คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก กระทู้นี้ถูกลบโดยระบบอัตโนมัติทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศการสนทนา ของเพื่อนสมาชิกโดยรวมค่ะ
ความคิดเห็นนี้ได้ถูก Pantip.com ลบออกไปจากระบบแล้ว หากเนื้อหาที่ถูกลบยังคงถูกนำไปแสดงใน application หรือเว็บไซต์ใดๆ
ทาง Pantip.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆด้วย การดำเนินการทางกฎหมายกรุณาติดต่อผู้พัฒนา application หรือเว็บไซต์นั้นๆโดยตรงค่ะ
ทาง Pantip.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆด้วย การดำเนินการทางกฎหมายกรุณาติดต่อผู้พัฒนา application หรือเว็บไซต์นั้นๆโดยตรงค่ะ
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 2
ที่กล่าวไปหลายทางเพราะหลักฐานประวัติศาสตร์ให้ข้อมูลไม่ตรงกันครับ
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาที่ชำระสมัยรัตนโกสินทร์ระบุว่า พระเจ้าทรงธรรมมีพระราชบุตรสามพระองค์คือ 1. พระเชษฐาธิราชกุมาร 2. พระพันปีศรีสิน 3. พระอาทิตยวงศ์ เมื่อพระเชษฐาธิราชกุมารได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อ พระพันปีศรีสินจึงลอบหนีไปยังเมืองเพชรบุรีซ่องสุมไพร่พลจะก่อกบฏ แต่พระเชษฐาธิราชส่งกองทัพไปปราบจับตัวมาได้และให้สำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา
แต่จดหมายเหตุพระราชประวัติพระเจ้าปราสาททองของ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias Van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (VOC) ประจำสยามในรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง กล่าวถึงพระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรมอยู่สององค์คือพระองค์ทอง (Pra Onthongh) กับ พระศรีสิน (Pra Sijsingh) และกล่าวถึงพระโอรสของพระเจ้าทรงธรรมทั้งหมดเก้าพระองค์
ฟาน ฟลีต บันทึกพระนามพระโอรสไว้เพียงสองพระองค์คือ พระองค์เชษฐาธิราช (Prae Ongthit Terratsiae - พระเชษฐาธิราช) กับพระองค์อาทิตย์สุรวงศ์ (Praongh Athit Soerawangh - พระอาทิตยวงศ์) ซึ่งได้ขึ้นเป็นกษัตริย์และถูกพระเจ้าปราสาททองสำเร็จโทษ ในรัชกาลพระเจ้าปราสาททองให้สำเร็จโทษพระโอรสอีกสององค์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1633 (พ.ศ. 2176) ในปีเดียวกันให้สำเร็จโทษเพิ่มอีกสามองค์ ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1639 (พ.ศ.2182) มีรับสั่งให้สำเร็จโอรสสององค์สุดท้ายที่เหลืออยู่ (พระชนม์ 16 กับ 14 ปี) แต่ถูกคัดค้านจึงทรงยอมไว้ชีวิตโดยให้ปลูกเรือนอยู่นอกวัง เจ้าองค์พี่ให้แต่งงานกับหญิงชนชั้นล่าง เจ้าทั้งสององค์มีข้าทาสและเบี้ยหวัดเพียงเล็กน้อย ต้องเข้าเฝ้าทุกวันและถูกบังคับให้ตามเสด็จพระราชดำเนินทางบกทางเรือตลอด
หลักฐานชั้นต้นคือจดหมายเหตุรายวัน (Daghregister) ของ เรยเนียร์ ฟาน ซุม (Reijnier van Tzum) หัวหน้าสถานีการค้าของดัตช์ในสยาม รายงานว่า ในวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1642 (พ.ศ. 2185) พระโอรสพระเจ้าทรงธรรมนามว่า "ท่าทราย" (Thasaij) อายุ 16-17 ปี นำไพร่พล 150-200 คนก่อกบฏยึดพระราชวังสถาปนาตนเป็นกษัตริย์ แต่วันรุ่งขึ้นก็ถูกพระเจ้าปราสาททองยกทัพปราบและถูกสังหารบนหลังช้าง (เรื่องนี้ตรงกับกบฏพระอาทิตย์วงศ์ในพระราชพงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์โดยระบุว่าพระอาทิตย์วงศ์ถูกถอดยศให้ไปปลูกเรือนหลังริมวัดท่าทราย แต่พระราชพงศาวดารระบุปีคลาดเคลื่อนว่ากบฏใน พ.ศ. 2180 นอกจากนี้ ฟาน ฟลีต กับเอกสารสังคีติยวงศ์ระบุตรงกันว่าพระอาทิตย์วงศ์ถูกพระเจ้าปราสาททองสำเร็จโทษตั้งแต่ถูกถอดจากราชสมบัติแล้ว พิจารณาจากอายุ เจ้าองค์นี้ไม่ควรเป็นพระอาทิตยวงศ์ แต่น่าจะเป็นพระโอรสองค์เล็กของพระเจ้าทรงธรรมที่เหลืออยู่) ต่อมาในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1642 (พ.ศ. 2185) พระเจ้าปราสาททองให้สำเร็จโทษทั้ง "พระเชษฐาองค์โต" และ "พระเชษฐภคินีหรือกนิษฐภคินี" ของเจ้าท่าทราย โอรสทั้งเก้าของพระเจ้าทรงธรรมจึงถูกกำจัดทั้งหมด
อย่างไรก็ตามจดหมายเหตุรายวันของ อิซาค มูรไดค์ (Isaac Moerdijck) หัวหน้าสถานีการค้าของดัตช์คนถัดมาระบุว่ายังมีพระโอรสพระเจ้าทรงธรรมอีกองค์หนึ่งเรียกกันว่า "พระองค์กำพร้า" (Praa-oongh Cham-praa) ประสูติหลังพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต เวลานั้นไม่มีมารดา ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1644 (พ.ศ. 2187) พระเจ้าปราสาททองมีรับสั่งให้คุมตัวมาสำเร็จโทษ แต่สมเด็จพระพันปีหลวงพระราชชนนีกับพระมเหสีของพระเจ้าปราสาททองได้เตือนพระองค์กำพร้าไม่ให้เข้ามาในพระราชวังจึงรอดชีวิต แต่มูร์ไดค์ได้รับรายงานจากแหล่งข่าวว่าพระองค์กำพร้ากับเจ้าเชื้อพระวงศ์เก่าองค์อื่นที่เหลืออยู่คงไม่อาจรอดชีวิตได้อีกนาน และพระเจ้าปราสาททองสามารถอ้างเหตุเพียงเล็กน้อยในการกำจัดเจ้าเหล่านี้ได้
ฟาน ฟลีตบันทึกว่าเมื่อพระเจ้าทรงธรรมประชวรหนัก การเลือกผู้สืบทอดราชสมบัติแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนพระเชษฐาธิราชพระโอรสองค์ใหญ่พระชนม์ 15 พรรษา มีออกญาศรีวรวงศ์ (พระเจ้าปราสาททอง) เป็นแกนนำและพระเจ้าทรงธรรมทรงสนับสนุนอยู่ อีกฝ่ายสนับสนุนพระอนุชาพระชนม์ 26 พรรษา มีออกญากลาโหมกับขุนนางสายทหารหลายคนเป็นแกนนำ เมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคตในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1628 (พ.ศ. 2171) ออกญาศรีวรวงศ์ได้อัญเชิญพระเชษฐาธิราชขึ้นครองราชย์และกวาดล้างฝ่ายที่สนับสนุนพระอนุชา หลังจากนั้นจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นออกญากลาโหม (พระราชพงศาวดารเรียกว่า เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์)
พระอนุชาผนวชอยู่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม ภายหลังถูกจับกุมแล้วถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองเพชรบุรีโดยจับใส่หลุมให้อดอาหารทั้งเป็น แต่ออกหลวงมงคลพระญาติขุดอุโมงค์ช่วยเหลือออกไปได้ จากนั้นจึงรวบรวมไพร่พลก่อกบฏที่เมืองเพชรบุรี แต่ถูกกองทัพจากกรุงศรีอยุทธยาปรามปราม พระอนุชาถูกจับไปสำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา ขณะมีพระชนม์ 26 พรรษา
แม้ว่าฟาน ฟลีตจะไม่ได้ระบุพระนามพระอนุชาองค์นี้ แต่บทบาทตรงกับพระพันปีศรีสินในพระราชพงศาวดาร จึงเข้าใจว่าเป็นบุคคลเดียวกับพระอนุชาที่ ฟาน ฟลีตบันทึกพระนามว่าพระศรีสิน (Pra Sijsingh)
หลักฐานของฟาน ฟลีตเขียนสมัยพระเจ้าปราสาททองหลังเหตุการณ์ไม่นาน ระบุว่าเจ้าที่ก่อกบฏเป็นพระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรม และบันทึกว่ามีพระชนม์สูงกว่าพระเชษฐาธิราช น่าจะมีความถูกต้องสูงกว่าพระราชพงศาวดารที่ชำระเรียบเรียงสมัยหลังที่ระบุว่าเป็นพระอนุชาของพระเชษฐาธิราช ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าพระราชพงศาวดารในช่วงนี้มีเนื้อหาคลาดเคลื่อนกับหลักฐานร่วมสมัยอยู่หลายตอนครับ เช่น ระบุว่าพระเจ้าทรงธรรมมีพระนามเดิมว่าพระศรีสินเหมือนกัน แต่ฟาน ฟลีตระบุว่าพระนามเดิมของพระเจ้าทรงธรรมคือ "พระอินทราชา" (Pra Interra-Tsia) เป็นต้น
เอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดที่เรียบเรียงจากปากคำเชลยอยุทธยาสมัยเสียกรุง พ.ศ. 2310 ก็บันทึกเรื่องกบฏพระศรีสินเหมือนกันครับ แต่ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนว่าพระศรีสินเป็นโอรสของพระไชยาทิตย์ (เจ้าฟ้าไชย) พระเชษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ พระศรีสินพยายามลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระนารายณ์แต่ไม่สำเร็จจึงถูกนำไปฝังใส่หลุมทั้งเป็นแต่ไม่ตาย จึงรวบรวมไพร่พลได้ชาวเพชรบุรีเป็นไส้ศึกยกทัพมาตีกรุงแต่ไม่สำเร็จจึงถูกสำเร็จโทษ เข้าใจว่าเรื่องนี้คนอยุทธยาสมัยหลังน่าจะจดจำคลาดเคลื่อน เอาเหตุการณ์กบฏพระศรีสินสมัยพระเชษฐาธิราชกับกบฏพระไตรภูวนาทิตยวงศ์สมัยสมเด็จพระนารายณ์มาผสมกันครับ
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาที่ชำระสมัยรัตนโกสินทร์ระบุว่า พระเจ้าทรงธรรมมีพระราชบุตรสามพระองค์คือ 1. พระเชษฐาธิราชกุมาร 2. พระพันปีศรีสิน 3. พระอาทิตยวงศ์ เมื่อพระเชษฐาธิราชกุมารได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อ พระพันปีศรีสินจึงลอบหนีไปยังเมืองเพชรบุรีซ่องสุมไพร่พลจะก่อกบฏ แต่พระเชษฐาธิราชส่งกองทัพไปปราบจับตัวมาได้และให้สำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา
แต่จดหมายเหตุพระราชประวัติพระเจ้าปราสาททองของ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias Van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (VOC) ประจำสยามในรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง กล่าวถึงพระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรมอยู่สององค์คือพระองค์ทอง (Pra Onthongh) กับ พระศรีสิน (Pra Sijsingh) และกล่าวถึงพระโอรสของพระเจ้าทรงธรรมทั้งหมดเก้าพระองค์
ฟาน ฟลีต บันทึกพระนามพระโอรสไว้เพียงสองพระองค์คือ พระองค์เชษฐาธิราช (Prae Ongthit Terratsiae - พระเชษฐาธิราช) กับพระองค์อาทิตย์สุรวงศ์ (Praongh Athit Soerawangh - พระอาทิตยวงศ์) ซึ่งได้ขึ้นเป็นกษัตริย์และถูกพระเจ้าปราสาททองสำเร็จโทษ ในรัชกาลพระเจ้าปราสาททองให้สำเร็จโทษพระโอรสอีกสององค์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1633 (พ.ศ. 2176) ในปีเดียวกันให้สำเร็จโทษเพิ่มอีกสามองค์ ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1639 (พ.ศ.2182) มีรับสั่งให้สำเร็จโอรสสององค์สุดท้ายที่เหลืออยู่ (พระชนม์ 16 กับ 14 ปี) แต่ถูกคัดค้านจึงทรงยอมไว้ชีวิตโดยให้ปลูกเรือนอยู่นอกวัง เจ้าองค์พี่ให้แต่งงานกับหญิงชนชั้นล่าง เจ้าทั้งสององค์มีข้าทาสและเบี้ยหวัดเพียงเล็กน้อย ต้องเข้าเฝ้าทุกวันและถูกบังคับให้ตามเสด็จพระราชดำเนินทางบกทางเรือตลอด
หลักฐานชั้นต้นคือจดหมายเหตุรายวัน (Daghregister) ของ เรยเนียร์ ฟาน ซุม (Reijnier van Tzum) หัวหน้าสถานีการค้าของดัตช์ในสยาม รายงานว่า ในวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1642 (พ.ศ. 2185) พระโอรสพระเจ้าทรงธรรมนามว่า "ท่าทราย" (Thasaij) อายุ 16-17 ปี นำไพร่พล 150-200 คนก่อกบฏยึดพระราชวังสถาปนาตนเป็นกษัตริย์ แต่วันรุ่งขึ้นก็ถูกพระเจ้าปราสาททองยกทัพปราบและถูกสังหารบนหลังช้าง (เรื่องนี้ตรงกับกบฏพระอาทิตย์วงศ์ในพระราชพงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์โดยระบุว่าพระอาทิตย์วงศ์ถูกถอดยศให้ไปปลูกเรือนหลังริมวัดท่าทราย แต่พระราชพงศาวดารระบุปีคลาดเคลื่อนว่ากบฏใน พ.ศ. 2180 นอกจากนี้ ฟาน ฟลีต กับเอกสารสังคีติยวงศ์ระบุตรงกันว่าพระอาทิตย์วงศ์ถูกพระเจ้าปราสาททองสำเร็จโทษตั้งแต่ถูกถอดจากราชสมบัติแล้ว พิจารณาจากอายุ เจ้าองค์นี้ไม่ควรเป็นพระอาทิตยวงศ์ แต่น่าจะเป็นพระโอรสองค์เล็กของพระเจ้าทรงธรรมที่เหลืออยู่) ต่อมาในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1642 (พ.ศ. 2185) พระเจ้าปราสาททองให้สำเร็จโทษทั้ง "พระเชษฐาองค์โต" และ "พระเชษฐภคินีหรือกนิษฐภคินี" ของเจ้าท่าทราย โอรสทั้งเก้าของพระเจ้าทรงธรรมจึงถูกกำจัดทั้งหมด
อย่างไรก็ตามจดหมายเหตุรายวันของ อิซาค มูรไดค์ (Isaac Moerdijck) หัวหน้าสถานีการค้าของดัตช์คนถัดมาระบุว่ายังมีพระโอรสพระเจ้าทรงธรรมอีกองค์หนึ่งเรียกกันว่า "พระองค์กำพร้า" (Praa-oongh Cham-praa) ประสูติหลังพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต เวลานั้นไม่มีมารดา ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1644 (พ.ศ. 2187) พระเจ้าปราสาททองมีรับสั่งให้คุมตัวมาสำเร็จโทษ แต่สมเด็จพระพันปีหลวงพระราชชนนีกับพระมเหสีของพระเจ้าปราสาททองได้เตือนพระองค์กำพร้าไม่ให้เข้ามาในพระราชวังจึงรอดชีวิต แต่มูร์ไดค์ได้รับรายงานจากแหล่งข่าวว่าพระองค์กำพร้ากับเจ้าเชื้อพระวงศ์เก่าองค์อื่นที่เหลืออยู่คงไม่อาจรอดชีวิตได้อีกนาน และพระเจ้าปราสาททองสามารถอ้างเหตุเพียงเล็กน้อยในการกำจัดเจ้าเหล่านี้ได้
ฟาน ฟลีตบันทึกว่าเมื่อพระเจ้าทรงธรรมประชวรหนัก การเลือกผู้สืบทอดราชสมบัติแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนพระเชษฐาธิราชพระโอรสองค์ใหญ่พระชนม์ 15 พรรษา มีออกญาศรีวรวงศ์ (พระเจ้าปราสาททอง) เป็นแกนนำและพระเจ้าทรงธรรมทรงสนับสนุนอยู่ อีกฝ่ายสนับสนุนพระอนุชาพระชนม์ 26 พรรษา มีออกญากลาโหมกับขุนนางสายทหารหลายคนเป็นแกนนำ เมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคตในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1628 (พ.ศ. 2171) ออกญาศรีวรวงศ์ได้อัญเชิญพระเชษฐาธิราชขึ้นครองราชย์และกวาดล้างฝ่ายที่สนับสนุนพระอนุชา หลังจากนั้นจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นออกญากลาโหม (พระราชพงศาวดารเรียกว่า เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์)
พระอนุชาผนวชอยู่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม ภายหลังถูกจับกุมแล้วถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองเพชรบุรีโดยจับใส่หลุมให้อดอาหารทั้งเป็น แต่ออกหลวงมงคลพระญาติขุดอุโมงค์ช่วยเหลือออกไปได้ จากนั้นจึงรวบรวมไพร่พลก่อกบฏที่เมืองเพชรบุรี แต่ถูกกองทัพจากกรุงศรีอยุทธยาปรามปราม พระอนุชาถูกจับไปสำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา ขณะมีพระชนม์ 26 พรรษา
แม้ว่าฟาน ฟลีตจะไม่ได้ระบุพระนามพระอนุชาองค์นี้ แต่บทบาทตรงกับพระพันปีศรีสินในพระราชพงศาวดาร จึงเข้าใจว่าเป็นบุคคลเดียวกับพระอนุชาที่ ฟาน ฟลีตบันทึกพระนามว่าพระศรีสิน (Pra Sijsingh)
หลักฐานของฟาน ฟลีตเขียนสมัยพระเจ้าปราสาททองหลังเหตุการณ์ไม่นาน ระบุว่าเจ้าที่ก่อกบฏเป็นพระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรม และบันทึกว่ามีพระชนม์สูงกว่าพระเชษฐาธิราช น่าจะมีความถูกต้องสูงกว่าพระราชพงศาวดารที่ชำระเรียบเรียงสมัยหลังที่ระบุว่าเป็นพระอนุชาของพระเชษฐาธิราช ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าพระราชพงศาวดารในช่วงนี้มีเนื้อหาคลาดเคลื่อนกับหลักฐานร่วมสมัยอยู่หลายตอนครับ เช่น ระบุว่าพระเจ้าทรงธรรมมีพระนามเดิมว่าพระศรีสินเหมือนกัน แต่ฟาน ฟลีตระบุว่าพระนามเดิมของพระเจ้าทรงธรรมคือ "พระอินทราชา" (Pra Interra-Tsia) เป็นต้น
เอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดที่เรียบเรียงจากปากคำเชลยอยุทธยาสมัยเสียกรุง พ.ศ. 2310 ก็บันทึกเรื่องกบฏพระศรีสินเหมือนกันครับ แต่ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนว่าพระศรีสินเป็นโอรสของพระไชยาทิตย์ (เจ้าฟ้าไชย) พระเชษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ พระศรีสินพยายามลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระนารายณ์แต่ไม่สำเร็จจึงถูกนำไปฝังใส่หลุมทั้งเป็นแต่ไม่ตาย จึงรวบรวมไพร่พลได้ชาวเพชรบุรีเป็นไส้ศึกยกทัพมาตีกรุงแต่ไม่สำเร็จจึงถูกสำเร็จโทษ เข้าใจว่าเรื่องนี้คนอยุทธยาสมัยหลังน่าจะจดจำคลาดเคลื่อน เอาเหตุการณ์กบฏพระศรีสินสมัยพระเชษฐาธิราชกับกบฏพระไตรภูวนาทิตยวงศ์สมัยสมเด็จพระนารายณ์มาผสมกันครับ
แสดงความคิดเห็น
พระศรีศิลป์เป็นพระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรม หรือว่าเป็นบุตรกันแน่ ใครทราบบอกให้สว่างที?
(ถ้าคนละคน แล้วเป็นน้องชาย แสดงว่าลูกของพระองค์ขาวอีกคนใช่มั้ยครับ เพราะลูกพระองค์ขาวเห็นหลักๆจะมีแค่3-4คนที่มีการกล่าวถึง)