ไปดูกันว่าเขาหายจาก [โรคออทิสติก] ได้ยังไง ? #5

ตอนลูกชายของเมลิสซ่าเริ่มเข้าเตรียมอนุบาลตอนอายุ 3 ขวบ เขาสามารถบอกชื่อสิ่งของ 
และสามารถพูดเป็นประโยคทั่วไปได้แค่หนึ่งประโยคคือ ผมต้องการอันนี้ครับ 
แต่หลังจากที่ได้ขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิต ลูกเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนล่ะคน 

ลูกอายุ 3 ขวบครึ่งแล้ว เธอลุ้นมากว่าลูกจะได้เข้าเรียนร่วมกับเพื่อนในชั้นปกติหรือไม่ 
จะได้เข้าสังคมกับเพื่อนได้ พวกเขาบอกว่าเขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตัวแจ็คสัน 
และเขาเหมือนมีคำพูดระเบิดออกมาในช่วง 7 อาทิตย์หลังนี้ 
ซึ่งพวกเขาไม่รู้ว่าเมลิสซ่าได้เริ่มให้ลูกชายขับสารปรอท 7 สัปดาห์ก่อน 

นักบำบัดของโรงเรียนบอกว่าพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กของเขากลับมาได้อย่างที่ควรจะเป็น 
และตามเกณฑ์เดียวกับเด็กคนอื่น ๆ ที่อายุเท่ากัน นักบำบัดการพูดที่โรงเรียนบอกว่าเธอตกใจมากที่เขาอยู่ ๆ 
ก็สามารถพูดประโยคที่ไม่ต้องเตรียมตัวและใช้ภาษาที่ไม่ต้องเตรียมพร้อมมาก่อน 
และทักทายทุกคนโดยการพูดไฮ หรือไฮเป็นยังไงบ้าง 

พวกเขาเห็นพ้องว่าแจ็คสันควรค่อย ๆ เข้าร่วมกับห้องเตรียมอนุบาลปกติ 
เพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้จากเพื่อนมากขึ้น จากเดิมที่เขาอยู่ในห้องของกลุ่มเด็กที่พูดไม่ได้เลย 
เมลิซ่าอธิบายว่าในรอบแรกที่ขับสารปรอทก็เปลี่ยนแจ็คสันจากเด็กที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก 
ที่ไม่สนใจแม่เลย ให้สนใจอย่างอื่นนอกจากสิ่งที่เขาเล่นและสามารถพูดว่าขอให้พระเจ้าคุ้มครองแม่นะได้ 
ซึ่งเธอไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำนี้มาก่อน 

ในรอบที่สองเขาเดินสบาย ๆ เข้ามาในห้องแล้วพูดทักแม่หรือทักพ่อหรือพักคุณตาได้ 
รอบสามปกติเธอพาลูกเข้านอนแล้วบอกว่าแม่รักลูก ปกติลูกจะไม่พูดอะไร 
แต่คราวนี้เขาเข้ามากอดแม่แล้วก็ร้องท่อนแรกของเพลง you ar my sunshine ทั้งท่อน 
เขากอดไม่ยอมปล่อยแล้วก็จ้องตาเธอไม่กระพริบ สามีของเธอหลั่งน้ำตาออกมาแล้วบอกว่ามันได้ผลจริง ๆ 
ลูกชายชอบช่วยเหลือและสนใจพื่น้องเขาเขา 
เขายังไม่ได้หายจากโรคออทิซึมเพราะว่าเขาเพิ่งเริ่มต้นขับสารปรอทไป 7 รอบเท่านั้น 
แต่พวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวัง ความดีใจ และความเบาใจ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

มาถึงครอบครัวที่ 5 แล้วนะครับ 
และยังมีอีกหลายคลิปครับ เพื่อที่จะช่วยให้รู้ว่าโรคออทิสติกรักษาได้ถ้าหากเรารู้สาเหตุของโรค
ซึ่งสำหรับทางเราเองสรุปแล้วว่ามาจากสารปรอทกับแคนดิด้า
หรือ โรคอาจได้รับผลกระทบจากทั้งสองตัวนี้อย่างมากทั้งคู่

สำหรับปรอทคือ เด็กทุกคนฉีดวัคซีนที่มีปรอทเป็นสารกันเสียอยู่ในนั้น 
เด็กทุกคนรับสารพิษจากแม่ผ่านครรภ์ ซึ่งจะเป็นตัวแปรที่ทำให้เด็กบางคนอ่อนไหวต่อวัคซีนมากกว่าเด็กปกติ 
เพราะคุณแม่บางคนมีสารพิษสะสมอยู่ในตัวสูง โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีอมัลกัมเป็นเหล็กอุดฟันอยู่ในปาก 
หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงหลาย ๆ อย่าง ซึ่งมีการอธิบายไว้อย่างละเอียดมากในหนังสือแล้ว

ส่วนเรื่องแคนดิด้า ร่างกายจะติดเชื้อมันตอนที่มีปรอท
อาจคิดง่าย ๆ ว่าปรอทจะทำลายที่สมองส่วนแคนดิด้าจะทำลายที่ลำไส้
ซึ่งเป็นสองอวัยวะที่ส่งผลกระทบต่อโรคออทิสติกอย่างมากทั้งคู่

โรคออทิซึมสามารถรักษาได้ถ้าแก้ที่สองสาเหตุหลักนี้ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด 
ที่จริงแล้วโรคออทิสติกที่เป็นโรคที่มาจากพันธุกรรมจริง ๆ อาจเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น
และอาจมีแค่ 1-2% ที่เป็นในระดับที่รุนแรงหายาก
ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นผลกระทบจากการได้รับสารพิษทั้งนั้น
ซึ่งเรียกว่าเป็น epigenetic หรือพันธุศาสตร์ด้านกระบวนการเหนือพันธุกรรม
ซึ่งแก้ได้ไม่เหมือนโรคที่มาจากพันธุกรรมตามปกติ 

ด้วยเหตุนี้จึงน่าเสียดายที่การแพทย์ตีว่าโรคออทิสติกเป็นพันธุกรรมที่รักษาไม่ได้ทั้งหมดครับ

ส่วนสำหรับการรักษานั้นก็ไม่ยากเลย เพียงแต่ควรที่จะต้องอ่านหนังสือก่อนเท่านั้นเองครับ
ลองดูในหลาย ๆ คลิปจะพบว่า พ่อแม่ที่ได้ลองรักษาลูกด้วยตัวเอง
มีความสุขมากขนาดไหนนะครับ มันดีจริง ๆ ที่ได้ลูกของเรากลับคืนมา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่