คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
คุณยื่นคำร้องไว้ต่อพนักงานตรวจแรงงาน และพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงิน
หากคู่ความ (นายจ้าง/ลูกจ้าง) ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนั้น ก็สามารถนำคดีไปสู่ศาลแรงงาน เพื่อฟ้องเพิกถอนคำสั่งได้
ซึ่งจากที่บอกว่า “ถ้าเราไม่เอาตามที่เขาเสนอแล้วเรื่องไปถึงศาลเราก็ไม่ได้เต็มอยู่ดีเดี๋ยวทางศาลก็ต้องขอลดอีก”
ก็จึงคาดเดาว่า อยู่ระหว่างการรอฟังผลว่านายจ้างจะนำคดีไปสู่ศาลหรือไม่ ใช่หรือไม่?
เมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินแล้ว นายจ้างจะต้องปฏิบัติภายใน 30 วัน นับแต่วันที่นายจ้างได้รับคำสั่ง หาไม่แล้ว นายจ้างจะถูกดำเนินคดีอาญา
หรือ ถ้านายจ้างไม่เห็นด้วยกับคำสั่ง ก็มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่นายจ้างได้รับคำสั่งเช่นกัน
ซึ่งถ้านายจ้างคดีไปสู่ศาลจริง ศาลจะมีหมายเรียกไปยังพนักงานตรวจแรงงาน และคุณก็ควรต้องไปศาลด้วยทุกนัด เพราะเป็นการที่นายจ้างขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งนั้นเสีย ซึ่งคุณเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี
กระบวนพิจารณาของศาลแรงงาน ศาลจะมีอำนาจไกล่เกลี่ยคู่ความได้เสมอ (ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานฯ)
ซึ่งการนัดครั้งแรกจะเป็นนัดกำหนดประเด็นและข้อพิพาท ถ้านายจ้าง-ลูกจ้างไปพร้อมกันที่ศาล ศาลก็อาจไกล่เกลี่ยคู่ความ
ถ้าสามารถตกลงกันได้อย่างไร ศาลก็จะทำคำพิพากษาตามยอมให้ เพื่อที่คุณจะได้รับเงินที่นายจ้างวางไว้ต่อศาล
แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ศาลก็จะกำหนดวันนัดสืบพยาน เพื่อเข้าสู่กระบวนการสืบพยาน และนัดฟังคำพิพากษาต่อไป
ทั้งนี้ ศาลแรงงานกลาง/ศาลแรงงานภาค เป็นศาลชั้นต้น ซึ่งเมื่อได้มีคำพิพากษาแล้ว คู่ความที่ไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษา ก็สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์และฎีกา ได้ต่อไป
ดังนั้น ในกระบวนการไกล่เกลี่ยคู่ความ จึงอาจมีการชี้ให้เห็นถึงความยาวนานของกระบวนการพิจารณา เพื่อให้คู่ความตัดสินใจ
ซึ่งถ้าคุณเห็นว่าสามารถตกลงกันได้ แล้วรับเงินบางส่วน แต่ได้เงินแน่นอน (เพราะเงินวางอยู่ที่ศาลแล้ว) คุณจะยินยอมเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยก็ได้
หรือถ้าคุณเห็นว่าสามารถรอได้ ยืนยันจะรับเงินเต็มตามคำสั่ง คุณก็แถลงกับศาลว่าไม่ขอไกล่เกลี่ย เพื่อให้ศาลสืบพยานและมีคำพิพากษา ก็ได้
แล้วแต่คุณเห็นสมควร
ทั้งนี้ คุณควรสอบถามพนักงานตรวจแรงงานที่มีคำสั่ง ว่าขณะนี้อยู่ในกระบวนการอย่างไร
หากคู่ความ (นายจ้าง/ลูกจ้าง) ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนั้น ก็สามารถนำคดีไปสู่ศาลแรงงาน เพื่อฟ้องเพิกถอนคำสั่งได้
ซึ่งจากที่บอกว่า “ถ้าเราไม่เอาตามที่เขาเสนอแล้วเรื่องไปถึงศาลเราก็ไม่ได้เต็มอยู่ดีเดี๋ยวทางศาลก็ต้องขอลดอีก”
ก็จึงคาดเดาว่า อยู่ระหว่างการรอฟังผลว่านายจ้างจะนำคดีไปสู่ศาลหรือไม่ ใช่หรือไม่?
เมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินแล้ว นายจ้างจะต้องปฏิบัติภายใน 30 วัน นับแต่วันที่นายจ้างได้รับคำสั่ง หาไม่แล้ว นายจ้างจะถูกดำเนินคดีอาญา
หรือ ถ้านายจ้างไม่เห็นด้วยกับคำสั่ง ก็มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่นายจ้างได้รับคำสั่งเช่นกัน
ซึ่งถ้านายจ้างคดีไปสู่ศาลจริง ศาลจะมีหมายเรียกไปยังพนักงานตรวจแรงงาน และคุณก็ควรต้องไปศาลด้วยทุกนัด เพราะเป็นการที่นายจ้างขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งนั้นเสีย ซึ่งคุณเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี
กระบวนพิจารณาของศาลแรงงาน ศาลจะมีอำนาจไกล่เกลี่ยคู่ความได้เสมอ (ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานฯ)
ซึ่งการนัดครั้งแรกจะเป็นนัดกำหนดประเด็นและข้อพิพาท ถ้านายจ้าง-ลูกจ้างไปพร้อมกันที่ศาล ศาลก็อาจไกล่เกลี่ยคู่ความ
ถ้าสามารถตกลงกันได้อย่างไร ศาลก็จะทำคำพิพากษาตามยอมให้ เพื่อที่คุณจะได้รับเงินที่นายจ้างวางไว้ต่อศาล
แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ศาลก็จะกำหนดวันนัดสืบพยาน เพื่อเข้าสู่กระบวนการสืบพยาน และนัดฟังคำพิพากษาต่อไป
ทั้งนี้ ศาลแรงงานกลาง/ศาลแรงงานภาค เป็นศาลชั้นต้น ซึ่งเมื่อได้มีคำพิพากษาแล้ว คู่ความที่ไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษา ก็สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์และฎีกา ได้ต่อไป
ดังนั้น ในกระบวนการไกล่เกลี่ยคู่ความ จึงอาจมีการชี้ให้เห็นถึงความยาวนานของกระบวนการพิจารณา เพื่อให้คู่ความตัดสินใจ
ซึ่งถ้าคุณเห็นว่าสามารถตกลงกันได้ แล้วรับเงินบางส่วน แต่ได้เงินแน่นอน (เพราะเงินวางอยู่ที่ศาลแล้ว) คุณจะยินยอมเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยก็ได้
หรือถ้าคุณเห็นว่าสามารถรอได้ ยืนยันจะรับเงินเต็มตามคำสั่ง คุณก็แถลงกับศาลว่าไม่ขอไกล่เกลี่ย เพื่อให้ศาลสืบพยานและมีคำพิพากษา ก็ได้
แล้วแต่คุณเห็นสมควร
ทั้งนี้ คุณควรสอบถามพนักงานตรวจแรงงานที่มีคำสั่ง ว่าขณะนี้อยู่ในกระบวนการอย่างไร
แสดงความคิดเห็น
ประสบการณ์การขึ้นศาลไกล่เกลี่ยคดีแรง