ลองฝึกเขียนนิยายดูน่ะครับ พอดีว่าทางเว็บหนึ่งเขาจัดกิจกรรมเขียนนิยายธีม ‘จดหมายรัก’
โดยให้แต่งเรื่องที่เกี่ยวกับคำนี้ ก็เลยเป็นจังหวะได้ลองฝึกเขียนดูครับ
แต่ด้วยความที่ไม่ถนัดแนวนิยายรัก พล็อตเรื่องมันก็เลยดูฝืนๆ กับ keyword หน่อยน่ะครับ ฮ่า
กอปรกับว่าเป็นการฝึกเขียน เลยไม่ได้คิดพล็อตซับซ้อนอะไร
ขอมาแปะในเว็บพันทิปเพื่อขอคำแนะนำเรื่องสำนวน การใช้คำ การบรรยาย การดำเนินเรื่อง และ ฯลฯ
เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงฝีมือตัวเองต่อไปครับ ขอบคุณครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สงครามสุดท้ายกับจดหมายรัก
Last Battle And Love Letter
Writer: HudchewMan
Genre: Sci-Fi, Young Adult
* * * * *
ตูม! ปัง! ปัง! ปัง!
ท่ามกลางเสียงระเบิดและเสียงปืนดังอย่างต่อเนื่องนั้น คนกลุ่มที่กำลังระดมยิงค่อยๆ ขยับจากจุดที่ใช้กำบังตัวจุดเดิมถอยร่นไปอีกราวสิบเมตรซึ่งมีเศษซากคอนกรีตให้ใช้กำบังตัว
บริเวณที่พวกเขาอยู่คือถนนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมือง มีอาคารตั้งเรียงราย ทว่าบัดนี้อาคารเหล่านั้นล้วนแต่พังถล่ม กลายเป็นเศษซากอาคาร ถนนบนพื้นก็พังเสียหายไปไม่น้อย
“ทราวิส! ระวังซ้าย!” เสียงหญิงสาวตะโกนขึ้นเพื่อร้องเตือนสหายที่อยู่ห่างเยื้องไปด้านหน้าซ้ายมือของเธอ
ชายผมทองในเครื่องแบบสีเทาเข้มเช่นเดียวกับเพื่อนพ้องคนอื่นๆ รีบกลิ้งม้วนตัวกลับหลังไปสองสามตลบเพื่อหลบสิ่งที่พุ่งเข้าใส่
ทว่าหญิงสาวที่ร้องเตือนนั้นไม่โชคดีเหมือนเขา ถึงแม้เธอจะถอยหลบในระหว่างที่ตะโกนออกไป แต่ยังอยู่ในรัศมีปะทะของเจ้าสิ่งนั้นอยู่เล็กน้อย
สิ่งที่พุ่งเข้ามานั้นเป็นก้อนสีดำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งเมตร พื้นผิวขรุขระสีน้ำตาลและมีคราบสีเขียวติดอยู่ทั่ว มีลวดลายประหลาดเป็นทาง เมื่อมันคลาดกับเป้าหมายก็กลิ้งต่อไปอีกสี่ห้าเมตรแล้วก็ตกเป็นเป้ากระสุนปืนเสียเอง
ปัง! ปัง! ปัง!
กระสุนปลิวว่อนพุ่งเข้าใส่เจ้าก้อนนั้น ทว่าก็ไม่ส่งผลให้เกิดความเสียหายกับผิวนอกของมันมากนัก
เจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่ก้อนหิน ไม่ใช่อาวุธ รอยแยกบริเวณที่คาดว่าจะเป็นหัวของมันอ้าออก มีท่อสั้นๆ ขนาดราวกำปั้นยื่นออกมา
“มันจะพ่นกรดแล้ว! รีบยิงเร็วเข้า!”
ปัง! ปัง! ปัง!
ขณะที่ของเหลวสีเขียวข้นกำลังจะถูกพ่นออกมาจากท่อนั้น ลูกกระสุนจำนวนนับไม่ถ้วนก็เจาะสวนเข้าไป ชิ้นส่วนที่ราวกับเป็นอวัยวะของมันกระเด็นออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับของเหลวสีน้ำเงินและสีเขียว
แกรก…กรีซซซ
เสียงร้องที่ราวกับเสียงโหยหวนดังออกมาจากเจ้าก้อนสีน้ำตาล เมื่อถูกยิงเข้าที่อวัยวะภายใน ผิวหนังที่แข็งแกร่งภายนอกจึงไม่อาจช่วยเหลือมันได้ มันสั่นพะเยิบพะยาบแล้วดิ้นพล่านก่อนจะแน่นิ่งไป
เจ้าก้อนสีน้ำตาลที่อยู่ใกล้เคียงอีกสามตัวก็ถูกกระสุนและระเบิดมือจนนิ่งไปในเวลาไม่ห่างกันนัก ในบริเวณโดยรอบนี้มีซากเจ้าก้อนสีน้ำตาลอยู่กระจัดกระจายราว 20-30 ตัว และก็มีร่างมนุษย์นอนอยู่ 4-5 คน ส่วนคนที่ยังยืนถืออาวุธอยู่ได้ มีเหลืออยู่อีก 7 คน
เจ้าก้อนสีน้ำตาลที่เพิ่งแน่นิ่งไปนั้นคือตัวสุดท้ายในบริเวณนี้แล้ว
ชายหนุ่มชาวเอเชียคนหนึ่งและชายผมทองที่ชื่อทราวิสวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวที่ทรุดลงไปนั่ง
“หัวหน้า เป็นไงบ้าง!”
หญิงสาวที่ผมยาวระดับบ่าแต่มัดเป็นหางกระรอกไว้ข้างหลัง สวมหมวกแก๊ปสีเดียวกับชุด เธอทรุดนั่งลงไปแต่มืออีกข้างยังคงถือปืนตั้งค้ำกับพื้นเอาไว้ เกราะเคฟลาร์สีดำบริเวณหน้าอกเธอเป็นรอยครูดแหว่งไปบ้าง
“ไม่เป็นไรมาก แค่เฉียดๆ ไป แต่ก็ทำเอาจุกเหมือนกัน สั่งพักตรวจสภาพกันก่อน” หญิงสาวตอบเสียงหอบสั่น
ชายหนุ่มชาวเอเชียหันไปตะโกนบอกเพื่อนพ้องคนอื่นๆ
“พักก่อน แล้วตรวจสอบความเรียบร้อย”
จากนั้นเขาก็หันกลับมาคุยกับหญิงสาวมัดผมหางกระรอก
“หัวหน้า ตอนนี้ทีมเราเหลือกัน 7 คน หวังว่าเราจะทำสำเร็จ… ไม่รู้ว่าทีมอื่นเป็นไงกันบ้าง…” ชายหนุ่มชาวเอเชียกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง
“ไป๋หลง…” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าพูดได้เพียงเท่านั้นก็เงียบเสียงลง หยุดไปชั่วขณะ
จากนั้นเธอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก
“เกือบห้าปีที่มนุษย์ต้องต่อสู้กับพวกมัน เมืองแล้วเมืองเล่าที่ถูกทำลายลงไป มนุษย์คนแล้วคนเล่าที่ล้มตาย กว่าที่พวกนักวิจัยจะคิดค้นอาวุธชนิดนี้ที่พอจะต้านทานมันได้…
“ถ้าไม่มีทีมไหนทำสำเร็จ โลกเราก็คงถึงคราวหายนะแล้วล่ะ”
ห้วงความคิดของหญิงสาวตกอยู่ในภวังค์การหวนคำนึง…
ตั้งแต่ห้าปีก่อน สิ่งมีชีวิตประหลาดรูปร่างเป็นก้อนสีน้ำตาล ผิวขรุขระมีลวดลายประหลาดนี้ลอยมากับก้อนอุกกาบาตที่ตกใส่โลก
ไม่รู้ว่าตอนแรกมันมีอยู่มากน้อยเพียงใด แต่กว่าจะรู้ตัวมันก็ค่อยๆ แพร่พันธุ์ออกมามากมาย
มันกินดิน กินหิน กินต้นไม้ใบหญ้า กินสิ่งมีชีวิตต่างๆ
ของเสียที่มันขับถ่ายออกมาก็เป็นมลพิษร้ายแรง
มันสามารถพ่นกรดเข้มข้นออกมาได้ในระยะทางราว 5-6 เมตร
ถึงจะมีลักษณะคล้ายก้อนกลมที่ไม่ถึงกับกลมดิก แต่มันก็มีรยางค์ที่ทำให้ดีดตัวได้ไกลถึง 50-60 เมตร ประกอบกับผิวเปลือกนอกที่แข็งและขรุขระ แรงปะทะจึงรุนแรงมหาศาลถึงขนาดกระแทกตึกจนพังได้
มันแพร่พันธุ์ได้ราวกับแมลงสาบ โดยจะมีตัวที่มนุษย์เรียกว่า ‘รังแม่’ เป็นตัวนางพญา
ช่วงแรกของการบุกรุกนั้น มนุษย์ยังไม่ทันตั้งตัว เมืองต่างๆ จึงถูกทำลายพินาศไปไม่น้อย มนุษย์ที่เหลือพยายามรวมกำลังและตั้งยันกลับไป
แต่เนื่องจากการแพร่พันธุ์ที่ทำได้เร็ว และความทนทานของเปลือกนอก การต่อสู้จึงทำได้อย่างลำบาก
นอกจากนั้น ‘รังแม่’ ก็ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ถ้าไม่กำจัดมันก็คงไม่อาจสกัดกั้นขั้นตอนการผลิตกองกำลังเสริมของศัตรูได้
ในช่วงแรกยังมีอาวุธร้อนจำพวกจรวด ปืนใหญ่ ระเบิดให้ใช้อย่างมากมาย ทว่าเมื่ออัตราการใช้นั้นสิ้นเปลืองเป็นอย่างมาก การผลิตเพื่อทดแทนกลับทำได้ไม่ทันอัตราบริโภคเพราะพื้นที่ทรัพยากรหลายแห่งถูกศัตรูจากนอกโลกยึดครองไปแล้ว
แม้ว่าผู้นำบางประเทศจะยอมตัดใจสละบางพื้นที่ด้วยการยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ใส่ตัวเมือง แต่กลับไม่สามารถทำลายมันได้อย่างสิ้นซาก
ตัวแม่ยังอยู่… กองกำลังศัตรูก็จะเกิดใหม่ขึ้นเรื่อยๆ
ประเทศถูกทำลาย… เมืองถูกทำลาย… ผู้คนล้มตายไปเรื่อยๆ
ประชากรมนุษยชาติราวเจ็ดพันล้านคน ตอนนี้เหลือเท่าไหร่ไม่อาจทราบ เพราะไม่มีใครเก็บข้อมูลประชากรแล้ว
ทว่าจากที่ประเมินก็น่าจะเหลือไม่ถึง 0.1% จากก่อนหน้านี้ และมนุษย์ไม่อาจเกิดและเติบโตได้เร็วเท่ากับพวกศัตรูจากต่างดาวอีกด้วย
นักวิจัยจากประเทศต่างๆ พยายามคิดค้นหาวิธีทำลายมันโดยนำซากของเจ้าตัวพวกนี้ไปวิจัย
ในที่สุดอาวุธชีวภาพที่ทำลายการแพร่พันธุ์ของมันก็ถูกคิดค้นขึ้นมาได้
อาวุธนี้มีชื่อว่า ‘Love Letter จดหมายรัก’
ที่นักวิจัยตั้งชื่อนี้เพราะนี่คือจดหมายรักที่จะส่งมอบความรักความหวังให้กับมนุษยชาติที่เหลืออยู่ทั้งหมด ถ้าทำสำเร็จ มนุษยชาติก็ยังพอจะสามารถฟื้นคืนกลับขึ้นมาได้ แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกนับร้อย หรือหลายร้อยปีหลังจากนี้
เพียงแต่ว่าอาวุธชนิดนี้ต่อให้ผลิตขึ้นมาได้มากเพียงพอ แต่ก็ไม่อาจฉีดพ่นในอากาศ ไม่อาจติดตั้งในมิสไซล์ยิงไป ไม่อาจใช้โดรนบังคับพุ่งไปหา ‘รังแม่’ ได้ สาเหตุเพียงประการเดียวก็คือ…
‘รังแม่’ อยู่ใต้ดิน… อีกทั้งยังรายรอบไปด้วย ‘องครักษ์พิทักษ์ราชินี’
ดังนั้นทีมปฏิบัติการทั่วโลกที่ยังเหลืออยู่จึงได้รวมตัวกันเพื่อปฏิบัติภารกิจสุดท้าย เป็น ‘บุรุษไปรษณีย์’ ส่ง ‘จดหมายรัก’ ไปหา ‘รังแม่’
ปฏิบัติการนี้แบ่งทีมของกองกำลังต่างๆ ทั่วโลกเป็นทีมย่อยหลายพันทีม แยกกันบุกเข้าไปตามทางเข้าใต้ดินที่จะนำไปสู่ ‘รังแม่’ บางทีมเป็นทีมเคลียร์ทางเปิดพื้นที่ บางทีมเป็นทีมคุ้มกัน บางทีมเป็นทีมส่ง ‘จดหมายรัก’
เจน… เจนจิรา หญิงสาวผู้นี้เป็นหนึ่งในหัวหน้าทีมปฏิบัติการที่ทำหน้าที่ ‘บุรุษไปรษณีย์’
“เอาล่ะ ทุกคนเตรียมเคลื่อนพล!” หลังจากที่ได้พักไปชั่วครู่ เจนก็ลุกขึ้นยืนตะโกนบอกลูกทีม
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” สมาชิกทั้งหกที่เหลืออยู่ ตอบอย่างพร้อมเพรียง รวมทั้งไป๋หลงชายหนุ่มชาวเอเชียกับทราวิสชายผมทองที่อยู่ด้านข้าง
“ไป!” เจนก้าวเดินนำหน้าออกไป
หนทางสู่ปากอุโมงค์แม้จะยังอยู่ไม่ไกล ทว่าเส้นทางใต้ดินยังต้องฝ่าเข้าไปอีกพอสมควร
หัวใจของเจนหนักอึ้ง สมาชิกในทีมที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมด 7 คนต่างแบกความหวังของมนุษยชาติเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ‘บุรุษไปรษณีย์’ ก็ดี หรือ ‘สตรีไปรษณีย์’ ก็ตาม
จากนั้นเสียงปืนเริ่มดังกึกก้องจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่นอีกแล้ว
มือของเจนลั่นไกกระหน่ำยิงต่อเนื่องจนแทบไร้ความรู้สึก
แต่ขาเธอยังคงก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อความหวัง… ความหวังสุดท้าย… ของมนุษยชาติ…
* * * * *
สงครามสุดท้ายกับจดหมายรัก [เรื่องสั้นแนวไซไฟต่อสู้] + ขอคำแนะนำเพื่อปรับปรุงการเขียน
โดยให้แต่งเรื่องที่เกี่ยวกับคำนี้ ก็เลยเป็นจังหวะได้ลองฝึกเขียนดูครับ
แต่ด้วยความที่ไม่ถนัดแนวนิยายรัก พล็อตเรื่องมันก็เลยดูฝืนๆ กับ keyword หน่อยน่ะครับ ฮ่า
กอปรกับว่าเป็นการฝึกเขียน เลยไม่ได้คิดพล็อตซับซ้อนอะไร
ขอมาแปะในเว็บพันทิปเพื่อขอคำแนะนำเรื่องสำนวน การใช้คำ การบรรยาย การดำเนินเรื่อง และ ฯลฯ
เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงฝีมือตัวเองต่อไปครับ ขอบคุณครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สงครามสุดท้ายกับจดหมายรัก
Last Battle And Love Letter
Writer: HudchewMan
Genre: Sci-Fi, Young Adult
* * * * *
ตูม! ปัง! ปัง! ปัง!
ท่ามกลางเสียงระเบิดและเสียงปืนดังอย่างต่อเนื่องนั้น คนกลุ่มที่กำลังระดมยิงค่อยๆ ขยับจากจุดที่ใช้กำบังตัวจุดเดิมถอยร่นไปอีกราวสิบเมตรซึ่งมีเศษซากคอนกรีตให้ใช้กำบังตัว
บริเวณที่พวกเขาอยู่คือถนนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมือง มีอาคารตั้งเรียงราย ทว่าบัดนี้อาคารเหล่านั้นล้วนแต่พังถล่ม กลายเป็นเศษซากอาคาร ถนนบนพื้นก็พังเสียหายไปไม่น้อย
“ทราวิส! ระวังซ้าย!” เสียงหญิงสาวตะโกนขึ้นเพื่อร้องเตือนสหายที่อยู่ห่างเยื้องไปด้านหน้าซ้ายมือของเธอ
ชายผมทองในเครื่องแบบสีเทาเข้มเช่นเดียวกับเพื่อนพ้องคนอื่นๆ รีบกลิ้งม้วนตัวกลับหลังไปสองสามตลบเพื่อหลบสิ่งที่พุ่งเข้าใส่
ทว่าหญิงสาวที่ร้องเตือนนั้นไม่โชคดีเหมือนเขา ถึงแม้เธอจะถอยหลบในระหว่างที่ตะโกนออกไป แต่ยังอยู่ในรัศมีปะทะของเจ้าสิ่งนั้นอยู่เล็กน้อย
สิ่งที่พุ่งเข้ามานั้นเป็นก้อนสีดำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งเมตร พื้นผิวขรุขระสีน้ำตาลและมีคราบสีเขียวติดอยู่ทั่ว มีลวดลายประหลาดเป็นทาง เมื่อมันคลาดกับเป้าหมายก็กลิ้งต่อไปอีกสี่ห้าเมตรแล้วก็ตกเป็นเป้ากระสุนปืนเสียเอง
ปัง! ปัง! ปัง!
กระสุนปลิวว่อนพุ่งเข้าใส่เจ้าก้อนนั้น ทว่าก็ไม่ส่งผลให้เกิดความเสียหายกับผิวนอกของมันมากนัก
เจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่ก้อนหิน ไม่ใช่อาวุธ รอยแยกบริเวณที่คาดว่าจะเป็นหัวของมันอ้าออก มีท่อสั้นๆ ขนาดราวกำปั้นยื่นออกมา
“มันจะพ่นกรดแล้ว! รีบยิงเร็วเข้า!”
ปัง! ปัง! ปัง!
ขณะที่ของเหลวสีเขียวข้นกำลังจะถูกพ่นออกมาจากท่อนั้น ลูกกระสุนจำนวนนับไม่ถ้วนก็เจาะสวนเข้าไป ชิ้นส่วนที่ราวกับเป็นอวัยวะของมันกระเด็นออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับของเหลวสีน้ำเงินและสีเขียว
แกรก…กรีซซซ
เสียงร้องที่ราวกับเสียงโหยหวนดังออกมาจากเจ้าก้อนสีน้ำตาล เมื่อถูกยิงเข้าที่อวัยวะภายใน ผิวหนังที่แข็งแกร่งภายนอกจึงไม่อาจช่วยเหลือมันได้ มันสั่นพะเยิบพะยาบแล้วดิ้นพล่านก่อนจะแน่นิ่งไป
เจ้าก้อนสีน้ำตาลที่อยู่ใกล้เคียงอีกสามตัวก็ถูกกระสุนและระเบิดมือจนนิ่งไปในเวลาไม่ห่างกันนัก ในบริเวณโดยรอบนี้มีซากเจ้าก้อนสีน้ำตาลอยู่กระจัดกระจายราว 20-30 ตัว และก็มีร่างมนุษย์นอนอยู่ 4-5 คน ส่วนคนที่ยังยืนถืออาวุธอยู่ได้ มีเหลืออยู่อีก 7 คน
เจ้าก้อนสีน้ำตาลที่เพิ่งแน่นิ่งไปนั้นคือตัวสุดท้ายในบริเวณนี้แล้ว
ชายหนุ่มชาวเอเชียคนหนึ่งและชายผมทองที่ชื่อทราวิสวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวที่ทรุดลงไปนั่ง
“หัวหน้า เป็นไงบ้าง!”
หญิงสาวที่ผมยาวระดับบ่าแต่มัดเป็นหางกระรอกไว้ข้างหลัง สวมหมวกแก๊ปสีเดียวกับชุด เธอทรุดนั่งลงไปแต่มืออีกข้างยังคงถือปืนตั้งค้ำกับพื้นเอาไว้ เกราะเคฟลาร์สีดำบริเวณหน้าอกเธอเป็นรอยครูดแหว่งไปบ้าง
“ไม่เป็นไรมาก แค่เฉียดๆ ไป แต่ก็ทำเอาจุกเหมือนกัน สั่งพักตรวจสภาพกันก่อน” หญิงสาวตอบเสียงหอบสั่น
ชายหนุ่มชาวเอเชียหันไปตะโกนบอกเพื่อนพ้องคนอื่นๆ
“พักก่อน แล้วตรวจสอบความเรียบร้อย”
จากนั้นเขาก็หันกลับมาคุยกับหญิงสาวมัดผมหางกระรอก
“หัวหน้า ตอนนี้ทีมเราเหลือกัน 7 คน หวังว่าเราจะทำสำเร็จ… ไม่รู้ว่าทีมอื่นเป็นไงกันบ้าง…” ชายหนุ่มชาวเอเชียกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง
“ไป๋หลง…” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าพูดได้เพียงเท่านั้นก็เงียบเสียงลง หยุดไปชั่วขณะ
จากนั้นเธอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก
“เกือบห้าปีที่มนุษย์ต้องต่อสู้กับพวกมัน เมืองแล้วเมืองเล่าที่ถูกทำลายลงไป มนุษย์คนแล้วคนเล่าที่ล้มตาย กว่าที่พวกนักวิจัยจะคิดค้นอาวุธชนิดนี้ที่พอจะต้านทานมันได้…
“ถ้าไม่มีทีมไหนทำสำเร็จ โลกเราก็คงถึงคราวหายนะแล้วล่ะ”
ห้วงความคิดของหญิงสาวตกอยู่ในภวังค์การหวนคำนึง…
ตั้งแต่ห้าปีก่อน สิ่งมีชีวิตประหลาดรูปร่างเป็นก้อนสีน้ำตาล ผิวขรุขระมีลวดลายประหลาดนี้ลอยมากับก้อนอุกกาบาตที่ตกใส่โลก
ไม่รู้ว่าตอนแรกมันมีอยู่มากน้อยเพียงใด แต่กว่าจะรู้ตัวมันก็ค่อยๆ แพร่พันธุ์ออกมามากมาย
มันกินดิน กินหิน กินต้นไม้ใบหญ้า กินสิ่งมีชีวิตต่างๆ
ของเสียที่มันขับถ่ายออกมาก็เป็นมลพิษร้ายแรง
มันสามารถพ่นกรดเข้มข้นออกมาได้ในระยะทางราว 5-6 เมตร
ถึงจะมีลักษณะคล้ายก้อนกลมที่ไม่ถึงกับกลมดิก แต่มันก็มีรยางค์ที่ทำให้ดีดตัวได้ไกลถึง 50-60 เมตร ประกอบกับผิวเปลือกนอกที่แข็งและขรุขระ แรงปะทะจึงรุนแรงมหาศาลถึงขนาดกระแทกตึกจนพังได้
มันแพร่พันธุ์ได้ราวกับแมลงสาบ โดยจะมีตัวที่มนุษย์เรียกว่า ‘รังแม่’ เป็นตัวนางพญา
ช่วงแรกของการบุกรุกนั้น มนุษย์ยังไม่ทันตั้งตัว เมืองต่างๆ จึงถูกทำลายพินาศไปไม่น้อย มนุษย์ที่เหลือพยายามรวมกำลังและตั้งยันกลับไป
แต่เนื่องจากการแพร่พันธุ์ที่ทำได้เร็ว และความทนทานของเปลือกนอก การต่อสู้จึงทำได้อย่างลำบาก
นอกจากนั้น ‘รังแม่’ ก็ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ถ้าไม่กำจัดมันก็คงไม่อาจสกัดกั้นขั้นตอนการผลิตกองกำลังเสริมของศัตรูได้
ในช่วงแรกยังมีอาวุธร้อนจำพวกจรวด ปืนใหญ่ ระเบิดให้ใช้อย่างมากมาย ทว่าเมื่ออัตราการใช้นั้นสิ้นเปลืองเป็นอย่างมาก การผลิตเพื่อทดแทนกลับทำได้ไม่ทันอัตราบริโภคเพราะพื้นที่ทรัพยากรหลายแห่งถูกศัตรูจากนอกโลกยึดครองไปแล้ว
แม้ว่าผู้นำบางประเทศจะยอมตัดใจสละบางพื้นที่ด้วยการยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ใส่ตัวเมือง แต่กลับไม่สามารถทำลายมันได้อย่างสิ้นซาก
ตัวแม่ยังอยู่… กองกำลังศัตรูก็จะเกิดใหม่ขึ้นเรื่อยๆ
ประเทศถูกทำลาย… เมืองถูกทำลาย… ผู้คนล้มตายไปเรื่อยๆ
ประชากรมนุษยชาติราวเจ็ดพันล้านคน ตอนนี้เหลือเท่าไหร่ไม่อาจทราบ เพราะไม่มีใครเก็บข้อมูลประชากรแล้ว
ทว่าจากที่ประเมินก็น่าจะเหลือไม่ถึง 0.1% จากก่อนหน้านี้ และมนุษย์ไม่อาจเกิดและเติบโตได้เร็วเท่ากับพวกศัตรูจากต่างดาวอีกด้วย
นักวิจัยจากประเทศต่างๆ พยายามคิดค้นหาวิธีทำลายมันโดยนำซากของเจ้าตัวพวกนี้ไปวิจัย
ในที่สุดอาวุธชีวภาพที่ทำลายการแพร่พันธุ์ของมันก็ถูกคิดค้นขึ้นมาได้
อาวุธนี้มีชื่อว่า ‘Love Letter จดหมายรัก’
ที่นักวิจัยตั้งชื่อนี้เพราะนี่คือจดหมายรักที่จะส่งมอบความรักความหวังให้กับมนุษยชาติที่เหลืออยู่ทั้งหมด ถ้าทำสำเร็จ มนุษยชาติก็ยังพอจะสามารถฟื้นคืนกลับขึ้นมาได้ แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกนับร้อย หรือหลายร้อยปีหลังจากนี้
เพียงแต่ว่าอาวุธชนิดนี้ต่อให้ผลิตขึ้นมาได้มากเพียงพอ แต่ก็ไม่อาจฉีดพ่นในอากาศ ไม่อาจติดตั้งในมิสไซล์ยิงไป ไม่อาจใช้โดรนบังคับพุ่งไปหา ‘รังแม่’ ได้ สาเหตุเพียงประการเดียวก็คือ…
‘รังแม่’ อยู่ใต้ดิน… อีกทั้งยังรายรอบไปด้วย ‘องครักษ์พิทักษ์ราชินี’
ดังนั้นทีมปฏิบัติการทั่วโลกที่ยังเหลืออยู่จึงได้รวมตัวกันเพื่อปฏิบัติภารกิจสุดท้าย เป็น ‘บุรุษไปรษณีย์’ ส่ง ‘จดหมายรัก’ ไปหา ‘รังแม่’
ปฏิบัติการนี้แบ่งทีมของกองกำลังต่างๆ ทั่วโลกเป็นทีมย่อยหลายพันทีม แยกกันบุกเข้าไปตามทางเข้าใต้ดินที่จะนำไปสู่ ‘รังแม่’ บางทีมเป็นทีมเคลียร์ทางเปิดพื้นที่ บางทีมเป็นทีมคุ้มกัน บางทีมเป็นทีมส่ง ‘จดหมายรัก’
เจน… เจนจิรา หญิงสาวผู้นี้เป็นหนึ่งในหัวหน้าทีมปฏิบัติการที่ทำหน้าที่ ‘บุรุษไปรษณีย์’
“เอาล่ะ ทุกคนเตรียมเคลื่อนพล!” หลังจากที่ได้พักไปชั่วครู่ เจนก็ลุกขึ้นยืนตะโกนบอกลูกทีม
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” สมาชิกทั้งหกที่เหลืออยู่ ตอบอย่างพร้อมเพรียง รวมทั้งไป๋หลงชายหนุ่มชาวเอเชียกับทราวิสชายผมทองที่อยู่ด้านข้าง
“ไป!” เจนก้าวเดินนำหน้าออกไป
หนทางสู่ปากอุโมงค์แม้จะยังอยู่ไม่ไกล ทว่าเส้นทางใต้ดินยังต้องฝ่าเข้าไปอีกพอสมควร
หัวใจของเจนหนักอึ้ง สมาชิกในทีมที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมด 7 คนต่างแบกความหวังของมนุษยชาติเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ‘บุรุษไปรษณีย์’ ก็ดี หรือ ‘สตรีไปรษณีย์’ ก็ตาม
จากนั้นเสียงปืนเริ่มดังกึกก้องจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่นอีกแล้ว
มือของเจนลั่นไกกระหน่ำยิงต่อเนื่องจนแทบไร้ความรู้สึก
แต่ขาเธอยังคงก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อความหวัง… ความหวังสุดท้าย… ของมนุษยชาติ…
* * * * *