คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 43
จขกท ยังมีทิฏฐิแบบในภาพนี้ แล้วจะไปอธิบาย ทำความเข้าใจธรรมอื่น ๆ ของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้

ขอบคุณสมาชิกหมายเลข 2930028
บอกที่มาของภาพความเห็นคุณ# 5447057
ภาพข้างบนนี้มากจากกระทู้ https://pantip.com/topic/41230617/comment63-4
และ https://pantip.com/topic/41264455
แก้ไขเพิ่มเติม ตามลักษณะของกระทู้
คนอ่าน คนที่ติดตามเรื่องนี้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปสืบค้นหา


ขอบคุณสมาชิกหมายเลข 2930028
บอกที่มาของภาพความเห็นคุณ# 5447057
ภาพข้างบนนี้มากจากกระทู้ https://pantip.com/topic/41230617/comment63-4
และ https://pantip.com/topic/41264455
แก้ไขเพิ่มเติม ตามลักษณะของกระทู้
คนอ่าน คนที่ติดตามเรื่องนี้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปสืบค้นหา


ความคิดเห็นที่ 26
สัตว์มายึดขันธ์ 5 เป็นเดรัจฉานวิชา
ขันธ์ 5 มีทั้งนามธรรมและรูปธรรม เป็นปฏิจสมุปบันธรรม
มีเหตุเกิดมันก็เกิด หมดเหตุนั้นมันก็ดับ และสืบต่อกันไปได้ตามเหตุปัจจัย
ขันธ์ 5 มีทั้งรูปและนาม การสืบต่อของขันธ์ 5 นั้น สามารถข้ามภพข้ามชาติได้ถ้าเหตุปัจจัยยังมีอยู่
ขันธ์ 5 มาจากใคร ?
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แล้วก็นำชีวิตเราๆ ท่านๆ นี่แหละมาวิเคราะห์
แล้วท่านก็แยกชีวิต เราๆ ท่านๆ นี่ออกเป็นขันธ์ 5
สำนักพุทธวจนสอนเดรัจฉานวิชา ว่ามีสัตว์มายึดขันธ์ 5 โดยการเพิ่ม "สัตว์จริงๆ" เข้ามาเองนอกคำสอน
ชีวิตเราๆ ท่านๆ จบที่ขันธ์ 5
ขันธ์ 5 มีทั้งรูปและนาม
และมันมีความสามารถในการสืบต่อภพชาติ
ความเข้าใจในพุทธศาสนามี 2 ระดับ คือระดับสาสวะ จะเรียกว่าระดับโลกียะก็ได้
อีกระดับหนึ่งคือระดับอนาสวะ หรือระดับโลกุตระ
จขกท นั้นมีความจำในการอ่านเฉพาะในระดับโลกียะเท่านั้น
และขณะนี้ ได้นำสิ่งที่ตนเข้าใจเอาเองนั้น มาครอบงำทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน รวมทั้งระดับโลกุตระด้วย
จึงแจ้งมายังทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน และได้พิจารณาให้ถี่ถ้วน.
ขันธ์ 5 มีทั้งนามธรรมและรูปธรรม เป็นปฏิจสมุปบันธรรม
มีเหตุเกิดมันก็เกิด หมดเหตุนั้นมันก็ดับ และสืบต่อกันไปได้ตามเหตุปัจจัย
ขันธ์ 5 มีทั้งรูปและนาม การสืบต่อของขันธ์ 5 นั้น สามารถข้ามภพข้ามชาติได้ถ้าเหตุปัจจัยยังมีอยู่
ขันธ์ 5 มาจากใคร ?
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แล้วก็นำชีวิตเราๆ ท่านๆ นี่แหละมาวิเคราะห์
แล้วท่านก็แยกชีวิต เราๆ ท่านๆ นี่ออกเป็นขันธ์ 5
สำนักพุทธวจนสอนเดรัจฉานวิชา ว่ามีสัตว์มายึดขันธ์ 5 โดยการเพิ่ม "สัตว์จริงๆ" เข้ามาเองนอกคำสอน
ชีวิตเราๆ ท่านๆ จบที่ขันธ์ 5
ขันธ์ 5 มีทั้งรูปและนาม
และมันมีความสามารถในการสืบต่อภพชาติ
ความเข้าใจในพุทธศาสนามี 2 ระดับ คือระดับสาสวะ จะเรียกว่าระดับโลกียะก็ได้
อีกระดับหนึ่งคือระดับอนาสวะ หรือระดับโลกุตระ
จขกท นั้นมีความจำในการอ่านเฉพาะในระดับโลกียะเท่านั้น
และขณะนี้ ได้นำสิ่งที่ตนเข้าใจเอาเองนั้น มาครอบงำทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน รวมทั้งระดับโลกุตระด้วย
จึงแจ้งมายังทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน และได้พิจารณาให้ถี่ถ้วน.
ความคิดเห็นที่ 5
ในที่สุดก็โผล่มาอาศัย ตํ ชีวํ ตํ สรีรํ มาอาศัยศัพท์ในพระสูตรเห็นปานนี้ ก็ลัทธินี้จะไปหาสิงในพระอภิธรรมปิฎกไม่ได้เลย ในคัมภีร์ไวยากรณ์ยิ่งไม่ได้ใหญ่
ก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าเดียรถีย์เขาถือผิดว่า สรีระเป็นที่สิงอาศัยของชีวะ จึงพยายามมางัดกับพระพุทธ ส่วน นายsaab นี้ได้ช่องตามพระสูตรจึงถือสัตตานังมางัดกับพระไตรปิฎกก็เท่านั้น
คนเราเมื่อตายสิ้นชีพแล้วพวกญาติพี่น้องก็เอาร่างเอาสรีระไปเผา ก็เท่านั้นเอง แต่เดียรถีย์ไม่มีปัญญาจะเข้าใจสัจธรรมจึงหวงชีพหวงชีวะอย่างหนักอยากให้ชีพให้ชีวะที่ไม่มีปัญญาจะเข้าใจสัจธรรมนั้นๆ ยังคงอยู่จึงพยายามคิดวิธีให้ชีวะเล็ดลอดออกจากร่างจากสรีระที่กำลังถูกเผาอยู่นั้นไปสิงสู่สิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ก่อนเป็นใช้ได้ ยิ่งถ้าได้สิงสู่ร่างสดใหม่เป็นเด็กน้อยเพิ่งเกิดใหม่ในครรภ์มารดาก็ยิ่งดี
ก็เป็นอันเสร็จพิธีเป็นลัทธิสัตว์สิง
ก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าเดียรถีย์เขาถือผิดว่า สรีระเป็นที่สิงอาศัยของชีวะ จึงพยายามมางัดกับพระพุทธ ส่วน นายsaab นี้ได้ช่องตามพระสูตรจึงถือสัตตานังมางัดกับพระไตรปิฎกก็เท่านั้น
คนเราเมื่อตายสิ้นชีพแล้วพวกญาติพี่น้องก็เอาร่างเอาสรีระไปเผา ก็เท่านั้นเอง แต่เดียรถีย์ไม่มีปัญญาจะเข้าใจสัจธรรมจึงหวงชีพหวงชีวะอย่างหนักอยากให้ชีพให้ชีวะที่ไม่มีปัญญาจะเข้าใจสัจธรรมนั้นๆ ยังคงอยู่จึงพยายามคิดวิธีให้ชีวะเล็ดลอดออกจากร่างจากสรีระที่กำลังถูกเผาอยู่นั้นไปสิงสู่สิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ก่อนเป็นใช้ได้ ยิ่งถ้าได้สิงสู่ร่างสดใหม่เป็นเด็กน้อยเพิ่งเกิดใหม่ในครรภ์มารดาก็ยิ่งดี
ก็เป็นอันเสร็จพิธีเป็นลัทธิสัตว์สิง
ความคิดเห็นที่ 14
ตามที่ทุกท่านเห็นประจักษ์แล้ว
หอมเจ้าลัทธิพุทธเฉยๆ พยายามเอาพระธรรมของเถรวาทไปตัดต่อพันธุกรรม อ้างสิทธิ์ในการตีความเอง เป็นมิจฉาทิฏฐิ โดยไม่ยอมศึกษาธรรมให้ถูกต้อง
เชิญทุกท่านฟังธรรมในเถรวาท อาจจะประเทืองปัญญากว่าการหาสัตว์ในขันธ์ 5 อย่าง จขกท

ความไม่มีสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา ถอนทิฎฐิว่ามีเราในขันธ์ห้านอกขันธ์ห้า
แถมกระทู้ที่อาจเป็นประโยชน์
ทิฏฐิ ๖๒ (ทิฐิ ๖๒) คืออะไร?
https://pantip.com/topic/35520241
มิจฉาทิฐิ เป็นไฉน (ทิฏฐิ ๖๒)
https://pantip.com/topic/41112513
หอมเจ้าลัทธิพุทธเฉยๆ พยายามเอาพระธรรมของเถรวาทไปตัดต่อพันธุกรรม อ้างสิทธิ์ในการตีความเอง เป็นมิจฉาทิฏฐิ โดยไม่ยอมศึกษาธรรมให้ถูกต้อง
เชิญทุกท่านฟังธรรมในเถรวาท อาจจะประเทืองปัญญากว่าการหาสัตว์ในขันธ์ 5 อย่าง จขกท

ความไม่มีสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา ถอนทิฎฐิว่ามีเราในขันธ์ห้านอกขันธ์ห้า
แถมกระทู้ที่อาจเป็นประโยชน์
ทิฏฐิ ๖๒ (ทิฐิ ๖๒) คืออะไร?
https://pantip.com/topic/35520241
มิจฉาทิฐิ เป็นไฉน (ทิฏฐิ ๖๒)
https://pantip.com/topic/41112513
ความคิดเห็นที่ 33
ปัญหาที่ ๑ ถามชื่อ
ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ได้เสร็จไปหาพระนาคเสนแล้ว ทรงปราศรัยพอให้เกิดความร่าเริงยินดีแล้วก็ประทับนั่ง ฝ่ายพระนาคเสนก็แสดงความชื่นชมยินดี ทำให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามิลินท์
ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสถามปัญหาข้อแรกต่อพระนาคเสนขึ้นว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมประสงค์จะสนทนาด้วย "
พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า
" เชิญสนทนาเถิด มหาบพิตร อาตมภาพใคร่จะฟัง "
" โยมสนทนาแล้ว ขอผู้เป็นเจ้าจงฟังเถิด "
" อาตมภาพฟังอยู่แล้ว มหาบพิตรเชิญเจรจาเถิด "
" พระผู้เป็นเจ้าได้ฟังว่าอย่างไร ? "
" ก็มหาบพิตรเจรจาว่าอย่างไร ? "
" โยมจะถามพระผู้เป็นเจ้า "
" จงถามเถิด มหาบพิตร "
" โยมถามแล้ว "
" อาตมภาพก็แก้แล้ว "
" พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร ? "
" ก็มหาบพิตรถามว่าอย่างไร ? "
เมื่อพระเถระตอบอย่างนี้แล้ว พวกโยนกเสนาทั้ง ๕๐๐ ก็เปล่งเสียงสาธุการถวายพระนาคเสน แล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ว่า
" ข้าแต่มหาราชเจ้า คราวนี้ขอพระองค์จงตรัสถามปัญหาต่อไปเถิด พระเจ้าข้า "
เริ่มมีปัญหาเพราะชื่อ
ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้นเรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มี วีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "
ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
" ขอให้ชาวโยนกทั้ง ๕๐๐ นี้และพระภิกษุสงฆ์ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด พระนาคเสนนี้กล่าวว่า เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมาภาพว่า " นาคเสน " ก็แต่ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอันใดอยู่ในคำว่า " นาคเสน " นั้น ดังนี้ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเข้าอยู่แล้ว บุคคลเหล่าใดถวายบาตร จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และวัตถุที่เก็บเภสัชไปแล้ว บุญกุศลก็ต้องไม่มีแก่บุคคลเหล่านั้นน่ะซิ ผู้ใดผู้หนึ่งคิดว่า จะฆ่าพระผู้เป็นเจ้า โทษปาณาติบาตก็เป็นอันไม่มีน่ะซิ ถ้าบุคคลตัวตนเราเขาไม่มีอยู่แล้ว ก็ใครเล่าจะถวายจีวร อาหาร ที่อยู่ ยา และที่ใส่ยา แก่พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะบริโภคสิ่งเหล่านั้น ใครเล่ารักษาศีล ใครเล่ารู้ไปในพระไตรปิฏก ใครเล่าเจริญภาวนา ใครเล่ากระทำให้แจ้งซึ่งมรรคผล นิพพาน ใครเล่ากระทำปาณาติบาต ใครเล่ากระทำอทินนาทาน ใครเล่าประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ใครเล่ากล่าวมุสาวาท ใครเล่าดื่มสุราเมรัย ใครเล่ากระทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕ เพราะฉะนั้น ถ้าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มีแล้ว กุศลก็ต้องไม่มี อกุศลก็ต้องไม่มีผู้ทำหรือผู้ให้ทำซึ่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มีผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็ไม่มีแก่ผู้นั้น เมื่อถืออย่างนั้นก็เป็นอันว่าอาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีอุปัชฌาย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปสมบทของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี คำใดที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกเพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " อะไรเป็นนาคเสนในคำนั้น เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนี้ พระผู้เป็นได้ยินเสียงถามอยู่หรือไม่ ? "
ถามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ยินเสียงถามอยู่ "
" ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่ คำว่า " นาคเสน " ก็มีอยู่ในชื่อนั้นน่ะซิ "
" ไม่มี มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นโยมขอถามต่อไปว่า ผมของพระผู้เป็นเจ้าหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ขนหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" เล็บหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" ฟันหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" หนังหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" เนื้อหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร สมองศีรษะ เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น รูป หรือเวทนา หรือสัญญาสังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น จักขุธาตุและรูปธาตุโสตธาตุและสัททธาตุ ฆานธาตุและคันธธาตุชิวหาธาตุและรสธาตุ กายธาตุและโผฏฐัพพธาตุ มโนธาตุ เหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่นอกจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ก็ไม่ได้ความว่าอะไรเป็นนาคเสนเป็นอันว่า พระผู้เป็นเจ้าพูดเหละแหละพูดมุสาวาท "
พระนาคเสน กล่าวแก้ด้วยราชรถ
เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้แล้ว พระนาคเสนองค์อรหันต์ ผู้สำเร็จปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ได้อบรมเมตตามาแล้ว จึงนิ่งพิจารณาซึ่งวาระจิตของพระเจ้ามิลินท์อยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า
" มหาบพิตรเป็นผู้มีความสุขมาแต่กำเนิด มหาบพิตรได้เสด็จออกจากพระนครในเวลาร้อนเที่ยงวันอย่างนี้ มาหาอาตมภาพได้เสด็จมาด้วยพระบาท ก้อนกรวดเห็นจะถูกพระบาทให้ทรงเจ็บปวด พระกายของพระองค์เห็นจะทรงลำบากพระหฤทัยของพระองค์เห็นจะเร่าร้อน ความรู้สึกทางพระวรกายของพระองค์ เห็นจะประกอบกับทุกข์เป็นแน่ เพราะเหตุไรอาตมภาพจึงว่าอย่างนี้ เพราะเหตุว่า มหาบพิตรมีพระหฤทัยดุร้าย ได้ตรัสพระวาจาดุร้าย มหาบพิตรคงได้เสวยทุกขเวทนาแรงกล้า อาตมาจึงขอถามว่า มหาบพิตรเสด็จมาด้วยพระบาท หรือด้วยราชพาหนะอย่างไร ? "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสตอบว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้มาด้วยเท้า โยมมาด้วยรถต่างหาก "
พระนาคเสนเถระจึงกล่าวประกาศขึ้นว่า
" ขอพวกโยนกทั้ง ๕๐๐ กับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า คือพระเจ้ามิลินท์นี้ได้ตรัสบอกว่า เสด็จมาด้วยรถ ข้าพเจ้าจะขอถามพระเจ้ามิลินท์ต่อไป " กล่าวดังนี้แล้ว จึงถามว่า
" มหาบพิตรตรัสว่า เสด็จมาด้วยรถจริงหรือ ? "
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" เออ…ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมว่ามาด้วยรถจริง "
พระเถระจึงซักถามต่อไปว่า
" ถ้ามหาบพิตรเสด็จมาด้วยรถจริงแล้วขอจงตรัสบอกอาตมภาพเถิดว่า งอนรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
" ถ้าอย่างนั้น เพลารถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเพลาหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น ล้อรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในล้อรถหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น ไม้ค้ำรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น กงรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น เชือกหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเชือกหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น คันปฏักหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
"ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในคันปฏักหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
"ถ้าอย่างนั้น แอกรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
"ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในแอกหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่เล็งเห็นว่า สิ่งใดเป็นรถเลย เป็นอันว่ารถไม่มี เป็นอันว่ามหาบพิตรตรัสเหลาะแหละเหลวไหล มหาบพิตรเป็นพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปนี้ เหตุไรมหาบพิตรจึงตรัสเหลาะแหละเหลวไหลอย่างนี้ ? "
เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกโยนกข้าราชบริพารทั้ง ๕๐๐ นั้น ก็พากันเปล่งเสียงสาธุการขึ้นแก่พระนาคเสนเถระแล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ขึ้นว่า
" ขอมหาราชเจ้าจงทรงแก้ไขไปเถิดพระเจ้าข้า "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละเหลวไหล การที่เรียกว่ารถนี้เพราะอาศัยเครื่องประกอบรถทั้งปวง คือ งอนรถ เพลารถ ล้อรถ ไม้ค้ำรถ กงรถ เชือกขับรถ เหล็กปฏัก ตลอดถึงแอกรถ มีอยู่พร้อม จึงเรียกว่ารถได้ "
พระเถระจึงกล่าวว่า
" ถูกแล้ว มหาบพิตร ข้อที่อาตมภาพได้ชื่อว่า " นาคเสน " ก็เพราะอาศัยเครื่องประกอบด้วยอวัยวะทุกอย่าง คือ อาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อันจำแนกแจกออกไปเป็นขันธ์ ธาตุอายตนะทั้งปวง ข้อนี้ถูกตามถ้อยคำของ นางปฏาจาราภิกษุณี ผู้เป็นพระอรหันต์ กล่าวขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
" อันที่เรียกว่ารถ เพราะประกอบด้วยเครื่องรถทั้งปวงฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ก็สมมุติเรียกกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาฉันนั้น " ดังนี้ ขอถวายพระพร "
พระเจ้ามิลินท์ทรงฟังแก้ปัญหาจบลง น้ำพระทัยของพระบาทท้าวเธอปรีดาปราโมทย์ออกพระโอษฐ์ตรัสซ้องสาธุการว่า
" สาธุ..พระผู้เป็นเจ้าช่างแก้ปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์ กล่าวปัญหาเปรียบเทียบอุปมาด้วยปฏิภาณอันวิจิตรยิ่ง ให้คนทั้งหลายคิดเห็นกระจ่างแจ้งถูกต้องดีแท้ ถ้าพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็จะต้องทรงสาธุการเป็นแน่ "
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php?#1
ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ได้เสร็จไปหาพระนาคเสนแล้ว ทรงปราศรัยพอให้เกิดความร่าเริงยินดีแล้วก็ประทับนั่ง ฝ่ายพระนาคเสนก็แสดงความชื่นชมยินดี ทำให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามิลินท์
ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสถามปัญหาข้อแรกต่อพระนาคเสนขึ้นว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมประสงค์จะสนทนาด้วย "
พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า
" เชิญสนทนาเถิด มหาบพิตร อาตมภาพใคร่จะฟัง "
" โยมสนทนาแล้ว ขอผู้เป็นเจ้าจงฟังเถิด "
" อาตมภาพฟังอยู่แล้ว มหาบพิตรเชิญเจรจาเถิด "
" พระผู้เป็นเจ้าได้ฟังว่าอย่างไร ? "
" ก็มหาบพิตรเจรจาว่าอย่างไร ? "
" โยมจะถามพระผู้เป็นเจ้า "
" จงถามเถิด มหาบพิตร "
" โยมถามแล้ว "
" อาตมภาพก็แก้แล้ว "
" พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร ? "
" ก็มหาบพิตรถามว่าอย่างไร ? "
เมื่อพระเถระตอบอย่างนี้แล้ว พวกโยนกเสนาทั้ง ๕๐๐ ก็เปล่งเสียงสาธุการถวายพระนาคเสน แล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ว่า
" ข้าแต่มหาราชเจ้า คราวนี้ขอพระองค์จงตรัสถามปัญหาต่อไปเถิด พระเจ้าข้า "
เริ่มมีปัญหาเพราะชื่อ
ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้นเรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มี วีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "
ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
" ขอให้ชาวโยนกทั้ง ๕๐๐ นี้และพระภิกษุสงฆ์ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด พระนาคเสนนี้กล่าวว่า เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมาภาพว่า " นาคเสน " ก็แต่ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอันใดอยู่ในคำว่า " นาคเสน " นั้น ดังนี้ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเข้าอยู่แล้ว บุคคลเหล่าใดถวายบาตร จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และวัตถุที่เก็บเภสัชไปแล้ว บุญกุศลก็ต้องไม่มีแก่บุคคลเหล่านั้นน่ะซิ ผู้ใดผู้หนึ่งคิดว่า จะฆ่าพระผู้เป็นเจ้า โทษปาณาติบาตก็เป็นอันไม่มีน่ะซิ ถ้าบุคคลตัวตนเราเขาไม่มีอยู่แล้ว ก็ใครเล่าจะถวายจีวร อาหาร ที่อยู่ ยา และที่ใส่ยา แก่พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะบริโภคสิ่งเหล่านั้น ใครเล่ารักษาศีล ใครเล่ารู้ไปในพระไตรปิฏก ใครเล่าเจริญภาวนา ใครเล่ากระทำให้แจ้งซึ่งมรรคผล นิพพาน ใครเล่ากระทำปาณาติบาต ใครเล่ากระทำอทินนาทาน ใครเล่าประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ใครเล่ากล่าวมุสาวาท ใครเล่าดื่มสุราเมรัย ใครเล่ากระทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕ เพราะฉะนั้น ถ้าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มีแล้ว กุศลก็ต้องไม่มี อกุศลก็ต้องไม่มีผู้ทำหรือผู้ให้ทำซึ่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มีผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็ไม่มีแก่ผู้นั้น เมื่อถืออย่างนั้นก็เป็นอันว่าอาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีอุปัชฌาย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปสมบทของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี คำใดที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกเพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " อะไรเป็นนาคเสนในคำนั้น เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนี้ พระผู้เป็นได้ยินเสียงถามอยู่หรือไม่ ? "
ถามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ยินเสียงถามอยู่ "
" ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่ คำว่า " นาคเสน " ก็มีอยู่ในชื่อนั้นน่ะซิ "
" ไม่มี มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นโยมขอถามต่อไปว่า ผมของพระผู้เป็นเจ้าหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ขนหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" เล็บหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" ฟันหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" หนังหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" เนื้อหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ "
" เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร สมองศีรษะ เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น รูป หรือเวทนา หรือสัญญาสังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น จักขุธาตุและรูปธาตุโสตธาตุและสัททธาตุ ฆานธาตุและคันธธาตุชิวหาธาตุและรสธาตุ กายธาตุและโผฏฐัพพธาตุ มโนธาตุ เหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่นอกจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ก็ไม่ได้ความว่าอะไรเป็นนาคเสนเป็นอันว่า พระผู้เป็นเจ้าพูดเหละแหละพูดมุสาวาท "
พระนาคเสน กล่าวแก้ด้วยราชรถ
เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้แล้ว พระนาคเสนองค์อรหันต์ ผู้สำเร็จปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ได้อบรมเมตตามาแล้ว จึงนิ่งพิจารณาซึ่งวาระจิตของพระเจ้ามิลินท์อยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า
" มหาบพิตรเป็นผู้มีความสุขมาแต่กำเนิด มหาบพิตรได้เสด็จออกจากพระนครในเวลาร้อนเที่ยงวันอย่างนี้ มาหาอาตมภาพได้เสด็จมาด้วยพระบาท ก้อนกรวดเห็นจะถูกพระบาทให้ทรงเจ็บปวด พระกายของพระองค์เห็นจะทรงลำบากพระหฤทัยของพระองค์เห็นจะเร่าร้อน ความรู้สึกทางพระวรกายของพระองค์ เห็นจะประกอบกับทุกข์เป็นแน่ เพราะเหตุไรอาตมภาพจึงว่าอย่างนี้ เพราะเหตุว่า มหาบพิตรมีพระหฤทัยดุร้าย ได้ตรัสพระวาจาดุร้าย มหาบพิตรคงได้เสวยทุกขเวทนาแรงกล้า อาตมาจึงขอถามว่า มหาบพิตรเสด็จมาด้วยพระบาท หรือด้วยราชพาหนะอย่างไร ? "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสตอบว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้มาด้วยเท้า โยมมาด้วยรถต่างหาก "
พระนาคเสนเถระจึงกล่าวประกาศขึ้นว่า
" ขอพวกโยนกทั้ง ๕๐๐ กับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า คือพระเจ้ามิลินท์นี้ได้ตรัสบอกว่า เสด็จมาด้วยรถ ข้าพเจ้าจะขอถามพระเจ้ามิลินท์ต่อไป " กล่าวดังนี้แล้ว จึงถามว่า
" มหาบพิตรตรัสว่า เสด็จมาด้วยรถจริงหรือ ? "
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" เออ…ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมว่ามาด้วยรถจริง "
พระเถระจึงซักถามต่อไปว่า
" ถ้ามหาบพิตรเสด็จมาด้วยรถจริงแล้วขอจงตรัสบอกอาตมภาพเถิดว่า งอนรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
" ถ้าอย่างนั้น เพลารถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเพลาหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น ล้อรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในล้อรถหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น ไม้ค้ำรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น กงรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น เชือกหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเชือกหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น คันปฏักหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
"ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในคันปฏักหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
"ถ้าอย่างนั้น แอกรถหรือ…เป็นรถ ? "
" ไม่ใช่ "
"ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในแอกหรือ ? "
" ไม่ใช่ "
" ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่เล็งเห็นว่า สิ่งใดเป็นรถเลย เป็นอันว่ารถไม่มี เป็นอันว่ามหาบพิตรตรัสเหลาะแหละเหลวไหล มหาบพิตรเป็นพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปนี้ เหตุไรมหาบพิตรจึงตรัสเหลาะแหละเหลวไหลอย่างนี้ ? "
เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกโยนกข้าราชบริพารทั้ง ๕๐๐ นั้น ก็พากันเปล่งเสียงสาธุการขึ้นแก่พระนาคเสนเถระแล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ขึ้นว่า
" ขอมหาราชเจ้าจงทรงแก้ไขไปเถิดพระเจ้าข้า "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละเหลวไหล การที่เรียกว่ารถนี้เพราะอาศัยเครื่องประกอบรถทั้งปวง คือ งอนรถ เพลารถ ล้อรถ ไม้ค้ำรถ กงรถ เชือกขับรถ เหล็กปฏัก ตลอดถึงแอกรถ มีอยู่พร้อม จึงเรียกว่ารถได้ "
พระเถระจึงกล่าวว่า
" ถูกแล้ว มหาบพิตร ข้อที่อาตมภาพได้ชื่อว่า " นาคเสน " ก็เพราะอาศัยเครื่องประกอบด้วยอวัยวะทุกอย่าง คือ อาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อันจำแนกแจกออกไปเป็นขันธ์ ธาตุอายตนะทั้งปวง ข้อนี้ถูกตามถ้อยคำของ นางปฏาจาราภิกษุณี ผู้เป็นพระอรหันต์ กล่าวขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
" อันที่เรียกว่ารถ เพราะประกอบด้วยเครื่องรถทั้งปวงฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ก็สมมุติเรียกกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาฉันนั้น " ดังนี้ ขอถวายพระพร "
พระเจ้ามิลินท์ทรงฟังแก้ปัญหาจบลง น้ำพระทัยของพระบาทท้าวเธอปรีดาปราโมทย์ออกพระโอษฐ์ตรัสซ้องสาธุการว่า
" สาธุ..พระผู้เป็นเจ้าช่างแก้ปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์ กล่าวปัญหาเปรียบเทียบอุปมาด้วยปฏิภาณอันวิจิตรยิ่ง ให้คนทั้งหลายคิดเห็นกระจ่างแจ้งถูกต้องดีแท้ ถ้าพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็จะต้องทรงสาธุการเป็นแน่ "
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php?#1
แสดงความคิดเห็น
สัทธรรมปฏิรูป-ตอนที่ 8: " สัตว์-บุคคล-เราเขา..ไม่มี " <---เป็นยิ่งกว่าสัทธรรมปฏิรูป..เพราะนี่เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ในทางวิทยาศาสตร์ "ยางอาย" คืออะไร?
https://pantip.com/topic/41253932/comment10
เรื่องนี้เป็นเรื่อง...ปรัชญา..
" ถ้าถามชาววิทยาศาสตร์...เขาจะบอกมันคือการตอบสนองของสมอง..ต่อสิ่งแว้ดล้อม..ไม่มีอะไร "
อันนี้ตรงกับมิจฉาทิฏฐิในพุทธศาสนาที่ว่า
" ตํ ชีวํ ตํ สรีรํ - ชีวิตก็อันนั้น..สรีระก็อันนั้น..คือ..ขีวะ-ชีวิต..มันคืออาการของร่างกาย..ที่ตอบสนองต่ออายตนะต่างๆ "
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุป..ชีวิตมันก็เหมือนกับเครื่องจักร-หุ่นยนต์ที่สลับซับซ้อนมากๆจนสามารถแสดงความมี " ชีวะ-ชีวิต "...ได้
แต่จริงๆแล้ว..ชีวิตชีวะแบบพวก " Idealism "...มันไม่มี ตายแล้ว..ชีวะมันก็ขาดสูญไป
ส่วนพวก " Idealism "...บอกว่าไม่ใช่...ไอ้อาการ " อาย "...รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดนี่มันคือ " ชีวะ - ชีวิต "....
ที่ไม่ใช่ร่างกาย... ชีวะนี่หละเข้ามาอาศัยในร่างกายนี้เหมือนกับการสวมใส่เสื้อผ้า
อย่างที่..กฤษณนารายณ์..กล่าวกับ..อรชุน..ในภวคคีตา..เรื่อง สางขยะโยคะ...
เช่นเดียวกับ..ปราชญ์ชาวกรีก..เพลโตและอีกหลายๆท่าน👉👉 https://en.wikipedia.org/wiki/Idealism
ในทางพุทธศาสนาทิฏฐิอันนี้ก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ..ที่ว่า
" อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีรํ - ชีวิตก็อันอื่น..สรีระก็อันอื่น..คือ..ขีวะ-ชีวิต..กับ..ร่างกาย..ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน..ชีวะมันควบคุมการทำงานของร่างกาย... "
" ดังนั้น..ไอ้อาการ " อาย "..ก็คือ...ชีวะ..มันอาย.. ร่างกายแค่แสดงอาการ " อาย "...ให้แก่ชีวะ..เท่านั้น
ร่างกาย-สมอง..มันไม่ได้อาย..นะ เป็นแค่หุ่นเชิดของชีวะที่กำลังอาย..เท่านั้น.. "
สรุปว่า...กลุ่มนี้เห็นว่า..ขีวิต-ขีวะ..เป็นสิ่งคงที่..ที่เดินทางไปสวมใส่เข้ากับร่างกายใหม่..ภายหลังจากการตาย
หรือไปสู่สถานที่เป็นนิรันดร์ซึ่งอาจจะเป็น..นรก..หรือ..สวรรค์ หรืออีกโลกภายหลังการตาย...
แม้นปัจจุบัน..ก็ยังแยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่..อย่างนี้..
ส่วนในทางพุทธศาสนา...ปฏิเสธทั้ง 2 ทิฏฐินี้...แต่ไม่ใช่ทั้ง 2 ทิฏฐินี้จะผิดโดยส่วนเดียว
มันมีบางส่วนที่ถูกในทางพุทธศาสนา.. เข่น
- พุทธศาสนายังสอนเรื่อง..การเวียนว่ายตายเกิด..ในนรก-สวรรค์-เทพเทวดา-พรหม
ซึ่งเหมือนกับพวก " Idealism "
- พุทธศาสนายังสอนเรื่อง..จิต-ใจ..ความรู้สึกนึกคิด..ความจำ..การนึกคิด.เหล่านี่มันก็เนื่องมาจากนามรูป
ไม่มีนามรูป...จิต-ใจ..ก็จะไม่มี เมื่อตาย..สิ่งที่แสดงอาการของขีวะก็หายไป ซึ่งคล้ายๆกับพวก " Materialism "
===อ้าว...แล้วศาสนาพุทธมีความเห็นอย่างไร..ที่เรียกว่า " สัมมาทิฏฐิ "...=====
(....อันนี้จะไม่แสดง...ไปค้นคว้ากันเองครับ...เพราะเป็นเรื่องของศาสนาแล้ว...)
........จบ........
.
.
.
.
================== จบ....ครับ ==================
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ฝ
ฝ
ฝ
ฝ
ฝ
ใ
เ
เ
เ
ุ
พ
ด
ึ
ุ
ก
เ
ด
พ
เ
ด
ำ
ะ
พ
ด
า
า
่
่
า
.
.
.
ช
ม
ม
ใ
ก
พ
เ
เ
เ