The Man Who Sold The World เพลงที่เล่าถึงผู้ป่วยทางจิตอย่างโรคหลายบุคลิก (?)



*ขอเกริ่นนำซักนิดนะครับ

The Man Who Sold The World เวอร์ชั่นของ Kurt Cobain เป็นเวอร์ชั่นแรกที่ผมได้ยินเพลงนี้และเหมือนมีอะไรสะกดใจตั้งแต่แรกฟังอย่างน่าทึ่ง ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามันมีอะไรในเพลงนี้ อะไรซักอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมจมอยู่กับเพลงๆนี้ เนื้อร้องและเมโลดี้เหล่านี้ได้นานเอามากๆ

ผมใช้เวลาอยู่พอสมควร จนกระทั่งสามารถตีความสิ่งที่เพลงเพลงนี้อยากจะสื่อออกมาในมุมมองของผม บวกกับเผอิญได้มีโอกาสไปนั่งฟังคอนเท้นที่เกี่ยวกับอาการทางจิตเวชรูปแบบต่างๆในยูทูป จึงพอจะสรุปออกมาได้แบบนี้ครับ

'โรคหลายอัตลักษณ์' คือสิ่งที่(ซ่อน?)อยู่ในเพลงเพลงนี้

***โรคหลายอัตลักษณ์คือ?
โรคหลายบุคลิก หรือ Multiple Personality Disorder ถูกจัดอยู่ในโรคทางจิตเวชประเภท Dissociative identity disorders ตามคู่มือการวินิจฉัยและสถิติของความผิดปกติทางจิต ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลายบุคลิกจะมีสองอัตลักษณ์หรือมีบุคลิกมากกว่าหนึ่งบุคลิกในคนเดียวกัน ซึ่งบุคลิกเหล่านี้จะเข้าควบคุมพฤติกรรมของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมักจะประสบกับการสูญเสียความทรงจำ เมื่ออีกหนึ่งบุคลิกเข้ามาควบคุม
หลายคนอาจสับสนว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าคนคนนี้ป่วยหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น คนที่อยู่กับเพื่อนมีความกล้าแสดงออก แต่อยู่กับผู้ใหญ่อาจไม่ค่อยพูด เงียบ และเหนียมอาย นี่เป็นบุคลิกภาพของคนเดียวที่แตกต่างไปตามสถานการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติไม่ใช่อาการป่วย แต่อาการป่วยที่แท้จริงคือความหลากหลายของอัตลักษณ์ โดยอัตลักษณ์เป็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวตนของคนคนนั้น*** ข้อมูลบางส่วนจาก https://workpointtoday.com/multiple-personality-disorder/

จากการที่ผมเองก็หาบทความที่เกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจนระหว่างโรคจิตเวชชนิดนี้กับเพลง The Man Who Sold The World ไม่เจอ ผมจึงขออนุญาตลงบทความนี้เพื่อการศึกษาและการสนทนาเท่านั้นครับ เพื่อแลกเปลี่ยนเปิดมุมมองที่ต่างออกไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่เข้ามารับชมกระทู้นี้จะแสดงความคิดเห็นโดยเคารพต่อความคิดเห็นและมุมมองของเพื่อนๆสมาชิกท่านอื่นๆนะครับ

ก่อนอื่นผมขอนำเนื้อร้องมาลงไว้ เพื่อที่เราจะได้ดูไปพร้อมๆกัน

We passed upon the stair, we spoke of was and when  
Although I wasn't there, he said I was his friend
Which came as some surprise, I spoke into his eyes
I thought you died alone, a long long time ago

Oh no, not me
I never lost control
You're face to face
With the man who sold the world

I laughed and shook his hand, and made my way back home
I searched for form and land, for years and years I roamed
I gazed a gazely stare at all the millions here
We must have died alone, a long long time ago

Who knows? Not me
We never lost control
You're face to face
With the man who sold the world

Who knows? Not me
We never lost control
You're face to face
With the man who sold the world

ผมจะชี้ให้เห็นเป็นพาทๆไปละกันนะครับ

Part 1

"We passed upon the stair, we spoke of was and when  
Although I wasn't there, he said I was his friend
Which came as some surprise, I spoke into his eyes
I thought you died alone, a long long time ago"

"เราสวนกันตรงบันได เราคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ผ่านมา
แม้ฉันไม่ได้อยู่นั่น เขาบอกว่าฉันเคยเป็นเพื่อน
ด้วยความระหลาดใจ ฉันจ้องตาเขาและพูดว่า
ฉันคิดว่าคุณตายไปอย่างเงียบเหงานานแล้ว"

**ตีความหมาย

คาดว่าได้ว่าเริ่มต้นมาเหมือนจะเห็นตัวเองในกระจกในสถานที่แห่งหนึ่ง จิตใจที่ไม่ยอมรับสิ่งที่เห็น สิ่งที่รู้สึก โดยตัวตนเหมือนว่ายังไม่หลุดจากกันโดยสมบูรณ์ต่างฝ่ายต่างยังรู้สึกถึงการมีอยู่ของอีกบุคลิก เหมือนกับว่าบุคลิกหรือตัวตนที่ใหม่กว่านั้นคิดว่าตัวตนเก่าของเขาได้แตกสลายไปตั้งนานแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น เพียงแต่ตัวตนใหม่ไม่รู้ตัวถึงการมีอยู่ของตัวตนเก่าต่างหาก

Part 2 

"Oh no, not me//Who knows? Not me
I never lost control
You're face to face
With the man who sold the world"

"นั้นไม่ใช่ฉัน
ฉันไม่เคยหลุด
ตรงหน้าคุณ
คือคนที่ยอมขายได้กับทุกสิ่ง เพื่อให้ได้มา"

**ตีความหมาย

ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับ ในที่นี้คือคนที่จิตใจพังทลายไปแล้ว เกิดกระบวนการปกป้องตนเอง ตัวตนเก่า บุคลิกเก่า อัตลักษณ์เก่า เปรียบได้กับชีวิตทั้งชีวิต เขาขายทิ้งทั้ง เพื่อที่จะได้โอกาสในการมีชีวิตต่ออีกครั้งโดยที่หัวใจไม่แตกสลายไปเสียก่อนโดยการสร้างสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นขึ้นมาใหม่ทั้งหมด พาทที่บอก "You're face to face" "With the man who sold the world" เหมือนเป็นการคุยกับตัวเองในกระจกว่าเรานั้นต่างตายไปแล้ว (?) หมายความว่าอาจจะมีการสร้างตัวตนที่สามขึ้นมาอีกได้ในอนาคต เนื่องจากอัตลักษณ์ทั้งสองนั้นจวนเจียนจะเอาช่วงเวลาที่ขมขื่นนี้ไว้ไม่อยู่แล้วนั้นเอง (SADโครต)

Part 3

"I laughed and shook his hand, and made my way back home
I searched for form and land, for years and years I roamed
I gazed a gazely stare at all the millions here
We must have died alone, a long long time ago"

**ตีความหมาย

"ฉันหัวเราะและจับมือเขา และกลับไปยังเส้นทางของฉัน
ฉันได้คิดค้นหารูปแบบ หลายปีแห่งการก้าวเดิน
ฉันจ้องดูสายตาเป็นล้านที่จ้องมองมา
เราคงต้องตายอย่างเงียบเหงา นานแล้ว" 

เหมือนกับว่าเมื่อรับรู้ถึงตัวตนของตัวเอง (ที่มีถึงสองดวง) ก็กลับไปสำรวจจิตใจใหม่ ค้นหาหนทาง สถานที่ และผู้คนเพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู๋
แต่สายตาที่คนภายนอกมองเข้ามามองว่าเราเป็นตัวประหลาด (ท่อนนี้ผมตีตวามโดยใช้วิจารณญานของผมเองค่อนข้างสูง ใครคิดไม่เหมือนไม่เป็นไรครับ) สุดท้ายเราก็ต้องเปล่าเปรี่ยว อันเนื่องมาจากโรคจิตเวชนั้นเอง

ขอขอบคุณคำแปลภาษาไทยจากกระทู้  https://pantip.com/topic/34311112

เพลงเพลงนี้เผยให้เห็นความ dark ในจิตใจคนที่เป็นโรคทางจิตเวชได้มากที่เดียว ความทุกข์ ความทรมานจากอดีตที่ยากจะลืมเลือน ผมอยากจะขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังสู้อยู่กับโรคนี้หรือแม้กระทั้งโรคจิตเวชอื่นๆก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น โรคซึมเศร้า ไบโพล่า อะไรก็ตามแต่ สุดท้ายนี้ผมอยากให้คุณรู้ว่าคุณไม่ได้อยู่เพียงลำพังครับ  และขอย้ำอีกครั้งว่านี่คือการตีความโดยคนๆเดียว สามารแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ตามอัธยาศัยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่