้านคน แต่เมื่อเกิดโควิดเพิ่มเป็น 4.8 ล้านคน แต่ถ้าไม่มีมาตรเยียวยาต่างๆ จากรัฐออกมา จะมีคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 11 ล้านคน”
อย่างไรก็ตามทิศทางปี 65 รัฐบาลยังมีงบประมาณที่ยังไม่ได้จัดสรรอยู่ ทำให้มีความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ได้รับความเดือดร้อนอยู่ โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสถานการณ์บรรยากาศต่างๆในไทยก็เริ่มดีขึ้น มีวัคซีนเพิ่มขึ้น แต่ไทยกำลังเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่สำคัญ อย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ศึกษา วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยผลกระทบหนักที่เกิดขึ้น คือ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น เพราะเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ต้นทุนต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นทุกส่วน ซึ่งอาจจะต้องหาจุดกึ่งกลาง หากลไกเข้ามาจัดสรร โดยกระทรวงการคลังก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว
ขณะที่ ดร.สมชัย ชี้ว่า ปัจจุบันเพดานหนี้สาธารณะประเทศไทยอยู่ที่ 70% หรือคิดเป็น 10% ของจีดีพีประเทศ ดังนั้นมีโอกาสเพิ่มหนี้ได้อีก 10% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านบาท แต่ขึ้นอยู่ว่าจะนำเงินไปใช้อะไร แต่ถ้าไม่ใช่ สถานการณ์อาจจะแย่ลง เพราะเศรษฐกิจจะโตช้ามาก ถ้าไม่ช่วยตอนนี้ จะทำให้อีก 5 ปีจากนี้ เศรษฐกิจจะเดินต่อไม่ได้
“แม้หนี้อาจจะสูงแต่เศรษฐกิจก็เดินต่อได้ และอีกสิ่งที่จำเป็นในอนาคต ที่รัฐบาลต้องทำ คือ การสร้างเศรษฐกิจไทยให้ดีด้วย ไม่ได้ซ่อม หรือแค่บรรเทาผลกระทบอย่างเดียว”
ส่วนทิศทางปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือไม่ ก็มีความเป็นไป ยังมีโอกาสเติบโต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการแพร่ระบาดโควิด-19 หากอัตราการตายมีสัดส่วนที่น้อย และเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนผู้สูงอายุ อาจจะทำให้รัฐไม่ต้องปิดเมือง สถานการณ์เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น
“สิ่งที่รัฐต้องทำ ไม่ใช่แค่เยียวยาต่อลมหายใจอย่างเดียว แต่ต้องเติมสภาพคล่องที่นำไปสู่การปรับตัว ปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ ทำให้กระบวนการปรับเปลี่ยนมีต้นทุนน้อยที่สุดและเร็วที่สุด หนึ่งในนั้นคือการให้สินเชื่อเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ รัฐบาลต้องทำงานร่วมกับธนาคารพาณิชย์และภาคการเงินดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งมีหลายเรื่องที่ภาครัฐสามารถทำได้ รวมถึงการอัพสกิล รีสกิล เพื่อเกิดแรงทางใหม่ รองรับการเติบโตเศรษฐกิจไทยในรูปแบบใหม่”
ขณะที่ ดร.ธนิต ย้ำว่า เรากำลังเผชิญกับ 2 วิกฤติซ้อนกันอยู่ ทั้งวิกฤติโรคระบาดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน นับว่ามีผลอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งกระทบต่อตลาดแรงงานโดยตรงด้วยพอโควิด-19 เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา เศรษฐกิจแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด จีดีพีติดลบ 6.1 แนวโน้มที่จะฟื้นตัวมีการประเมินแล้วว่า เร็วที่สุดคือช่วงครึ่งปีหน้า
“ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้จะอยู่ไกลจากไทย ทว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะเรื่องราคาน้ำมัน นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดวิกฤติเงินเฟ้อในหลายประเทศอีกด้วย และยังไม่รู้ว่าสงครามนี้ยืดยาวไปถึงเมื่อไหร่ จากการเจอวิกฤติซ้อนกัน ก่อให้เกิดซัพพลายช็อต ราคาสินค้านำเข้าก็พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย”
ดร.ธนิต กล่าวต่อว่า ขณะที่ภาคแรงงาน ธุรกิจการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบโดยตรง กระทบกับแรงงานท่องเที่ยว 3 ล้านกว่าคน ขณะที่คนว่างงานประมาณ 6.3 แสนคน ยังมีคนว่างงานแฝงที่ทำงานไม่ถึงชั่วโมงต่อสัปดาห์อีกประมาณ 6 แสนคน ในขณะเดียวกันยังจะมีนักศึกษาจบใหม่ออกมาแย่งงานทำอีก จึงส่งผลให้อัตราว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
“หลังวิกฤติครั้งนี้ โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มีแนวโน้มสูงที่การจ้างงานจะต้องเปลี่ยน ผู้ประกอบการจะใช้เครื่องจักรเข้ามาแทนมนุษย์มากยิ่งขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ” ดร.ธนิต กล่าว
ส่วนนางมาริสากล่าวว่า ตอนนี้ท่องเที่ยวทรงๆ จากปี 2019 มีนักท่องเที่ยว 3.89 ล้านคน รายได้ 3 ล้านล้านบาท มาถึงปี 2021 มีนักท่องเที่ยวเหลือ 4.2 แสนคน ติดลบ 90% ตัวเลขรายได้ไม่ต้องคำนวณกัน ถึงแม้จะมีการกระตุ้นเที่ยว แต่ถือเป็นสถานการณ์ลำบากที่สุด เท่าที่เคยประสบมา ลำบากยิ่งกว่าต้มยำกุ้ง เพราะกระทบทั้งองคาพยพ ซัพพลายเชน ปัญหาที่กระทบมาก คือ กระแสเงินสด คนที่อยู่ได้คือคนที่มีหนี้น้อย กระเป๋าหนัก สายป่านยาว โดยเฉพาะโรงแรมใหญ่
นางมาริสา กล่าวต่อไปว่า แม้รัฐบาล จะมีเงินช่วยจากเงินกู้ซอฟต์โลน แต่ ดีมานด์นักท่องเที่ยวหายไป 90% แต่คนเป็นหนี้ไม่อยากเป็นหนี้แล้ว โกดังพักหนี้ ก็โอนให้แบงก์ แล้วถ้ามีโอกาสค่อยมาซื้อคืน สิ่งที่ต้องทำคือ เราต้องสร้างดีมานด์ให้ได้ เพราะตอนนี้หลายโรงแรมยื้อไม่ไหว อยู่ได้อีกแค่ 2-3 เดือน ซึ่งตอนนี้มีนักลงทุนต่างชาติ อยากจะมาซื้อ แต่เขาต้องการทำเลที่ดี โดยมองว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า เขาเห็นโอกาส
“สิ่งที่อยากให้รัฐช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุดคือ 1. ยกเลิกมาตรการกักตัวต่างๆ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตรวจ RT-PCR ก่อนเข้าประเทศ ยกเลิก Test & GO รวมถึงยกเลิกการกักตัว สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วให้สามารถเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยได้เลย 2.กระตุ้นให้คนไทยเดินทางมากขึ้น” นางมาริสา กล่าว