☩
☩
Otto Skorzeny
☩
☩
Otto Skorzeny นายพลที่อันตรายที่สุด
นายพลคู่ใจของอดอฟท์ ฮิตเลอร์
ในหน่วยรบ Obersturmbannführer กองพล SS
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
Otto Skorzeny มีชื่อเสียงมากในปี 1943
จากการชิงตัวประกัน Benito Mussolini
อย่างกล้าหาญจากปราการภูเขา Abruzzi
ซึ่งคุมขังผู้นำอิตาลีไว้เพื่อต่อรอง/เปลี่ยนรัฐบาล
การชิงตัวประกันสำเร็จครั้งนี้
ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ยืดเยื้อไปอีก 2 ปี
รอยแผลเป็นที่เห็นบนแก้มของ Otto Skorzeny
ไม่ใช่เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติภารกิจที่กล้าหาญครั้งนี้
และไม่ได้เกิดขึ้นตอนนำนำหน่วย SS
บุกเข้ายึดพระราชวังบูดาเปสต์
และจับกุมผู้นำฮังการี Miklos Horthy
ไปคุมขังที่เยอรมันนี้พร้อมกับเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
หรือระหว่างปฏิบัติการ Greif
เมื่อนำทัพทหารเยอรมันหลายร้อยนาย
แทรกแซง/ปลอมแปลงเป็นพวกทหารอเมริกัน
ลอบโจมตีตลบหลังกองทัพพันธมิตร
รอยแผลเป็น Mensur นี้เกิดขึ้น
ตอนที่ Otto Skorzeny
เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเวียนนา
ซึ่งร่ำเรียนวิชาการฟันดาบที่เรียกว่า Mensur
เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชาตินาซีเยอรมันหลายคน
Otto Skorzeny ได้อวดรอยแผลเป็นอย่างภาคภูมิใจ
เป็นสัญลักษณ์เกียรติยศ/ความกล้าหาญ
เป็นสัญลักษณ์/ร่องรอยของคนแน่จริง
และคนที่มีสถานะทางสังคมชนชั้นสูง
☩
☩
☩
ชาวเยอรมันสองคนมีส่วนร่วมใน Mensur
ภาพวาดโดย Georg Mühlberg (1863-1925)
☩
☩
การต่อสู้แบบนักกีฬาด้วยการดวลดาบ
เกิดขึ้นได้หลายศตวรรษที่ผ่านมา
เมื่อดาบเป็นอาวุธประจำกายของขุนนางทั่วยุโรป
เมื่อใดก็ตามที่เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
การท้าทายการต่อสู้ก็มักจะเกิดขึ้นตามมา
และการต่อสู้ของชนชั้นเหล่านี้
จึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก
ที่ต่างคนต่างหยิบอาวุธประจำกาย
ที่ไม่ใช่มีไว้แค่โอ้อวดออกมาดวลกัน
การดวลดาบกันกลายเป็นเรื่องธรรมดามาก
ในสภาพแวดล้อมทางวิชาการด้วย
เพราะมีคนเรียนน้อยมากในมหาวิทยาลัยยุคนั้น
การเป็นนักศึกษาจึงเป็นสัญลักษณ์
แสดงสถานะทางสังคมชั้นสูงส่วนหนึ่ง
นักศึกษามักจะสวมเสื้อผ้าพิเศษ
มีการพัฒนาแบบเสื้อแบบพิเศษ
ร้องเพลงประจำสถาบันการศึกษา
และต่อสู้ด้วยการดวลดาบกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดาสามัญในยุคนั้น
การฟันดาบในแง่ทางวิชาการ
ถูกมองว่าเป็นการฝึกฝนสร้างบุคลิกลักษณะ
เพราะช่วยให้บุคคลสามารถแสดงออกทางสีหน้า
และความเป็นธรรมดามากในในสถานการณ์ที่อันตราย
(ใบหน้านิ่ง ใบหน้าตาย ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์)
เมื่อถึงศตวรรษที่ 17
การดวลดาบจึงถูกควบคุมด้วยกติกาการต่อสู้
ที่ตัดสินโดยเจ้าหน้าที่ซึ่งกำหนดเวลา
และระบุสถานที่ของการต่อสู้ดวลดาบ
ผู้ตัดสินจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ
ผู้ตัดสินใจให้สู้ต่อหรือยุติการดวลดาบ
และมีแพทย์มาเตรียมทำการรักษา
เพราะอาการบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติ
อาการบาดเจ็บเหล่านี้มักจะไม่ถึงกับตาย
แต่มันทิ้งรอยแผลเป็นที่น่าเกลียด
แต่เป็นแผลเป็นที่หลายคนต้องการ
ที่เรียกว่า Schmitte
(แผลของช่างฝีมือ ระดับชั้นหนึ่ง/โอ้อวด)
(Schmitte คือ ช่างฝีมือ Smith ในอังกฤษ
ที่มี Goldsmith ช่างทอง Blacksmith ช่างเหล็ก
พวก Germanics เยอรมันเคยยึดครองอังกฤษ
คำศัพท์/ไวยกรณ์หลายคำใกล้เคียงกับเยอรมัน
ในระบบศักดินา ช่างฝีมือมีฐานะและเกียรติสูง
รองจากพวกขุนนางอำมาตย์
หรือ เหนือชั้นกว่าชาวนา/ไพร่ติดดิน)
ในบทความ The St Louis Daily Globe
ที่ตีพิมพ์ในปี 1887 ระบุว่า
บาดแผลทำให้เกิด ความไม่สะดวกชั่วคราว
และการทิ้งร่องรอยไว้เป็นพยานหลักฐานตลอดชีวิต
แสดงถึงผ่านการสู้รบ/ดวลดาบ
แม้ว่าความจริงอาจจะหวาดกลัวในคราแรก
แผลเป็นที่ได้จากการดวลดาบ
จะกลายเป็นเอกลักษณ์/สัญรูป
ของความกล้าหาญและชนชั้นทางสังคม
เพราะมีแต่มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้น
ที่สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในยุคนั้น
ที่มีกลุ่มภราดรภาพ/น้ำใจน้องพี่รั้วเดียวกัน
ที่มีการดวลดาบกันอย่างแพร่หลาย
☩
☩
☩
ภาพสเก็ตช์ดินสอของการต่อสู้ของลูกผู้ชาย
โดย Christian Wilhelm Allers (1857–1915)
☩
☩
ในช่วงแรก ๆ ของการดวลดาบกัน
นักศึกษาหลายคนเสียชีวิตระหว่างการดวลดาบ
เพราะส่วนใหญ่ปอดที่ถูกเจาะด้วยปลายดาบแหลม
ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 เท่านั้น
ที่นักดวลดาบเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1884
British Saturday Review
ได้อธิบายถึงชุดดวลดาบทั่วไปทำมาจาก
เสื้อกั๊กหนังบุนวมเกือบถึงเข่า คลุมร่างกาย
และแขนขวาหุ้มอยู่ในแขนเสื้อที่ติดกับถุงมือ
ซึ่งอาจเทียบได้กับรักบี้ฟุตบอลแบบยาว
ในการดวลจริง มีระบบการป้องกันที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ข้อมือขวาหรือซ้าย แล้วแต่คนถนัดซ้าย/ขวา
ได้รับการปกป้องด้วยวงแหวน/กระบังดาบ
กับแขนอีกข้าง(ซ้ายหรือขวา)ที่พับเก็บไว้ด้านหลัง
พร้อมกับผ้าโพกหัวแบบแขกตะวันออก
ก็เพียงพอที่จะหยุดการฟันหัวแบะได้ในระดับหนึ่ง
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด
แต่ร่างกายก็ถูกปกคลุมไปรอบตัวแล้ว
ดวงตาได้รับการปกป้องด้วยแว่นตาเหล็ก
โดยใช้ลวดตาข่ายที่แข็งแรงแทนแว่นตา
การดวลดาบอย่างเป็นทางการ
จะเริ่มต้นด้วยการดูถูกอีกฝ่ายว่า
คนโง่ที่สุดมักจะเป็นคนโง่ หรือเรียกไอ้ Junge
(Junge หรือ Young ในภาษาอังกฤษ
กึ่งคำเหยียดถ้าเรียกคนรุ่นเดียวกัน/อายุมากกว่า
แบบคำว่า Boy ในบางพื้นที่ของฝรั่ง มีนัยว่าด้อยกว่า
ถ้าไทยก็มีคำสร้อย เช่น เด็กนรก เด็กเผือก
เด็กไม่รู้จักโต เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม)
บรรดานักศึกษาต่างจะถูกเรียกร้อง/เชิญชวน
ให้มีการดวบดาบอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ในช่วงเวลาเรียนกันที่มหาวิทยาลัย
แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนผ่านการดวลดาบ
20-30 ครั้งในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
Fritz Bacmeister นักศึกษาชาวเยอรมันคนหนึ่ง
เข้าร่วมการแข่งขันดวลดาบประมาณ 100 ครั้ง
นักฟันดาบผู้มีประสบการณ์หลายคน
จึงสะสมรอยแผลเป็นไว้มากมาย
นักสู้อีกคนจากศตวรรษที่ 19
ซึ่งต่อสู้ไม่ต่ำกว่า 13 ครั้งในการดวลดาบ
มีแผลเป็น 137 แผลที่ศีรษะ ใบหน้าและลำคอ
ในช่วงอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ของนาซีเยอรมัน
มีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการดวลดาบกันอีก
บังคับให้ภราดรภาพนักศึกษาจำนวนมาก
(กลุ่มภราดรภาพ/น้ำใจน้องพี่ร่วมสถาบัน)
ต้องแอบไปดวลดาบกันอย่างลับ ๆ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ความนิยมของ Mensur/การดวลดาบลดลง
แต่บางคนประมาณการว่า
ยังคงมีกลุ่มภราดรภาพนักศึกษา
ประมาณ 400 แห่งทั่วเยอรมนี
ที่มีการฝึกสุภาพบุรุษนักสู้
และชื่นชอบกับการที่มีแผลเป็น
จากการดวลดาบกันเหมือนในอดีต
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/3pFRtF2
https://bit.ly/3CktMHK
☩
☩
☩
☩
หลังจบการดวลดาบของนักศึกษาเยอรมัน
☩
☩
☩
นักศึกษาเยอรมันโชว์แผลสดหลังการดวลดาบ
☩
☩
☩
Adolf Hoffmann-Heyden นักเรียนทหารเยอรมัน
เผยให้เห็นแผลเป็นจากฟันดาบที่สดมาก
และมีรอยแผลเก่าเล็กน้อย
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
Mensur การดวลดาบ ใน Heidelberg 1900
☩
☩
☩
Mensur การดวลดาบกับ Korbschlägern
ใน Tübingen ปี 1831
☩
☩
☩
☩
☩
Marburg การดวลดาบนักศึกษา ช่วง 1700
☩
☩
☩
วิชาฟันดาบในมหาวิทยาลัย Altdorf ปี 1725
☩
☩
☩
กลุ่มภคาดรภาพนักศึกษา Agronomia
ใน Bonn 1928/1929
☩
☩
☩
ดาบที่ใช้กันในช่วง 1740
☩
☩
☩
ดาบแบบ Pariser ของฝรั่งเศส
☩
☩
☩
การเตรียมการดวลดาบ ระหว่างสมาชิก Polish Corporation Sarmatia กับ
กลุ่มภราดรภาพเยอรมัน ใน Breisgau 2004
☩
☩
สุดยอดสายลับ Mossad ของยิว คือ อดีตสุดยอดทหาร Nazi เยอรมันนี
☩
☩
☩
☩
เรื่องเล่าไร้สาระ
เมืองไทยในยุคอดีตก็มีการท้าดวลกัน
ดวลด้วยไม้ตะพด ไม้หน้าสาม
แบบตีให้หัวแตกพอหลาบจำ
มักจะไม่เห็นแผลเป็น เพราะเส้นผมปิดบังไว้
แต่ถ้าซาดิสต์ก็ดวลกันด้วยดาบ ฟันกันให้ยับ
หรือดวลกันด้วยมีดคนละด้าม
จ้วงแทงกันแบบตัวต่อตัว
ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัสพอสมควร
ในยุคก่อนอันธพาล 2499 ที่โด่งดังในอดีต
ใครมีแผลเป็นแบบนี้ด้านหน้ามักจะโชว์แผลกัน
ถัดมาก็คือ พวกนายทหาร/ทหารผ่านศึก
ส่วนมากเวลาเมาได้ที่แล้ว มักจะโชว์แผลเป็น
รอยกระสุนปืน สะเก็ดระเบิดสนามรบที่ผ่านมา
แบบแสดงความกล้าหาญ/เจนศึกที่เคยรบมา
ตามด้วยประสบการณ์/อภินิหารพระเครื่องที่มี
ใครยิ่งมีหลายแผลมาก ยิ่งแน่มากกว่าคนอื่น
แต่มีข้อสังเกตจากผู้รู้บางท่านว่า
บางคนจะใส่เสื้อตลอดชีวิตไม่ยอมถอดเสื้อเลย
แม้ว่าจะอยู่ภายในบ้าน/อยู่กับครอบครัวตนเอง
หรือแม้ว่าอากาศจะร้อนแรงสักเพียงไหนก็ตาม
เพราะมีแผลเป็นด้านหลังจากรอยมีดแทง
หรือรอยแผลจากการถูกฟันด้วยดาบ
แสดงว่าเป็นคนป๊อดไม่สู้คน หรือวิ่งหนีการต่อสู้
จึงถูกฟันถูกแทงจนมีแผลเป็นด้านหลัง
รู้ไปถึงไหนอายเขาที่นั่น/เสียผู้เสียคน
เรียกว่า อายผู้อายคนอายยันหลานบวช
เรื่องแบบนี้ไม่ควรพูดถึงอีกเลย
แบบขัดหม้อขัดไหพองาม
ขัดคอคน/เหยียดคน
อาจจะถูกเตะ/ถึงตายได้
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
นักโทษ ขุนนางที่ทำผิด แล้วถูกเฆี่ยนด้วยหวาย
มักจะใส่เสื้อตลอดชีวิตเพื่อปกปิดรอยแผลถูกเฆี่ยน
หรือรอจนกว่าจะเป็นใหญ่เป็นโตจึงถอดเสื้อได้
และค่อยเล่ารำลึกถึงความลำบากในอดีต
มีในพงศาวดารและจดหมายเหตุหลายฉบับ
☩
☩
ในยุคทึ่ยุโรปมีปืนใช้กันมากแล้ว
ก็มีการดวลกันด้วยปืน แบบใครดีใครรอด
มีกรรมการนับ 1-3 แล้วยิงก็มี
หันหลังให้กัน เดินครบ 10 ก้าวแล้วยิงก็มี
โยนเหรียญขึ้นด้านบน หล่นถึงพื้นยิงก็มี
แอบลอบกัดยิงทีเผลอก็มีเช่นกัน
นักเขียนฝรั่งเศส อังกฤษหลายคน
ต่างมีประสบการณ์รอดตายจากการท้าดวลปืน
มีทั้งทำการดวลแบบถูกกฎหมาย/ผิดกฎหมาย
เพราะช่วงหลังทางการสั่งห้ามทำ
ให้ไปฟ้องร้องดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท
คดีสามัญประจำตัวนักข่าว/นักเขียนทุกยุคทุกสมัย
ส่วนในสหรัฐอเมริกายุคบุกเบิก
ก็เห็นได้จากหนังสือ/ภาพยนตร์ Cowboy
เรื่อง Ringo Jungo Pekko John Wayne
ซึ่งมีทั้งตำนานและเรื่องราวที่เป็นจริงในอดีต
แบบใครไวกว่า ยิงแม่นกว่า มีชัยไป
รวมทั้งมีอาชีพไล่ล่าเด็ดชีพนักโทษ
เพื่อล่าเงินรางวัลนำจับ จับตายมากกว่าจับเป็น
แบบแอบซุ่มยิงให้ตาย หรือท้าดวลปืนก็มี
แผลจากการดวลดาบ/แผลเกียรติยศ
☩
Otto Skorzeny
☩
Otto Skorzeny นายพลที่อันตรายที่สุด
นายพลคู่ใจของอดอฟท์ ฮิตเลอร์
ในหน่วยรบ Obersturmbannführer กองพล SS
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
Otto Skorzeny มีชื่อเสียงมากในปี 1943
จากการชิงตัวประกัน Benito Mussolini
อย่างกล้าหาญจากปราการภูเขา Abruzzi
ซึ่งคุมขังผู้นำอิตาลีไว้เพื่อต่อรอง/เปลี่ยนรัฐบาล
การชิงตัวประกันสำเร็จครั้งนี้
ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ยืดเยื้อไปอีก 2 ปี
รอยแผลเป็นที่เห็นบนแก้มของ Otto Skorzeny
ไม่ใช่เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติภารกิจที่กล้าหาญครั้งนี้
และไม่ได้เกิดขึ้นตอนนำนำหน่วย SS
บุกเข้ายึดพระราชวังบูดาเปสต์
และจับกุมผู้นำฮังการี Miklos Horthy
ไปคุมขังที่เยอรมันนี้พร้อมกับเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
หรือระหว่างปฏิบัติการ Greif
เมื่อนำทัพทหารเยอรมันหลายร้อยนาย
แทรกแซง/ปลอมแปลงเป็นพวกทหารอเมริกัน
ลอบโจมตีตลบหลังกองทัพพันธมิตร
รอยแผลเป็น Mensur นี้เกิดขึ้น
ตอนที่ Otto Skorzeny
เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเวียนนา
ซึ่งร่ำเรียนวิชาการฟันดาบที่เรียกว่า Mensur
เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชาตินาซีเยอรมันหลายคน
Otto Skorzeny ได้อวดรอยแผลเป็นอย่างภาคภูมิใจ
เป็นสัญลักษณ์เกียรติยศ/ความกล้าหาญ
เป็นสัญลักษณ์/ร่องรอยของคนแน่จริง
และคนที่มีสถานะทางสังคมชนชั้นสูง
☩
☩
ชาวเยอรมันสองคนมีส่วนร่วมใน Mensur
ภาพวาดโดย Georg Mühlberg (1863-1925)
☩
การต่อสู้แบบนักกีฬาด้วยการดวลดาบ
เกิดขึ้นได้หลายศตวรรษที่ผ่านมา
เมื่อดาบเป็นอาวุธประจำกายของขุนนางทั่วยุโรป
เมื่อใดก็ตามที่เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
การท้าทายการต่อสู้ก็มักจะเกิดขึ้นตามมา
และการต่อสู้ของชนชั้นเหล่านี้
จึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก
ที่ต่างคนต่างหยิบอาวุธประจำกาย
ที่ไม่ใช่มีไว้แค่โอ้อวดออกมาดวลกัน
การดวลดาบกันกลายเป็นเรื่องธรรมดามาก
ในสภาพแวดล้อมทางวิชาการด้วย
เพราะมีคนเรียนน้อยมากในมหาวิทยาลัยยุคนั้น
การเป็นนักศึกษาจึงเป็นสัญลักษณ์
แสดงสถานะทางสังคมชั้นสูงส่วนหนึ่ง
นักศึกษามักจะสวมเสื้อผ้าพิเศษ
มีการพัฒนาแบบเสื้อแบบพิเศษ
ร้องเพลงประจำสถาบันการศึกษา
และต่อสู้ด้วยการดวลดาบกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดาสามัญในยุคนั้น
การฟันดาบในแง่ทางวิชาการ
ถูกมองว่าเป็นการฝึกฝนสร้างบุคลิกลักษณะ
เพราะช่วยให้บุคคลสามารถแสดงออกทางสีหน้า
และความเป็นธรรมดามากในในสถานการณ์ที่อันตราย
(ใบหน้านิ่ง ใบหน้าตาย ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์)
เมื่อถึงศตวรรษที่ 17
การดวลดาบจึงถูกควบคุมด้วยกติกาการต่อสู้
ที่ตัดสินโดยเจ้าหน้าที่ซึ่งกำหนดเวลา
และระบุสถานที่ของการต่อสู้ดวลดาบ
ผู้ตัดสินจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ
ผู้ตัดสินใจให้สู้ต่อหรือยุติการดวลดาบ
และมีแพทย์มาเตรียมทำการรักษา
เพราะอาการบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติ
อาการบาดเจ็บเหล่านี้มักจะไม่ถึงกับตาย
แต่มันทิ้งรอยแผลเป็นที่น่าเกลียด
แต่เป็นแผลเป็นที่หลายคนต้องการ
ที่เรียกว่า Schmitte
(แผลของช่างฝีมือ ระดับชั้นหนึ่ง/โอ้อวด)
(Schmitte คือ ช่างฝีมือ Smith ในอังกฤษ
ที่มี Goldsmith ช่างทอง Blacksmith ช่างเหล็ก
พวก Germanics เยอรมันเคยยึดครองอังกฤษ
คำศัพท์/ไวยกรณ์หลายคำใกล้เคียงกับเยอรมัน
ในระบบศักดินา ช่างฝีมือมีฐานะและเกียรติสูง
รองจากพวกขุนนางอำมาตย์
หรือ เหนือชั้นกว่าชาวนา/ไพร่ติดดิน)
ในบทความ The St Louis Daily Globe
ที่ตีพิมพ์ในปี 1887 ระบุว่า
บาดแผลทำให้เกิด ความไม่สะดวกชั่วคราว
และการทิ้งร่องรอยไว้เป็นพยานหลักฐานตลอดชีวิต
แสดงถึงผ่านการสู้รบ/ดวลดาบ
แม้ว่าความจริงอาจจะหวาดกลัวในคราแรก
แผลเป็นที่ได้จากการดวลดาบ
จะกลายเป็นเอกลักษณ์/สัญรูป
ของความกล้าหาญและชนชั้นทางสังคม
เพราะมีแต่มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้น
ที่สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในยุคนั้น
ที่มีกลุ่มภราดรภาพ/น้ำใจน้องพี่รั้วเดียวกัน
ที่มีการดวลดาบกันอย่างแพร่หลาย
☩
☩
ภาพสเก็ตช์ดินสอของการต่อสู้ของลูกผู้ชาย
โดย Christian Wilhelm Allers (1857–1915)
☩
ในช่วงแรก ๆ ของการดวลดาบกัน
นักศึกษาหลายคนเสียชีวิตระหว่างการดวลดาบ
เพราะส่วนใหญ่ปอดที่ถูกเจาะด้วยปลายดาบแหลม
ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 เท่านั้น
ที่นักดวลดาบเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1884
British Saturday Review
ได้อธิบายถึงชุดดวลดาบทั่วไปทำมาจาก
เสื้อกั๊กหนังบุนวมเกือบถึงเข่า คลุมร่างกาย
และแขนขวาหุ้มอยู่ในแขนเสื้อที่ติดกับถุงมือ
ซึ่งอาจเทียบได้กับรักบี้ฟุตบอลแบบยาว
ในการดวลจริง มีระบบการป้องกันที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ข้อมือขวาหรือซ้าย แล้วแต่คนถนัดซ้าย/ขวา
ได้รับการปกป้องด้วยวงแหวน/กระบังดาบ
กับแขนอีกข้าง(ซ้ายหรือขวา)ที่พับเก็บไว้ด้านหลัง
พร้อมกับผ้าโพกหัวแบบแขกตะวันออก
ก็เพียงพอที่จะหยุดการฟันหัวแบะได้ในระดับหนึ่ง
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด
แต่ร่างกายก็ถูกปกคลุมไปรอบตัวแล้ว
ดวงตาได้รับการปกป้องด้วยแว่นตาเหล็ก
โดยใช้ลวดตาข่ายที่แข็งแรงแทนแว่นตา
การดวลดาบอย่างเป็นทางการ
จะเริ่มต้นด้วยการดูถูกอีกฝ่ายว่า
คนโง่ที่สุดมักจะเป็นคนโง่ หรือเรียกไอ้ Junge
(Junge หรือ Young ในภาษาอังกฤษ
กึ่งคำเหยียดถ้าเรียกคนรุ่นเดียวกัน/อายุมากกว่า
แบบคำว่า Boy ในบางพื้นที่ของฝรั่ง มีนัยว่าด้อยกว่า
ถ้าไทยก็มีคำสร้อย เช่น เด็กนรก เด็กเผือก
เด็กไม่รู้จักโต เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม)
บรรดานักศึกษาต่างจะถูกเรียกร้อง/เชิญชวน
ให้มีการดวบดาบอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ในช่วงเวลาเรียนกันที่มหาวิทยาลัย
แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนผ่านการดวลดาบ
20-30 ครั้งในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
Fritz Bacmeister นักศึกษาชาวเยอรมันคนหนึ่ง
เข้าร่วมการแข่งขันดวลดาบประมาณ 100 ครั้ง
นักฟันดาบผู้มีประสบการณ์หลายคน
จึงสะสมรอยแผลเป็นไว้มากมาย
นักสู้อีกคนจากศตวรรษที่ 19
ซึ่งต่อสู้ไม่ต่ำกว่า 13 ครั้งในการดวลดาบ
มีแผลเป็น 137 แผลที่ศีรษะ ใบหน้าและลำคอ
ในช่วงอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ของนาซีเยอรมัน
มีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการดวลดาบกันอีก
บังคับให้ภราดรภาพนักศึกษาจำนวนมาก
(กลุ่มภราดรภาพ/น้ำใจน้องพี่ร่วมสถาบัน)
ต้องแอบไปดวลดาบกันอย่างลับ ๆ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ความนิยมของ Mensur/การดวลดาบลดลง
แต่บางคนประมาณการว่า
ยังคงมีกลุ่มภราดรภาพนักศึกษา
ประมาณ 400 แห่งทั่วเยอรมนี
ที่มีการฝึกสุภาพบุรุษนักสู้
และชื่นชอบกับการที่มีแผลเป็น
จากการดวลดาบกันเหมือนในอดีต
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/3pFRtF2
https://bit.ly/3CktMHK
☩
☩
☩
หลังจบการดวลดาบของนักศึกษาเยอรมัน
☩
☩
☩
นักศึกษาเยอรมันโชว์แผลสดหลังการดวลดาบ
☩
☩
☩
Adolf Hoffmann-Heyden นักเรียนทหารเยอรมัน
เผยให้เห็นแผลเป็นจากฟันดาบที่สดมาก
และมีรอยแผลเก่าเล็กน้อย
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
☩
Mensur การดวลดาบ ใน Heidelberg 1900
☩
☩
☩
Mensur การดวลดาบกับ Korbschlägern
ใน Tübingen ปี 1831
☩
☩
☩
☩
☩
Marburg การดวลดาบนักศึกษา ช่วง 1700
☩
☩
☩
วิชาฟันดาบในมหาวิทยาลัย Altdorf ปี 1725
☩
☩
☩
กลุ่มภคาดรภาพนักศึกษา Agronomia
ใน Bonn 1928/1929
☩
☩
☩
ดาบที่ใช้กันในช่วง 1740
☩
☩
☩
ดาบแบบ Pariser ของฝรั่งเศส
☩
☩
☩
การเตรียมการดวลดาบ ระหว่างสมาชิก Polish Corporation Sarmatia กับ
กลุ่มภราดรภาพเยอรมัน ใน Breisgau 2004
☩
☩
สุดยอดสายลับ Mossad ของยิว คือ อดีตสุดยอดทหาร Nazi เยอรมันนี
☩
☩
☩
เรื่องเล่าไร้สาระ
เมืองไทยในยุคอดีตก็มีการท้าดวลกัน
ดวลด้วยไม้ตะพด ไม้หน้าสาม
แบบตีให้หัวแตกพอหลาบจำ
มักจะไม่เห็นแผลเป็น เพราะเส้นผมปิดบังไว้
แต่ถ้าซาดิสต์ก็ดวลกันด้วยดาบ ฟันกันให้ยับ
หรือดวลกันด้วยมีดคนละด้าม
จ้วงแทงกันแบบตัวต่อตัว
ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัสพอสมควร
ในยุคก่อนอันธพาล 2499 ที่โด่งดังในอดีต
ใครมีแผลเป็นแบบนี้ด้านหน้ามักจะโชว์แผลกัน
ถัดมาก็คือ พวกนายทหาร/ทหารผ่านศึก
ส่วนมากเวลาเมาได้ที่แล้ว มักจะโชว์แผลเป็น
รอยกระสุนปืน สะเก็ดระเบิดสนามรบที่ผ่านมา
แบบแสดงความกล้าหาญ/เจนศึกที่เคยรบมา
ตามด้วยประสบการณ์/อภินิหารพระเครื่องที่มี
ใครยิ่งมีหลายแผลมาก ยิ่งแน่มากกว่าคนอื่น
แต่มีข้อสังเกตจากผู้รู้บางท่านว่า
บางคนจะใส่เสื้อตลอดชีวิตไม่ยอมถอดเสื้อเลย
แม้ว่าจะอยู่ภายในบ้าน/อยู่กับครอบครัวตนเอง
หรือแม้ว่าอากาศจะร้อนแรงสักเพียงไหนก็ตาม
เพราะมีแผลเป็นด้านหลังจากรอยมีดแทง
หรือรอยแผลจากการถูกฟันด้วยดาบ
แสดงว่าเป็นคนป๊อดไม่สู้คน หรือวิ่งหนีการต่อสู้
จึงถูกฟันถูกแทงจนมีแผลเป็นด้านหลัง
รู้ไปถึงไหนอายเขาที่นั่น/เสียผู้เสียคน
เรียกว่า อายผู้อายคนอายยันหลานบวช
เรื่องแบบนี้ไม่ควรพูดถึงอีกเลย
แบบขัดหม้อขัดไหพองาม
ขัดคอคน/เหยียดคน
อาจจะถูกเตะ/ถึงตายได้
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
นักโทษ ขุนนางที่ทำผิด แล้วถูกเฆี่ยนด้วยหวาย
มักจะใส่เสื้อตลอดชีวิตเพื่อปกปิดรอยแผลถูกเฆี่ยน
หรือรอจนกว่าจะเป็นใหญ่เป็นโตจึงถอดเสื้อได้
และค่อยเล่ารำลึกถึงความลำบากในอดีต
มีในพงศาวดารและจดหมายเหตุหลายฉบับ
☩
☩
ในยุคทึ่ยุโรปมีปืนใช้กันมากแล้ว
ก็มีการดวลกันด้วยปืน แบบใครดีใครรอด
มีกรรมการนับ 1-3 แล้วยิงก็มี
หันหลังให้กัน เดินครบ 10 ก้าวแล้วยิงก็มี
โยนเหรียญขึ้นด้านบน หล่นถึงพื้นยิงก็มี
แอบลอบกัดยิงทีเผลอก็มีเช่นกัน
นักเขียนฝรั่งเศส อังกฤษหลายคน
ต่างมีประสบการณ์รอดตายจากการท้าดวลปืน
มีทั้งทำการดวลแบบถูกกฎหมาย/ผิดกฎหมาย
เพราะช่วงหลังทางการสั่งห้ามทำ
ให้ไปฟ้องร้องดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท
คดีสามัญประจำตัวนักข่าว/นักเขียนทุกยุคทุกสมัย
ส่วนในสหรัฐอเมริกายุคบุกเบิก
ก็เห็นได้จากหนังสือ/ภาพยนตร์ Cowboy
เรื่อง Ringo Jungo Pekko John Wayne
ซึ่งมีทั้งตำนานและเรื่องราวที่เป็นจริงในอดีต
แบบใครไวกว่า ยิงแม่นกว่า มีชัยไป
รวมทั้งมีอาชีพไล่ล่าเด็ดชีพนักโทษ
เพื่อล่าเงินรางวัลนำจับ จับตายมากกว่าจับเป็น
แบบแอบซุ่มยิงให้ตาย หรือท้าดวลปืนก็มี