“ยิ่งลักษณ์” ไลฟ์สดครั้งแรก ย้ำ ห่วงเรื่องเศรษฐกิจ-ปากท้องประชาชน วอนรัฐบาลเร่งแก้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3206890
“ยิ่งลักษณ์” ไลฟ์สดครั้งแรก บอกใจยังอยู่ไทยเสมอ แต่ต้องอยู่ให้ได้ ย้ำ ห่วงเรื่องศก.-ปากท้องปชช. วอนรบ.เร่งแก้ ให้ถาม “ประยุทธ์” เจอหน้ายังจะคุยกันได้ไหม
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ไลฟ์สดพูดคุยกับแฟนเพจผ่านทางเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไปอยู่ต่างประเทศ โดยมีนาย
พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ อดีตโฆษกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ร่วมพูดคุย
โดยน.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ก็อยากได้ยิน และสัมผัสโดยตรงว่าประชาชนวันนี้มีความทุกข์หรือเป็นอย่างไรกันบ้าง ทั้งนี้ ตนเองมาอยู่ต่างประเทศเป็นเวลา 10 ปีแล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วมาก ทั้งนี้ จะบอกว่าสบายก็คงไม่ใช่ คนเราจากบ้านเกิด จากสิ่งที่เราทำมาทุกวัน มาว่างงาน มาอยู่ห่างบ้านห่างเมือง ไม่ได้เจอพี่น้องเพื่อนฝูง คนรู้จักก็คิดถึง แต่เราก็ต้องทำอย่างไรให้เราดำรงอยู่ให้ได้ ทั้งนี้ พี่โทนี่เคยบอกว่า เวลามาอยู่เราต้องรักษาสุขภาพ ทำตัวเองให้มuความสุข เพื่อคนที่รักของเรานั่นคือสิ่งแรกที่ต้องทำ เราต้องพยายามอยู่ให้ได้ แต่ใจยังรักและคิดถึงทุกคคน
เมื่อถามถึงการฉีดวัคซีน น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนไม่อยากบอกว่าฉีดวัคซีนเยอะ ชิโนฟาร์ม 2 ไฟเซอร์ 2 กำลังคิดว่าจะฉีดอีกเข็มก็กลัวว่าจะเยอะเกินไปเลยพอก่อน คิดแค่ว่าวัคซีนคงไม่ได้ป้องกันไม่ให้ติดโควิด แต่จะทำให้มีอาการน้อย ก็คิดแบบนี้ดีกว่า
เมื่อถามว่า ติดตามสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจหรือไม่ น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ก็ติดตามอยู่ตลอด ตนเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจ และราคาข้าวของที่แพงขึ้น แต่เงินในกระเป๋าขิงพี่น้องประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้น ขณะที่กำลังประสบกับปัญหาโควิดซึ่งเหมือนเป็นการซ้ำเติมเรารู้ว่าพี่น้องประชาชนไม่มีทางออก เราก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะเราอยู่ไกล และไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว เราก็ได้แต่ส่งกำลังใจให้ทุกคนเข้มแข็ง และ ขอร้องรัฐบาลว่า ขอให้พี่น้องช่วยประชาชน เมื่อถามว่า อยากเป็นนายกฯ อีกสักสมัยไหม น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตอนนี้อาจจะเรียกว่าหมดยุคเราแล้วหรือไม่ เพราะวันนี้เป็นช่วงเวลาของคนรุ่นใหม่แล้ว เด็กรุ่นใหม่มีความสามารถเยอะ อย่างไรก็ตาม การที่ใครจะได้เป็นนายกฯอยู่ที่พี่น้องประชาชนว่าอยากให้ใครมาบริหารประเทศ ประเทศไทยมีคนที่มีความรู้ความสามารถมาก สำหรับตน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็อยากช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นบ้านเกิด เรามีความรักความผูกพัน แม้ตัวจะต้องมาอยู่ที่นี่ แต่ใจยังอยู่ประเทศไทยตลอดเวลา
เมื่อถามว่า ถ้ายังเป็นนายกฯ หรือยังเป็นรัฐบาลอยู่จะมีนโยบายอะไรที่อยากทำบ้าง น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า โครงการ 2 ล้านล้านบาท การทำรถไฟความเร็วสูง หรือการบริหารจัดการน้ำ เรื่องแท็ปเล็ต ฯลฯ ตอนที่เป็นรัฐบาลเราคิดว่าปีที่ 3 เราวางอนาคตในวันข้างหน้าของประเทศไทย เพราะปีแรกและปีที่ 2 เราใช้สำหรับแก้ปัญหาที่มีมา ขณะนั้นมีการวางยุทธศาสตร์จังหวัด เพื่อให้แต่ละจังหวัดมีความแตกต่างแล้วด้วย
เมื่อถามถึงการทำงานในฐานะนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหญิงคนแรกของประเทศไทย น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ท้าทายมาก โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และหนักใจ การสั่งงานต้องใช้ข้อกฎหมายในการสั่งการ เพราะเราคงออกไปคำสั่งเขาไม่ได้
เมื่อถามว่า ถ้าเจอหน้าพล.อ.
ประยุทธ์ ยังคุยกันได้หรือไม่ น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า
“ก็ต้องถามกลับพล.อ.ประยุทธ์ว่า ถ้าเจอหน้ายิ่งลักษณ์ยังคุยกันได้หรือไม่”
เมื่อถามว่า สมัยที่ประกาศนโยบายค่าแรงขั้นต่ำฮือฮามาก แต่วันนี้ค่าแรงขั้นต่ำที่ประกาศว น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องดูแล และคำนวนว่าค่าครองชีพเท่านี้ในแต่ละวันผู้ใช้แรงงานควรได้ค่าแรงเท่าไหร่เพื่อให้เขาอยู่ได้ แต่ตรงนี้ไม่ถาวรเท่าการสร้างรายได้ให้ประเทศ เพราะถ้าประเทศเรามีรายได้มากเศรษฐกิจดีภาคธุรกิจก็มีกำลังเพิ่มค่าแรงให้ลูกจ้าง จะไปแก้แต่เพียงปัญหาเรื่องค่าแรงไม่ได้
เมื่อถามถึงนาย
ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า น้องไปป์เรียน Mechatronics , Fluid Mechanics หรือ วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ สาขากลศาสตร์ของไหล คือการนำหลายๆ วิทยาการมาประยุกต์รวมกัน โดยการนำวิชาพื้นฐานหลักว่าด้วย วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรมการควบคุมอัตโนมัติ วิทยาการคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ มาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อการออกแบบและสร้างผลิตชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ เช่น เอาไปสร้างหุ่นยนต์ หรือ AI มีเรื่องการคำนวนเรื่องการไหลของลม และน้ำ ตรงนี้เป็นศาสตร์ที่เขาชอบ เขาเลือกเองว่าเขาอยากเรียน
เมื่อถามว่า แนวทางการทำงานของคนรุ่นใหม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า จริงๆคนรุ่นใหม่รอบรู้มาก เพราะข้อมูลอยู่ในทุกที่ แต่เมื่อเราค้นหาแล้ว เราต้องทำให้เกิดขึ้นจริงได้ อยากให้เกิดการปฏิบัติให้ชัด จะทำอย่างไรจะแปรจากสิ่งที่เราคิดมาสู่การปฏิบัติให้ได้ นอกจากนี้ วันนี้เทคโนโลยีเข้ามาเยอะ การทำงานร่วมกับคนก็เป็นสิ่งสำคัญ ต้องบาลานซ์ให้ดี ขณะที่คนรุ่นใหม่กับการเมือง ถ้าสนใจการเมืองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การอยากเห็นบ้านเมืองพัฒนาไปในทางที่ดี และอยากมีส่วนร่วมในการวางอนาคตของพวกเขซึ่งผู้ใหญ่ต้องรับฟังพวกเขา ซึ่งเขาต้องการความรู้ ความเข้าใจ เราเป็นผู้ใหญ่ต้องให้โอกาสเยาวชนในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เมื่อถามว่า ท่านด่าคนเป็นไหม น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราก็มนุษย์ปกติคนหนึ่ง ก็มีความรู้สึก มีจิตใจ ส่วนใหญ่ก็ไประบายกับคนรอบข้างแทน เพราะเราไม่อยากให้ใครไม่สบายใจ ซึ่งเราต้องทำงานหมู่มาก เราก็ต้องใจเย็น เพราะทุกคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยแล้วทำไมต้องมารับรู้กับการอารมณ์เสียของเราเราก็ต้องหาทางระายความเครียดของเราให้ได้ อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่เอาอารมณ์มาเป็นหลักในการสื่อสารของเรา ถ้าเราคุยกับคนด้วยอารมณ์โกรธ เราก็ไม่ได้งานสักที
“ขอบคุณแฟนเพจทุกคนที่เข้ามาฟัง วันนี้ก็เรียกว่าได้หายคิดถึง ได้มีโอกาสได้พูด ได้บอกความรู้สึกของตัวเองกับประชาชน สิ่งที่อยากบอกคือ วันนี้ไม่ได้อยู่บ้านเกิดมา 4 ปี แล้ว ก็เป็นปกติที่เราต้องคิดถึงกัน อยากบอกตามเพลงเล่าสู่กันฟังว่า ไม่ว่าฝนจะตกที่ไหน คนทางนี้ก็อยากรู้เรื่องราว และสะเทือนถึงทางนี้เช่นกัน ถ้าบ้านเรามีความทุกข์ยากลำบากอะไร คนอยู่ทางนี้เองก็รู้สึกสะเทือนใจ และเป็นห่วง นี่คือสิ่งที่อยากบอกทุกคน ไม่ว่าฝนจะตกทางไหน มันก็หนาวถึงคนทางนี้เช่นกัน ไม่ว่าเจออะไรก็อยากให้เล่าสู่กันฟัง แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้ แต่กำลังใจ และการอยู่เคียงข้างจะไม่มีวันเลือน วันนี้มีแต่ความจริงใจที่จะอยู่เคียงข้าง อะไรที่จะทำเพื่อพี่น้องประชาชนได้ ดิฉันยินดี ขอให้พี่น้องประชาชนอดทน และรักษาสุขภาพให้ดี เชื่อว่าวันหนึ่งจะได้เจอสิ่งที่ดี และหวังว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะได้ลืมตาอ้าปาก พี่น้องประชาชนจะมีรายได้ที่ดี ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้” น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าว
https://www.facebook.com/watch/live/?ref=external&v=322044829943564
เด็กจบใหม่เคว้ง! ว่างงาน 49.3% ส่วนใหญ่สาขา “ธุรกิจ-บริหาร”
https://www.prachachat.net/finance/news-875349
สภาพัฒน์เผยตัวเลขการว่างงานไตรมาส 4 ของปี’64 ชี้เด็กจบใหม่ว่างงานกว่า 49.3% ส่วนใหญ่จบสาขา “ด้านสังคมศาสตร์-ธุรกิจ-การบริหาร-พาณิชย์” ด้านแนวโน้มแรงงานปี’65 จับตา 4 ประเด็นหลัก
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 นางสาว
จินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การว่างงานในไตรมาส 4 ของปี 2564 อยู่ที่ 1.64% เป็นการว่างงานลดลงต่ำสุดตั้งแต่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 หรือตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2563 ที่มีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 6.3 แสนคน
อย่างไรก็ดี แรงงานใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานยังมีการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา มีสัดส่วนถึง 49.3% ของผู้ว่างงานทั้งหมด
“ตัวเลขการว่างงานนักศึกษาจบใหม่มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิดแพร่ระบาด โดยผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่จบการศึกษาในสาขาด้านสังคมศาสตร์ ธุรกิจ การบริหาร และพาณิชย์ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาอัตราการว่างงานตามระดับการศึกษา พบว่า ทุกระดับการศึกษามีอัตราการว่างงานลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปยังมีอัตราการว่างงานสูงสุดที่ 3.22%”
ส่วนสถานการณ์แรงงานปี 2564 การจ้างงานมีจำนวน 37.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.2% โดยเพิ่มจากภาคเกษตรกรรม 1.8% จากการเคลื่อนย้ายแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเข้ามาทำงานในสาขานี้ ขณะที่นอกภาคเกษตรกรรมการจ้างงานลดลง 0.6% ซึ่งเป็นการลดลงในเกือบทุกสาขา ยกเว้นสาขาขนส่งที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2.7% โดยสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิด มีการจ้างงานลดลง 3.1% เช่นเดียวกันกับสาขาการศึกษาที่การจ้างงานปรับตัวลดลง 6.5%
ส่วนภาพรวมของชั่วโมงการทำงานภาคเอกชนเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 44.4 ชั่วโมง/สัปดาห์ จาก 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์ แต่การทำงานต่ำระดับยังอยู่ในระดับสูง อัตราการว่างงาน อยู่ที่ 1.93% เพิ่มสูงขึ้นจาก 1.69% ในปี 2563 จากผลกระทบที่สะสมตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ดีการว่างงานในระบบที่สะท้อนจากผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (รายใหม่) ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
ขณะที่แนวโน้มตลาดแรงงานปี 2565 คาดว่า สถานการณ์ด้านแรงงานจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโควิด “โอมิครอน” ไม่รุนแรง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อได้ ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป คือ
1. การดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่กับการควบคุมการระบาด โดยต้องเน้นให้เกิดมาตรการทางเศรษฐกิจมากขึ้น และเอื้อต่อการฟื้นตัวของกลุ่มเอสเอ็มอี
2. การขยายตัวของแรงงานนอกระบบเพิ่มมากขึ้น จะต้องออกมาตรการจูงใจให้คนกลุ่มนี้สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนในระบบ
3. ภาระค่าครองชีพของประชาชน ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2564 ส่งผลทำให้แรงงานมีภาระค่าครองชีพเพิ่มขึ้น
และ 4. การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะ และการปรับเปลี่ยนทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการและท้องถิ่น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ว่างงานระดับอุดมศึกษาและผู้ว่างงานระยะยาวยังมีอัตราว่างงานอยู่ในระดับสูง
นักท่องเที่ยวชาวยูเครน-รัสเซีย รวมตัว ประท้วงปูติน หน้ากงสุลรัสเซียที่ภูเก็ต จี้ หยุดสงคราม
https://www.matichon.co.th/region/news_3207080
นักท่องเที่ยวชาวยูเครน รัสเซีย รวมตัวประท้วงหน้าสำนักงานกงสุลรัสเซีย เรียกร้องยุติสงคราม
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 10.00 น. พ.ต.ท.
เอกชัย ศิริ สารวัตรตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต เปิดเผยว่า ได้รับรายงานกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยูเครน และชาวรัสเซีย ประมาณ 80 คน เป็นชาวยูเครน 90% ชาวรัสเซีย 10% รวมตัวกันที่บริเวณหน้าป้าย ROYAL PHUKET MARINA อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต และกลุ่มนักท่องเที่ยวฯที่บริเวณสำนักงานชั่วคราวสถานกงสุลรัสเซียประจำจังหวัดภูเก็ตได้ย้ายมาสมทบเพิ่ม
ทาง กลุ่มนักท่องเที่ยวฯ ได้จัดทำป้าย เขียนข้อความลงบนกระดาษที่เตรียมมา มีการตะโกนเรียกร้องให้ยุติสงครามในยูเครน หยุดความรุนแรงฆ่าผู้บริสุทธิ์ เรียกร้องเสรีภาพให้เกิดขึ้น และร้องเพลงชาติยูเครน
การรวมตัวกันครั้งนี้ไม่ปรากฎกลุ่มคนไทย ออกมาต่อต้านและสนับสนุน จากนั้นเวลา 10.30น. ยุติกิจกรรมรวมตัวแยกย้ายกันเดินทางกลับ ท่ามกลางการดูแลความสงบเรียบร้อยของหน่วยงานความมั่นคงในจังหวัดภูเก็ต เหตุการณ์ทั่วไปปกติ
JJNY : “ยิ่งลักษณ์”ไลฟ์สด ห่วงปชช.│เด็กจบใหม่เคว้ง! ว่างงาน 49.3%│นทท.ประท้วงปูตินที่ภูเก็ต│ยูเครนประกาศเกณฑ์ชาวไอที
https://www.matichon.co.th/politics/news_3206890
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ไลฟ์สดพูดคุยกับแฟนเพจผ่านทางเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไปอยู่ต่างประเทศ โดยมีนายพงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ อดีตโฆษกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ร่วมพูดคุย
โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ก็อยากได้ยิน และสัมผัสโดยตรงว่าประชาชนวันนี้มีความทุกข์หรือเป็นอย่างไรกันบ้าง ทั้งนี้ ตนเองมาอยู่ต่างประเทศเป็นเวลา 10 ปีแล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วมาก ทั้งนี้ จะบอกว่าสบายก็คงไม่ใช่ คนเราจากบ้านเกิด จากสิ่งที่เราทำมาทุกวัน มาว่างงาน มาอยู่ห่างบ้านห่างเมือง ไม่ได้เจอพี่น้องเพื่อนฝูง คนรู้จักก็คิดถึง แต่เราก็ต้องทำอย่างไรให้เราดำรงอยู่ให้ได้ ทั้งนี้ พี่โทนี่เคยบอกว่า เวลามาอยู่เราต้องรักษาสุขภาพ ทำตัวเองให้มuความสุข เพื่อคนที่รักของเรานั่นคือสิ่งแรกที่ต้องทำ เราต้องพยายามอยู่ให้ได้ แต่ใจยังรักและคิดถึงทุกคคน
เมื่อถามถึงการฉีดวัคซีน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนไม่อยากบอกว่าฉีดวัคซีนเยอะ ชิโนฟาร์ม 2 ไฟเซอร์ 2 กำลังคิดว่าจะฉีดอีกเข็มก็กลัวว่าจะเยอะเกินไปเลยพอก่อน คิดแค่ว่าวัคซีนคงไม่ได้ป้องกันไม่ให้ติดโควิด แต่จะทำให้มีอาการน้อย ก็คิดแบบนี้ดีกว่า
เมื่อถามว่า ติดตามสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ก็ติดตามอยู่ตลอด ตนเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจ และราคาข้าวของที่แพงขึ้น แต่เงินในกระเป๋าขิงพี่น้องประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้น ขณะที่กำลังประสบกับปัญหาโควิดซึ่งเหมือนเป็นการซ้ำเติมเรารู้ว่าพี่น้องประชาชนไม่มีทางออก เราก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะเราอยู่ไกล และไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว เราก็ได้แต่ส่งกำลังใจให้ทุกคนเข้มแข็ง และ ขอร้องรัฐบาลว่า ขอให้พี่น้องช่วยประชาชน เมื่อถามว่า อยากเป็นนายกฯ อีกสักสมัยไหม น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตอนนี้อาจจะเรียกว่าหมดยุคเราแล้วหรือไม่ เพราะวันนี้เป็นช่วงเวลาของคนรุ่นใหม่แล้ว เด็กรุ่นใหม่มีความสามารถเยอะ อย่างไรก็ตาม การที่ใครจะได้เป็นนายกฯอยู่ที่พี่น้องประชาชนว่าอยากให้ใครมาบริหารประเทศ ประเทศไทยมีคนที่มีความรู้ความสามารถมาก สำหรับตน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็อยากช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นบ้านเกิด เรามีความรักความผูกพัน แม้ตัวจะต้องมาอยู่ที่นี่ แต่ใจยังอยู่ประเทศไทยตลอดเวลา
เมื่อถามว่า ถ้ายังเป็นนายกฯ หรือยังเป็นรัฐบาลอยู่จะมีนโยบายอะไรที่อยากทำบ้าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า โครงการ 2 ล้านล้านบาท การทำรถไฟความเร็วสูง หรือการบริหารจัดการน้ำ เรื่องแท็ปเล็ต ฯลฯ ตอนที่เป็นรัฐบาลเราคิดว่าปีที่ 3 เราวางอนาคตในวันข้างหน้าของประเทศไทย เพราะปีแรกและปีที่ 2 เราใช้สำหรับแก้ปัญหาที่มีมา ขณะนั้นมีการวางยุทธศาสตร์จังหวัด เพื่อให้แต่ละจังหวัดมีความแตกต่างแล้วด้วย
เมื่อถามถึงการทำงานในฐานะนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหญิงคนแรกของประเทศไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ท้าทายมาก โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และหนักใจ การสั่งงานต้องใช้ข้อกฎหมายในการสั่งการ เพราะเราคงออกไปคำสั่งเขาไม่ได้
เมื่อถามว่า ถ้าเจอหน้าพล.อ.ประยุทธ์ ยังคุยกันได้หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ก็ต้องถามกลับพล.อ.ประยุทธ์ว่า ถ้าเจอหน้ายิ่งลักษณ์ยังคุยกันได้หรือไม่”
เมื่อถามว่า สมัยที่ประกาศนโยบายค่าแรงขั้นต่ำฮือฮามาก แต่วันนี้ค่าแรงขั้นต่ำที่ประกาศว น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องดูแล และคำนวนว่าค่าครองชีพเท่านี้ในแต่ละวันผู้ใช้แรงงานควรได้ค่าแรงเท่าไหร่เพื่อให้เขาอยู่ได้ แต่ตรงนี้ไม่ถาวรเท่าการสร้างรายได้ให้ประเทศ เพราะถ้าประเทศเรามีรายได้มากเศรษฐกิจดีภาคธุรกิจก็มีกำลังเพิ่มค่าแรงให้ลูกจ้าง จะไปแก้แต่เพียงปัญหาเรื่องค่าแรงไม่ได้
เมื่อถามถึงนายศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า น้องไปป์เรียน Mechatronics , Fluid Mechanics หรือ วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ สาขากลศาสตร์ของไหล คือการนำหลายๆ วิทยาการมาประยุกต์รวมกัน โดยการนำวิชาพื้นฐานหลักว่าด้วย วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรมการควบคุมอัตโนมัติ วิทยาการคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ มาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อการออกแบบและสร้างผลิตชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ เช่น เอาไปสร้างหุ่นยนต์ หรือ AI มีเรื่องการคำนวนเรื่องการไหลของลม และน้ำ ตรงนี้เป็นศาสตร์ที่เขาชอบ เขาเลือกเองว่าเขาอยากเรียน
เมื่อถามว่า แนวทางการทำงานของคนรุ่นใหม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า จริงๆคนรุ่นใหม่รอบรู้มาก เพราะข้อมูลอยู่ในทุกที่ แต่เมื่อเราค้นหาแล้ว เราต้องทำให้เกิดขึ้นจริงได้ อยากให้เกิดการปฏิบัติให้ชัด จะทำอย่างไรจะแปรจากสิ่งที่เราคิดมาสู่การปฏิบัติให้ได้ นอกจากนี้ วันนี้เทคโนโลยีเข้ามาเยอะ การทำงานร่วมกับคนก็เป็นสิ่งสำคัญ ต้องบาลานซ์ให้ดี ขณะที่คนรุ่นใหม่กับการเมือง ถ้าสนใจการเมืองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การอยากเห็นบ้านเมืองพัฒนาไปในทางที่ดี และอยากมีส่วนร่วมในการวางอนาคตของพวกเขซึ่งผู้ใหญ่ต้องรับฟังพวกเขา ซึ่งเขาต้องการความรู้ ความเข้าใจ เราเป็นผู้ใหญ่ต้องให้โอกาสเยาวชนในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เมื่อถามว่า ท่านด่าคนเป็นไหม น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราก็มนุษย์ปกติคนหนึ่ง ก็มีความรู้สึก มีจิตใจ ส่วนใหญ่ก็ไประบายกับคนรอบข้างแทน เพราะเราไม่อยากให้ใครไม่สบายใจ ซึ่งเราต้องทำงานหมู่มาก เราก็ต้องใจเย็น เพราะทุกคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยแล้วทำไมต้องมารับรู้กับการอารมณ์เสียของเราเราก็ต้องหาทางระายความเครียดของเราให้ได้ อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่เอาอารมณ์มาเป็นหลักในการสื่อสารของเรา ถ้าเราคุยกับคนด้วยอารมณ์โกรธ เราก็ไม่ได้งานสักที
“ขอบคุณแฟนเพจทุกคนที่เข้ามาฟัง วันนี้ก็เรียกว่าได้หายคิดถึง ได้มีโอกาสได้พูด ได้บอกความรู้สึกของตัวเองกับประชาชน สิ่งที่อยากบอกคือ วันนี้ไม่ได้อยู่บ้านเกิดมา 4 ปี แล้ว ก็เป็นปกติที่เราต้องคิดถึงกัน อยากบอกตามเพลงเล่าสู่กันฟังว่า ไม่ว่าฝนจะตกที่ไหน คนทางนี้ก็อยากรู้เรื่องราว และสะเทือนถึงทางนี้เช่นกัน ถ้าบ้านเรามีความทุกข์ยากลำบากอะไร คนอยู่ทางนี้เองก็รู้สึกสะเทือนใจ และเป็นห่วง นี่คือสิ่งที่อยากบอกทุกคน ไม่ว่าฝนจะตกทางไหน มันก็หนาวถึงคนทางนี้เช่นกัน ไม่ว่าเจออะไรก็อยากให้เล่าสู่กันฟัง แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้ แต่กำลังใจ และการอยู่เคียงข้างจะไม่มีวันเลือน วันนี้มีแต่ความจริงใจที่จะอยู่เคียงข้าง อะไรที่จะทำเพื่อพี่น้องประชาชนได้ ดิฉันยินดี ขอให้พี่น้องประชาชนอดทน และรักษาสุขภาพให้ดี เชื่อว่าวันหนึ่งจะได้เจอสิ่งที่ดี และหวังว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะได้ลืมตาอ้าปาก พี่น้องประชาชนจะมีรายได้ที่ดี ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
https://www.facebook.com/watch/live/?ref=external&v=322044829943564
เด็กจบใหม่เคว้ง! ว่างงาน 49.3% ส่วนใหญ่สาขา “ธุรกิจ-บริหาร”
https://www.prachachat.net/finance/news-875349
สภาพัฒน์เผยตัวเลขการว่างงานไตรมาส 4 ของปี’64 ชี้เด็กจบใหม่ว่างงานกว่า 49.3% ส่วนใหญ่จบสาขา “ด้านสังคมศาสตร์-ธุรกิจ-การบริหาร-พาณิชย์” ด้านแนวโน้มแรงงานปี’65 จับตา 4 ประเด็นหลัก
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การว่างงานในไตรมาส 4 ของปี 2564 อยู่ที่ 1.64% เป็นการว่างงานลดลงต่ำสุดตั้งแต่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 หรือตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2563 ที่มีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 6.3 แสนคน
อย่างไรก็ดี แรงงานใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานยังมีการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา มีสัดส่วนถึง 49.3% ของผู้ว่างงานทั้งหมด
“ตัวเลขการว่างงานนักศึกษาจบใหม่มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิดแพร่ระบาด โดยผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่จบการศึกษาในสาขาด้านสังคมศาสตร์ ธุรกิจ การบริหาร และพาณิชย์ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาอัตราการว่างงานตามระดับการศึกษา พบว่า ทุกระดับการศึกษามีอัตราการว่างงานลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปยังมีอัตราการว่างงานสูงสุดที่ 3.22%”
ส่วนสถานการณ์แรงงานปี 2564 การจ้างงานมีจำนวน 37.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.2% โดยเพิ่มจากภาคเกษตรกรรม 1.8% จากการเคลื่อนย้ายแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเข้ามาทำงานในสาขานี้ ขณะที่นอกภาคเกษตรกรรมการจ้างงานลดลง 0.6% ซึ่งเป็นการลดลงในเกือบทุกสาขา ยกเว้นสาขาขนส่งที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2.7% โดยสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิด มีการจ้างงานลดลง 3.1% เช่นเดียวกันกับสาขาการศึกษาที่การจ้างงานปรับตัวลดลง 6.5%
ส่วนภาพรวมของชั่วโมงการทำงานภาคเอกชนเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 44.4 ชั่วโมง/สัปดาห์ จาก 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์ แต่การทำงานต่ำระดับยังอยู่ในระดับสูง อัตราการว่างงาน อยู่ที่ 1.93% เพิ่มสูงขึ้นจาก 1.69% ในปี 2563 จากผลกระทบที่สะสมตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ดีการว่างงานในระบบที่สะท้อนจากผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (รายใหม่) ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
ขณะที่แนวโน้มตลาดแรงงานปี 2565 คาดว่า สถานการณ์ด้านแรงงานจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโควิด “โอมิครอน” ไม่รุนแรง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อได้ ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป คือ
1. การดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่กับการควบคุมการระบาด โดยต้องเน้นให้เกิดมาตรการทางเศรษฐกิจมากขึ้น และเอื้อต่อการฟื้นตัวของกลุ่มเอสเอ็มอี
2. การขยายตัวของแรงงานนอกระบบเพิ่มมากขึ้น จะต้องออกมาตรการจูงใจให้คนกลุ่มนี้สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนในระบบ
3. ภาระค่าครองชีพของประชาชน ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2564 ส่งผลทำให้แรงงานมีภาระค่าครองชีพเพิ่มขึ้น
และ 4. การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะ และการปรับเปลี่ยนทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการและท้องถิ่น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ว่างงานระดับอุดมศึกษาและผู้ว่างงานระยะยาวยังมีอัตราว่างงานอยู่ในระดับสูง
นักท่องเที่ยวชาวยูเครน-รัสเซีย รวมตัว ประท้วงปูติน หน้ากงสุลรัสเซียที่ภูเก็ต จี้ หยุดสงคราม
https://www.matichon.co.th/region/news_3207080
นักท่องเที่ยวชาวยูเครน รัสเซีย รวมตัวประท้วงหน้าสำนักงานกงสุลรัสเซีย เรียกร้องยุติสงคราม
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 10.00 น. พ.ต.ท.เอกชัย ศิริ สารวัตรตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต เปิดเผยว่า ได้รับรายงานกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยูเครน และชาวรัสเซีย ประมาณ 80 คน เป็นชาวยูเครน 90% ชาวรัสเซีย 10% รวมตัวกันที่บริเวณหน้าป้าย ROYAL PHUKET MARINA อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต และกลุ่มนักท่องเที่ยวฯที่บริเวณสำนักงานชั่วคราวสถานกงสุลรัสเซียประจำจังหวัดภูเก็ตได้ย้ายมาสมทบเพิ่ม
ทาง กลุ่มนักท่องเที่ยวฯ ได้จัดทำป้าย เขียนข้อความลงบนกระดาษที่เตรียมมา มีการตะโกนเรียกร้องให้ยุติสงครามในยูเครน หยุดความรุนแรงฆ่าผู้บริสุทธิ์ เรียกร้องเสรีภาพให้เกิดขึ้น และร้องเพลงชาติยูเครน
การรวมตัวกันครั้งนี้ไม่ปรากฎกลุ่มคนไทย ออกมาต่อต้านและสนับสนุน จากนั้นเวลา 10.30น. ยุติกิจกรรมรวมตัวแยกย้ายกันเดินทางกลับ ท่ามกลางการดูแลความสงบเรียบร้อยของหน่วยงานความมั่นคงในจังหวัดภูเก็ต เหตุการณ์ทั่วไปปกติ