JJNY : โควิดวันนี้ 7,139 เสียชีวิต13│หนี้ครัวเรือนเพิ่ม!│"หมอกระต่าย" เป็นหมอสาขาที่ขาดแคลน│‘พีมูฟ’ ตั้งขบวนหน้ายูเอ็น

โควิดวันนี้ 7,139 ราย เสียชีวิต 13 ราย ติดสะสมปีใหม่ 161,204 ราย
https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_3147032
 
 
โควิดใหม่วันนี้ 7,139 ราย เสียชีวิต 13 ราย ติดสะสมปีใหม่ 161,204 ราย
 
เมื่อวันที่ 24 มกราคม สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำวัน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวม 7,139 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 6,944 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 195 ราย
 
ผู้ป่วยสะสม 161,204 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 8,100 ราย หายป่วยสะสม 111,615 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 82,485 ราย เสียชีวิต 13 ราย

ขณะที่ผู้ติดเชื้อเข้าข่ายจากผลแอนติเจน เทสต์ คิท (เอทีเค) อีก 2,629 ราย อาการหนักใช้ท่อช่วยหายใจ 114 ราย อาการหนัก 550 ราย
 

 
หนี้ครัวเรือนเพิ่ม! ระเบิดลูกต่อไป...ฉุดภาคค้าปลีก
https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/984163

ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกปี 2564 กำลังซื้อผู้บริโภคเติบโตต่ำกว่าที่ควรเป็น!! ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก บ่งบอกถึงการบริโภคที่ถดถอยอย่างมีนัย ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ฉุดรั้งการบริโภคให้ถดถอย ก็คือ หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น

หนี้ครัวเรือนเพิ่ม! กำลังซื้อทรุดฉุดค้าปลีก
 
ในปี 2563-2664 ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลง เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก กระทบเศรษฐกิจไทยและส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลงตาม นอกจากนี้ การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2563 ก็มีสัดส่วนเพียง 16% ของ 1.9 ล้านล้านในปี 2562 แม้ฟื้นตัวขึ้นมาบางส่วน แต่ก็ขึ้นอยู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาครัฐ
 
อย่างไรก็ตาม ได้สร้างผลกระทบเพียงระยะสั้นต่อตลาดค้าปลีกเท่านั้น ในระยะกลาง ปริมาณยอดขายจากร้านค้าปลีกอาจได้รับผลกระทบเชิงลบ จากสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงต่อ GDP คาดอยู่ที่ 88-91% ภายในสิ้นปี 2565 คิดเป็น 8-10% (Percentage Points) สูงกว่าปี 2562 และสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2546 และคิดเป็นระดับสูงสุดในเอเชีย!!
 
"หนี้ครัวเรือน" เกิดจากอะไร?
 
ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า หนี้ครัวเรือนในไตรมาส 3 ปี 2564 สูงถึง 89.3% ต่อ GDP เพิ่มขึ้นจาก 80.0% เมื่อต้นปี 2563 ประมาณการว่าหนี้ครัวเรือนอาจเพิ่มสูงถึง 91% ต่อ GDP ในปี 2565
 
หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่ เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของวัตถุประสงค์การกู้ยืมจากสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของหนี้ครัวเรือน พบว่า อันดับแรก กู้ยืมเพื่อนำไปชำระหนี้สินเดิม (26%) อันดับสอง ใช้สอยส่วนตัว (24%) อันดับสาม ใช้จ่ายด้านอื่นๆ (13%) ซึ่งแตกต่างจากการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ที่ส่วนใหญ่เป็นการกู้เพื่อซื้อบ้านและรถยนต์
 
ปัจจัยที่ทำให้ครัวเรือนมีรายรับไม่พอรายจ่าย ส่วนหนึ่งมาจากรายจ่ายไม่จำเป็น และส่วนใหญ่มาจากภาระหนี้ที่สูง
ผลการศึกษาพบว่า การท่องเที่ยวเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่ครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหาควรลด!
 
โดยต้องลดลงถึง 83% จากปริมาณการใช้จ่ายปัจจุบัน เพื่อให้ครัวเรือนมีรายรับเพียงพอกับรายจ่าย รองลงมา คือ หมวดเสื้อผ้า ครัวเรือนควรลดการใช้จ่ายถึง 73% ส่วนค่าอาหารนอกบ้านและของใช้ส่วนบุคคลก็ควรลดลง 58% และ 54% ตามลำดับ 
 
ยังมีรายจ่ายอื่นๆ ที่ควรปรับลดการใช้จ่ายเพื่อสร้างวินัยและลดความเสี่ยงทางการเงินในครัวเรือน เช่น ค่าเหล้า ค่าหวย ควรลดลง "ครึ่งหนึ่ง" จากที่ใช้จ่ายในปัจจุบัน หากครัวเรือนปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและนำเงินที่เหลือไปชำระหนี้ (ลดภาระหนี้) เพื่อลดเงินต้นอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ก็จะสร้างฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นได้ กระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาและความอดทนอดกลั้นแต่สามารถทำได้
 
หนี้ครัวเรือนจึงเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะหนี้ส่วนใหญ่ของคนไทยเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ในฝั่ง "ผู้กู้" พบว่าผู้กู้ที่มีหนี้และมีหนี้เสียเยอะเป็นผู้กู้อายุน้อย เกษตรกรก็สะสมหนี้จนแก่ ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว ซึ่งเห็นว่าผู้กู้มีการกู้หลายบัญชีมากขึ้นและมีความสัมพันธ์กับคุณภาพหนี้ที่ด้อยลง เห็นหนี้ที่กระจุกตัวอาจมีความเสี่ยงเชิงระบบได้
แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
 
1. เพิ่มรายได้ของครัวเรือน รัฐบาลควรสนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพการผลิตให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น ให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในภาคการผลิตต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ของภาคครัวเรือน อุปสงค์ มวลรวมจะเพิ่มขึ้น ส่งเสริมให้ภาคการผลิตมีภูมิคุ้มกันที่ดี สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ลดการพึ่งพิงสถาบันอื่นๆ จากภายนอก เศรษฐกิจของประเทศก็จะมีการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน ลดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยลง และกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น เพราะตราบใดที่ครัวเรือนยังมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องก่อหนี้เพื่อนำไปใช้จ่าย ในภาพใหญ่คงต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้แรงงานไทยเก่งขึ้น มีทักษะการทำงานที่ตรงกับความต้องการของตลาด
 
2. ปลดหนี้เดิม ในช่วงที่ผ่านมา หลายหน่วยงานริเริ่มมาตรการต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้ทยอยปรับตัวและหลุดพ้นจากปัญหาหนี้ที่ประสบอยู่ โดย ธปท. ได้ผลักดันหลายโครงการ อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ คลินิกแก้หนี้ โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน เพื่อให้ลูกหนี้รายย่อยมีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนสอดคล้องกับรายได้ที่เปลี่ยนไป

ด้านสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เดินหน้าช่วยเหลือกลุ่มข้าราชการครูที่ประสบปัญหาหนี้สินสูง สำหรับกรมส่งเสริมสหกรณ์เริ่มออกแบบมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกร อย่างไรก็ดี ยังคงต้องเร่งเดินหน้าต่อไปเพื่อทำให้หลายมาตรการที่ออกมาเกิดผลดีในวงกว้าง
 
3. สร้างความตระหนักรู้ทางการเงินด้วยการให้มีบัญชีครัวเรือน เพื่อไม่ให้เกิดการใช้จ่ายและการก่อหนี้ที่เกินตัว มีความตระหนักถึงความสำคัญของการออมและการลงทุน รู้จักวางแผนการเงินและบริหารความเสี่ยง บัญชีครัวเรือนเป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นเรื่องของการรู้จักตนเอง สำคัญและเป็นวิถีชีวิต ถ้าครอบครัวหนึ่งทำบัญชีครัวเรือนอย่างดี เอาบัญชีครัวเรือนมาดูจะรู้ว่าครัวเรือนนี้ดำรงชีวิตอย่างไร จนหรือรวย สุขภาพครอบครัวเป็นอย่างไร
การแก้ไขวิกฤตินี้ไม่ใช่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นการเฉพาะ การแก้ไขด้านรายได้ต้องทำควบคู่ไปกับการลดหนี้ ถ้าหนี้ลด แต่รายได้ไม่เพิ่ม สุดท้ายจะกลับไปเป็นหนี้อีก ดังนั้น การปรับขีดความสามารถทางการผลิตที่แข่งขันได้ในอนาคต จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการสร้างรายได้ของประชาชนและผู้ประกอบการ 
 
รัฐบาลต้องมองปัญหาหนี้และรายได้ให้ทะลุ รีบลงมือปฏิบัติก่อนที่สายเกินไป



เรียนกี่ปีกว่าจะเป็นหมอตา? "หมอกระต่าย" เป็นหมอสาขาที่ขาดแคลน
https://www.tnnthailand.com/news/social/102836/

เพจ รู้เรื่องตา-ตาปลอม ให้ความรู้เรียนกี่ปีกว่าจะเป็นหมอตา เผย "หมอกระต่าย พญ.วราลัคน์" เป็นหมอสาขาที่ขาดแคลน คาดในประเทศมีไม่ถึง 50 คน

วันนี้( 24 ม.ค.65) จากกรณี พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ หมอกระต่าย เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ชนขณะข้ามถนนบริเวณทางม้าลาย บริเวณหน้าสถาบันไตภูมิ ราชนครินทร์ ถนนพญาไท
 
ล่าสุด พญ.อรวีณัฏฐ์ นิมิตรวงศ์สกุล จักษุแพทย์ สาขาศัลยกรรมตกแต่งเสริมสร้างเบ้าตาและอวัยวะรอบดวงตา ได้โพสต์ข้อความให้ความรู้เรื่อง "เรียนกันกี่ปีกว่าจะมาเป็นหมอตา" ผ่านแฟนเพจ รู้เรื่องตา-ตาปลอม
 
โดยระบุว่า "เรียนกันกี่ปีกว่าจะมาเป็นหมอตา อันนี้คือข้อมูลของประเทศไทยนะคะ บ้านเราจบ ม.6 แล้ว เข้ามหาวิทยาลัยต่อ

-เรียนหมอ 6 ปี
จบแล้วต้องไปทำงานใช้ทุนก่อน อย่างน้อย 3 ปีค่อยได้เข้ามาเรียนเฉพาะทาง หรือบางสาขา บางสถาบันให้ใช้ทุน 1 ปีก่อนมาเรียนเฉพาะทาง
ใน 6 ปีนั้น เรียนแผนกตาแค่ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นกับแต่ละสถาบัน จึงไม่น่าแปลกใจที่หมอที่จบ 6 ปีอาจไม่คุ้นชินกับการรักษาโรคทางตา

-เรียนจักษุวิทยา 3 ปี
อันนี้ตอนเข้าแผนกใหม่ๆกันงง อย่างกับอยู่คนละโลก เนื่องจาก ศัพท์ใหม่ๆมากมาย ตัวย่ออย่างกับภาษามนุษย์ต่างดาวเต็มไปหมด
ตรวจวัดความดันตาโดยเครื่องมือที่ติดเครื่องตรวจเอาไปแตะกระจกตาของคนไข้ ซึ่งเป็นภาพที่คนไข้มักจะกลัว และเราต้องแตะแบบไม่เหลือร่องรอยบาดเจ็บให้กระจกตา
 
กว่าจะจบหมอตาได้ ผ่านการฝึกฝนกันมาอย่างหนัก

-เรียนเฉพาะทางสาขาย่อยทางจักษุ ซึ่ง ทางตาเรามีสาขาย่อย 10 สาขา
แต่ละสาขาเรียนกันหลักสูตรในประเทศ สาขาละ 1-2 ปี และบางรายอาจจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศอีก 1-2 ปี
จะเห็นได้ว่า กว่าจะผลิตหมอตาออกมาได้คนนึง โดยเฉพาะหมอตาที่เป็นสาขาเฉพาะทางใช้เวลาและความยากในการผลิตมากมาย
กรณีน้องที่ถูกรถชนเสียชีวิตนี้
 
น้องเป็น หมอสาขาที่ขาดแคลน และเป็นหมอที่ตั้งใจเรียนสาขาย่อยถึง 2 สาขาในคนเดียวกัน ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยทางตาได้มาก ทั้งสาขาจอตา ที่ในประเทศมีประมาณ ร้อยคนเศษ และสาขาม่านตาอักเสบที่ในประเทศมีอยู่ไม่กี่สิบคน น่าจะไม่ถึง 50 คนทั้งประเทศด้วยซ้ำไป
อุบัติเหตุในครั้งนี้ก่อให้เกิดความเสียหายกับวงการจักษุ และเป็นที่น่าเสียดายต่อคนไข้ที่ขาดหมอที่เก่งและดีมากๆไปอีกคน
ขอให้มีกระบวนการแก้ไขอย่าให้มีการบาดเจ็บ เสียหาย เสียชีวิตเกิดขึ้นกับใครอีกเลย
รณรงค์ให้มีกฏหมายและการแก้ไขป้องกันที่เข้มงวดมากกว่านี้ค่ะ
ทางม้าลาย ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนข้ามถนน
รถควรหยุดหรือชะลอเมือเห็นคนข้ามทางม้าลาย
ผู้ที่ฝืนกฏควรได้รับโทษที่เหมาะสม"

https://www.facebook.com/DoctorOrnvenus/posts/1969255303463508
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่