“รู้จัก Tony Montana ผ่าน AgustD” จากมาเฟียชื่อดังสู่แรงบันดาลใจของแรปเปอร์หนุ่มสุด swag



Tony Montana เป็นเพลงในมิกซ์เทปแรกของ
"Agust D" ที่ยุนกิร้องร่วมกับ "Yankie"  เป็นเพลงที่พูดถึงความต้องการของเขาที่จะไม่ปล่อยให้ชื่อเสียงมาทำให้เขากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ อีกทั้งในเพลงยังแฝงอะไรที่น่าสนใจไว้อีกเยอะ แรงบันดาลใจของเพลงนี้มาจากหนังเรื่อง "Scarface" หนังโปรดของยุนกิ กำกับโดย Brian De Palma และผู้รับบทนำเป็น Tony Montana ก็คือ Al Pacino ซึ่งสัญลักษณ์ของTony คือรอยแผลเป็นบนหน้า (น่าจะเป็นที่มาของรอยแผลบนหน้ายุนกิใน MV Daechwita ด้วย)


มีการสังเกตว่า ทีมงานได้ครีเอทชุดของยุนกิใน MV Dynamite ให้คล้ายกับชุดของ Tony Montana ในหนังด้วย ซึ่ง Al Pacino โด่งดังอย่างมากจากบท Tony Montana และ Dynamite เองก็ดังพลุแตกมากเช่นกัน


สรุปคร่าวๆเกี่ยวกับหนังเรื่อง "Scarface" 
เป็นเรื่องราวของ Tony Montana ชาวคิวบาที่ลี้ภัยไปอยู่ Miami ในช่วง1980 เขาเข้าไปพัวพันกับยาเสพติดและการฆาตกรรม ตามคำสั่งของมาเฟียเพื่อแลกกับเงินและกรีนการ์ด ทั้งเรื่อง Tony มีบทบาทที่โหดเหี้ยมมากซึ่งเป็นผลมาจากอำนาจเงิน 

ซึ่งยุนกิได้หยิบเอาความทะเยอทะยานและคลั่งเงินของ Tony มาเป็นแรงบันดาลใจในเพลง เพราะเขาไม่ต้องการให้ความสำเร็จและชื่อเสียง มาทำให้เขาลืมจุดกำเนิดหรือละทิ้งแก่นแท้ของเขาในฐานะแรปเปอร์ที่มาจาก underground

ยกตัวอย่างบางท่อนในเพลง Tony Montana
 “ความสำเร็จและความสุขนั้นเหมือนกันแต่ก็ต่างกัน ผมต้องการความสำเร็จมากกว่านี้ อยากมั่งคั่งและมีเกียรติมากขึ้นกว่านี้"


มีหลายเพลงของยุนกิที่พูดถึง ความฝัน ความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้ที่ทำให้เขาพยายามปรับปรุงตัวเองทุกวัน แต่หลังจากประสบความสำเร็จก็มีความขัดแย้งบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งเป็นผลกระทบจากการมีชื่อเสียง นั่นก็คือ เกิดความหวาดกลัวทางสังคม
(จากเพลง 'The last" ที่ยอมรับว่าตัวเองกำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมาน) ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสียที่เขาต้องเผชิญเมื่อประสบความสำเร็จ เพราะในช่วงแรกของอาชีพศิลปิน เขาไม่สามารถหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นและมองเห็นตัวเองผ่านสายตาของคนอื่นได้เลย


นั่นคือเหตุผลว่าทำไมยุนกิถึงบอกว่า ความสำเร็จและความสุขนั้นไม่เหมือนกัน เพราะแม้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่มีความสุข อย่างเช่นเขาเองที่ต้องการอิสระในการไปดูหนังหรือไปในที่สาธารณะโดยที่ไม่เป็นที่จับจ้อง แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้

“ผมต้องการเงิน แต่ก็ผมหวังว่า
 ผมจะไม่กลายเป็นปีศาจที่ค่อยไล่ล่าแต่เงิน”


ยุนกิบอกว่า "ความสำเร็จ" เปลี่ยน Tony Montana ไปมาก (โหดเหี้ยมเกินมนุษย์) และเขาไม่ต้องการให้ความทะเยอทะยานแบบนั้นมาทำลายจิตวิญญาณของเขาในฐานะศิลปินและนักแต่งเพลง

นอกจากนี้เขายังเคยบอกอีกว่า เขาไม่ได้ทำเพลงเพื่อให้เพลงอยู่บนชาร์ต แต่ทำเพราะเขารักงานของเขาจริงๆ และรักที่จะสร้างสรรค์ผลงานเพลงที่สามารถเข้าไปอยู่ในใจคนฟังได้

เขารู้ดีว่าความทะเยอทะยานนั้นช่วยได้มากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความท้าทาย แต่ก็ไม่ใช่เพียงวิธีเดียว เพราะยังมีค่านิยมเชิงบวกของมนุษย์อีกมากมายที่สามารถช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้


"ผมบอกตัวเองว่า ผมจะไม่ภาวนาให้ใครต้องล้มเหลว ครอบครัว อาร์มี่และ BTS คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของผม”

ท่อนนี้แสดงให้เห็นถึงการลำดับความสำคัญของยุนกิ สำคัญที่สุดไม่ใช่ความสำเร็จ แต่เป็นวง ครอบครัวและแฟนๆ ถ้าไม่มีพวกเขายุนกิก็คงไม่มีวันนี้

“เงินมากขึ้น ปัญหาแม** ก็มากขึ้น รู้สึกเหมือนเป็น Tony Montana เลย*ว่ะ” ท่อนนี้แสดงให้เห็นถึงข้อเสียของการประสบความสำเร็จ 

ยุนกิรู้ดีว่าทุกคำในเพลง ทุกการกระทำทั้งการตัดสินใจของเขา จะถูกตัดสินและวิเคราะห์โดยคนอื่น
โชคดีที่มีอาร์มี่เป็นเกราะป้องกันเขาจากผู้คนที่คอยดูถูกเกลียดชัง


“สำหรับคนที่ชอบพูดว่า แท้จริงแล้วผมเป็นแค่ไอดอล แต่เพลงขึ้น Billboard 3 ครั้ง มันไม่ใช่เล่นๆนะ” 
ในช่วงเดบิวต์แรกๆ ยุนกิถูกวิจารณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจเป็นไอดอล เพราะสำหรับหลายๆ คนแล้วไอดอลมันตรงข้ามกับแรปเปอร์ ทำให้เขาต้องจำนนกับภาพลักษณ์ของแรปเปอร์ใต้ดินที่กลายมาเป็นไอดอล

แต่ยุนกิก็ภูมิใจที่ได้มาเป็นไอดอล เพราะสามารถส่งข้อความผ่านเพลงของเขาให้กับคนอื่นๆ ได้ และเพราะการมีอิสระในการเขียนเพลงทำให้เขาสามารถแสดงออกถึงความเป็นแรปเปอร์มืออาชีพได้ด้วยเช่นกัน


Cr: JinJinJ

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับหนังเรื่อง Scarface 👇

Cr: unlockmen
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่