JJNY : ศก.หลังโควิด ตามรอยเอเชียหรือติดหล่มละติน?│นครศรีฯ วันเดียวโควิดพุ่ง│สนธยาฝากถึงเสี่ยเฮ้ง│รัสเซียซ้อมรบนิวเคลียร์

เศรษฐกิจไทยหลังโควิด ตามรอยเอเชีย หรือติดหล่มละติน ?
https://www.prachachat.net/columns/news-865501
 
 
คอลัมน์ : ร่วมด้วยช่วยกัน
ผู้เขียน : ดร.นครินทร์ อมเรศ
ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ 
ธนาคารแห่งประเทศไทย
 
หากเทียบเศรษฐกิจกับชีวิตคน เราย่อมอยากเห็นคนเจริญเติบโตจากวัยเด็กสู่วัยทำงาน สร้างครอบครัวและชราลงอย่างมีคุณภาพ ในด้านเศรษฐกิจก็เช่นกัน เมื่อก้าวเข้าสู่สถานะกำลังพัฒนา หรือการมีรายได้ปานกลาง เราคงคาดฝันให้เศรษฐกิจโตยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว หรือประเทศรายได้สูง
 
การเรียนรู้บทเรียนของประเทศอื่นที่เดินบนเส้นทางเดียวกันมาก่อนหน้า จะช่วยให้เราได้ทบทวนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเดินหน้าไปสู่จุดหมายปลายทางใด บทความนี้จึงขอแบ่งออกเป็นสองส่วน เริ่มจากมองภาพรวมระหว่างประเทศ แล้วจึงเจาะลึกลงที่เส้นทางของไทย
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้ยั่งยืนเสมอไป เห็นได้จากการทบทวนตัวอย่างของประเทศที่ก้าวเข้าสู่สถานะกำลังพัฒนาหลังปี 1950 เป็นต้นมา โดยจำแนกออกได้เป็นสามกลุ่ม
 
1) กลุ่มเรียนจบ – ต่อยอดการพัฒนาจนกลายเป็นประเทศรายได้สูง เป็นประเทศคู่ค้าสำคัญที่รู้จักกันดีตามทฤษฎีฝูงห่านป่า โดยมีญี่ปุ่นเป็นจ่าฝูง ตามด้วยห่านป่าระลอกสอง คือ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ประเทศเอเชียเหล่านี้ได้บินฝ่าคลื่นลมวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในโลกและภูมิภาค จนบางช่วงบางตอนอาจเผชิญกับการชะลอตัวลง บางครั้งเจอกับทศวรรษทางเศรษฐกิจที่สูญหาย แต่ก็ยังยืนยงคงความเป็นประเทศพัฒนาแล้วไว้ได้ เหมือนคนที่เรียนจบการศึกษาแล้วมีคุณวุฒิติดตัว ไม่ต้อง
กลับเข้าโรงเรียนอีก
 
2) กลุ่มติดหล่ม – ผ่านช่วงเวลาก้าวเข้าสู่ฐานะกำลังพัฒนามาเนิ่นนาน แต่ทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไม่สามารถพุ่งทะยานทะลุเพดานได้ นักเศรษฐศาสตร์หลายท่าน อาทิ อาจารย์ Eichengreen และคณะเห็นว่าหากประเทศไม่สามารถก้าวผ่านเส้นรายได้ต่อหัวสำคัญ คือ 10,000 เหรียญ และ 15,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ คิดตามมูลค่าที่แท้จริงในปี 2005 แล้ว ประเทศเหล่านั้นมีความเสี่ยงที่จะ “ติดหล่ม” อยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง
 
น่าสังเกตว่าเส้นรายได้ต่อหัวที่แท้จริงนี้ ไม่อาจก้าวข้ามได้ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินลงไปในลักษณะ “ประชานิยม” ตามที่หลายประเทศในกลุ่มละตินอเมริกาเคยกระทำ เพราะรายได้ต่อหัวที่แท้จริงคำนวณจากทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและเงินเฟ้อของประเทศ ซึ่งการกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตเกินระดับศักยภาพในช่วงสั้น ๆ จะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่และทำให้ราคาสินค้าและบริการรวมทั้งค่าเงินไม่สะท้อนฐานะพื้นฐานทางเศรษฐกิจจึงสร้างผลกระทบเชิงลบในระยะยาว เป็นบทเรียนให้ประเทศอื่นระมัดระวังไม่ติดกับดักดังกล่าว
 
3) กลุ่มไปต่อ – ก้าวผ่านเส้นแบ่งรายได้ปานกลางมาไม่นานเทียบกับสองกลุ่มก่อนหน้า จึงยังอยู่บนทาง “สองแพร่ง” ของการเดินตามรอยกลุ่มเรียนจบ หรือติดกับดักเหมือนกลุ่มติดหล่ม ประเทศที่มีความโดดเด่นในกลุ่มนี้ คือ มาเลเซีย ซึ่งเดิมคาดว่าจะเดินหน้าผ่านเส้น 15,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ และทะยานไปเป็นประเทศรายได้สูงไม่ยากนัก อย่างไรก็ดี วิกฤตโควิดและความผันผวนของราคาพลังงานโลกในทศวรรษที่ผ่านมาทำให้มาเลเซียต้องรอไปก่อน
 
ไทยเองก็อยู่ในกลุ่มสุดท้ายนี้ แต่มีข้อน่ากังวลไม่น้อย คือ หากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตอย่างช้า ๆ ในอัตราเดียวกับค่าเฉลี่ยในช่วงสิบปีหลัง เรียกว่ากรณี ไทยไปเรื่อย เราจะมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็น “ไทยติดหล่ม” เพราะมีตัวเลขใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยการเติบโตทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกันของกลุ่มติดหล่ม
 
ทั้งนี้ ไทยยังอยู่บนทางสองแพร่งของการพัฒนา หากใช้ข้อสมมุติตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่กำหนดให้ไทยยกระดับเป็นประเทศรายได้สูงในปี 2037 หรือเรียกว่ากรณี “ไทยเรียนจบ” นั้น

จะพบว่า เราต้องเร่งให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาไม่ถึงสองทศวรรษที่เหลืออยู่ เป็นการเติบโตที่ถือได้ว่าเร็วยิ่งกว่าตัวเลขการเติบโตของกลุ่มห่านป่าเอเชีย ที่อาจเรียกเป็นกรณี ไทยตามรอย จึงเป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่งยวดแล้วไทยจะเดินหน้าประเทศได้อย่างไร
  
สามโอกาสเดินหน้าเศรษฐกิจไทย คือ ดิจิทัล green และการพัฒนาเชิงพื้นที่ การเกิดวิกฤตโควิดย่อมทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกหยุดชะงัก และหดตัวลงในช่วงสั้น ๆ ประเทศไทยเองได้รับผลกระทบมากและใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น
 
เพราะเราพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก อย่างไรก็ดี โควิดได้นำมาซึ่งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เป็นสามโอกาสให้เราใช้เป็นสปริงบอร์ดในการทะยานขึ้นสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้เช่นกัน
 
1) โอกาสจากดิจิทัล : ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลสูงมาก โดยรายงานของ Google Temasek และบริษัท Bain ระบุว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเติบโตกว่าเท่าตัวเทียบก่อนและหลังโควิด จากยอดใช้จ่าย e-Commerce เป็นสำคัญสอดรับกับกระแสการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลในวงกว้างตามการโอนเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ มาตรการคนละครึ่ง
 
2) โอกาสจาก green : ประเทศไทยมีธุรกิจขนาดใหญ่ 25 รายได้รับเลือกให้อยู่ใน DJSI-Dow Jones Sustainability Indices ทั้งธุรกิจพลังงาน ขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม อสังหาริมทรัพย์และค้าปลีก ซึ่งมีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมกับผู้ผลิตและผู้ให้บริการรายย่อยจำนวนมาก ธุรกิจขนาดใหญ่เหล่านี้จึงสามารถถ่ายทอดการรับปฏิบัติตามมาตรฐานสีเขียวในระดับโลกไปสู่คู่ค้า supplier ต่าง ๆ
 
โดยเฉพาะ SMEs นอกจากนี้ เราจะเห็นถึงโอกาสในการส่งออก carbon credits จากการที่ไทยมีทรัพยากรธรรมชาติมาก โดยพบว่าธุรกิจไทยขนาดใหญ่เริ่มติดต่อขอซื้อ carbon credits จากเกษตรกรในภูมิภาคผ่านภาควิชาการในท้องถิ่นแล้ว
 
3) โอกาสจากการพัฒนาเชิงพื้นที่ – เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นหัวหอกสำคัญในการสร้างรายได้ผ่านอุตสาหกรรม S-curve โดยมีเคล็ดลับแห่งความสำเร็จ คือ ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนภายใต้การปลดล็อกข้อจำกัดกีดขวางการดำเนินธุรกิจ
 
ดังนั้น การต่อยอดความร่วมมือและการปลดล็อกข้อจำกัด อาทิ การพัฒนาทักษะร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย โรงงาน และแรงงาน จะเป็นต้นแบบให้กับทุกพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษควรขยายจากการกำหนดตามภูมิศาสตร์ไปเป็นการกำหนดตามกิจกรรม เช่น เขตพัฒนาพิเศษการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงทั้งภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก และใต้ หรือเขตพัฒนาพิเศษเมืองอัจฉริยะ ที่ไม่ผูกกับพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่สร้างระบบนิเวศ หรือ ecosystem ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ได้ทั่วประเทศ
 
โดยสรุปแล้ว การเดินหน้าประเทศให้บรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง ต้องเร่งการพัฒนาบนโอกาสด้านดิจิทัล green และการพัฒนาเชิงพื้นที่ ซึ่งไม่เพียงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีแรงงานคืนถิ่นกลับไปหลังโควิดเป็นจำนวนมาก แต่จะเป็นสปริงบอร์ดสำคัญให้เราเดินตามรอยการพัฒนาของฝูงห่านป่าเอเชีย ซึ่งโอกาสทองนี้ต้องรีบคว้าไว้ มิฉะนั้น เราอาจปล่อยเศรษฐกิจเดินหน้าเรื่อย ๆ ช้า ๆ จนติดหล่มตามตัวอย่างบางประเทศละตินอเมริกาที่นักวิชาการอ้างอิงข้างต้น
 
หมายเหตุ – บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด



นครศรีฯ ชักวุ่น วันเดียว ติดโควิดพุ่ง เฉียดพัน สั่งกลับไปเรียนออนไลน์ก่อน
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6897300


นครศรีธรรมราช เจอติดเชื้อพุ่งเฉียดพันวันนี้ ผู้ว่าย้ำ โรงเรียนไหนเปิดสอนปกติ ให้คุมเข้ม ส่วนที่ไหนยังไม่เปิด ให้กลับไปเรียนออนไลน์ก่อน
 
วันที่ 19 ก.พ.2565 นายไกรศร วิศิษฏ์วงศ์ ผวจ.นครศรีธรรมราชเผยว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่วันนี้ พุ่งกว่า 810 ราย ใน 22 อำเภอ นับเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบปีที่ผ่านมา
 
สำหรับสถานศึกษาที่เปิดการเรียนการสอนแล้ว ขอให้มีมาตรการคุมเข้ม ส่วนสถานศึกษาใดยังไม่ได้เปิดขอให้ระงับการขออนุญาตเรียนแบบปกติ และกลับไปเรียนแบบออนไลน์เหมือนเดิมก่อน
 
สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นมาจากสถานประกอบการ โรงงาน แคมป์คนงาน วงพนัน การจัดงานเลี้ยง ซึ่งมีกลุ่มเสี่ยงที่ต้องใช้การบริหารจัดการผู้ป่วยแบบมีประสิทธิภาพ จึงเร่งสร้างความเข้าใจประชาชน หากใครมีผลตรวจ ATK เป็นบวก ก็ให้ไปยืนยันกับเจ้าหน้าที่เพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป
 

 
"สนธยา" ฝากถึง "เสี่ยเฮ้ง" ปม บ้านใหญ่ชลบุรี อย่าลืม ตอนลำบากใครคอยช่วย
https://www.thairath.co.th/news/politic/2320037
 
เลขาฯพลังชล เผย "สนธยา" ฝากบอก "เสี่ยเฮ้ง" สุชาติ ชมกลิ่น อย่าลืมตอนลำบากใครคอยช่วยเหลือ สนับสนุนจนได้เป็น ส.ส.ชลบุรี ตอกเจ็บ เชื่อ ชาวชลบุรี ตัดสินใจไม่ยาก ใครบางคน ที่รู้ที่ไป แต่ลืมที่มา
 
วันที่ 19 ก.พ. นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังชล ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ จ.ชลบุรี ตามที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก และให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ พาดพิงไปถึง นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา จ.ชลบุรี นายสนธยา เป็นผู้ใหญ่ของชลบุรี แม้ในวันนี้นายสนธยา ไม่ได้ดำเนินกิจกรรมในนามพรรคพลังชล แต่ในฐานะที่นายสนธยา เคยร่วมก่อตั้งพรรคพลังชล เมื่อถูกพาดพิงถึงในทางเสียหาย พี่น้องชาวชลบุรี ที่เคารพรัก นายสนธยา รู้สึกไม่สบายใจ จึงฝากมาถึงตน ที่เป็นเลขาธิการพรรคพลังชลให้ช่วยพูดถึง ตักเตือนไปยัง นายสุชาติด้วย โดยเขาฝากมาบอกว่า ขอให้นายสุชาติ พูดความจริง ไม่บิดเบือน ต้องไม่ลืม ตั้งแต่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น จนได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังชลนั้น มาได้อย่างไร บางช่วงชีวิตเคยเจอมรสุม มีใครคอยช่วยสนับสนุน กระทั่งวันหนึ่งมีเส้นทางใหม่ทางการเมือง และหลายต่อหลายครั้งเคยพูดถึงนายสนธยา ในทางที่ไม่ดี แต่นายสนธยา ก็ไม่ได้สนใจ
 
ส่วนความคิดของนายสุชาติ ที่จะส่งผู้สมัคร ส.ส.ลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้ง 10 เขต ทั้งที่ยังไม่รู้ว่า วันเลือกตั้ง จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ การจัดส่งผู้สมัครเป็นเรื่องของคณะกรรมการสรรหา คัดสรรของแต่ละพรรค ตนไม่ขอก้าวล่วง นอกจากนี้ ยังไม่รู้ว่า วันข้างหน้าพรรคที่นายสุชาติสังกัด จากการทำงานมาตลอด 7-8 ปี ยังจะเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนได้หรือไม่
  
"สำหรับพรรคพลังชล ยืนยันว่า จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างแน่นอน ส่วนตัวมีความเชื่อลึกๆ ชาวชลบุรี ที่ยึดถือ สัจจะ กตัญญูเป็นหลัก คงจะตัดสินใจไม่ยากสำหรับใครบางคน ที่รู้ที่ไป แต่ลืมที่มา" นายสุระ กล่าว...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่