มีปัญหาเรื่องความเข้าใจกับที่บ้านครับ ขอคำแนะนำหน่อย

เริ่มเรื่องก่อนคือว่าปกติแล้วครอบครัวผมเป็นครอบครัวปกติทั่วไป ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นหรือโดดดิ่ง ต่างคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบกันตามปกติ น้องชายผมทำงานอีกฝั่งนึงของกรุงเทพเกือบออกนครปฐม อยู่คอนโด กลับบ้านบ้างเดือนละ 2-3 ครั้ง พ่ออยู่บ้านแม่ทำงาน ผมทำงาน

พอเข้าปี 2563 มีเหตุการณ์โควิด ทำให้ทุกคนต้องทำงานที่บ้านมากขึ้น แล้วปัญหามันก็เริ่มเกิด

เรื่องมีอยู่ว่า ญาติฝั่งแม่ชอบสร้างปัญหาบ่อย ไม่ว่าจะเรื่องเงิน เรื่องการประพฤติตัว ทำให้หลายครั้งแม่ต้องเข้าไปจัดการทุกอย่างให้แทน ทำให้เวลาที่แม่ใช้กับครอบครัวลดลง และแม่มีความหงุดหงิดในชีวิตเพิ่มขึ้น แต่เดิมทีการที่ทุกคนไปทำงานที่ที่ทำงาน ทำให้เวลาที่จะจัดการเรื่องญาติหรือต่างๆ นานามันมีน้อย แต่พอทำงานที่บ้านไม่ต้องเดินทางเวลาเหลือเยอะ แม่เลยง่วนกับการจัดการปัญหาคนอื่นเต็มไปหมด และเกิดความเครียดสะสมซึ่งสมาชิกทุกคนในบ้านสามารถมองเห็นได้ ยกเว้นตัวแม่เอง ที่คอยบอกว่า ไม่เคยเครียดจากปัญหาเหล่านี้ ทั้งๆ ที่หลายๆ ครั้งแม่โมโหกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพราะเพิ่งวางสายจากญาติที่โทรมาก่อกวนอยู่ทุกวัน

ผมลำบากใจกับแม่ เพราะในฐานะลูกที่อยู่ที่บ้าน จะพยายามปรามทั้งพ่อและแม่ไม่ให้กระทำในสิ่งที่อาจจะนำไปสู่การเจ็บป่วยในวัยชราได้ เช่น อาหารการกิน ความเครียด ฯลฯ อีกนัยหนึ่งคือผมไม่อยากมีพลังลบในบ้าน อยากให้บ้านเป็นที่ที่มีความสุขมากกว่าความหนักใจ รวมถึงเป็นการป้องกันความยากลำบากในการใช้ชีวิตของตัวเองหากพ่อแม่ต้องเจ็บป่วยในภายภาคหน้าด้วย แต่แม่ไม่เคยหยุดยั้งในสิ่งที่แม่อยากทำ ก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องญาติ แต่เราก็ไม่เห็นว่าญาติคนอื่นๆ เค้าจะมาใส่ใจกับปัญหาของญาติอีกคนมากขนาดนี้ กลับกันบางคนยังมองว่าเป็นเรื่องความรับผิดชอบชีวิตส่วนบุคคลด้วยซ้ำที่จะต้องสามารถดูแลและเอาตัวรอดเองได้
 
พ่อเป็นคนใจเย็น เงียบๆ พ่อมีปัญหาสุขภาพของพ่อที่พ่อต้องดูแลเอง แรกๆ ก็ดูน่าเป็นห่วง แต่ไปๆ มาๆ เหมือนพ่อจะมีความรับผิดชอบด้านนี้พอสมควร ทำให้เราไม่ได้ลำบากใจกับพ่อมากนัก

ประเด็นก็คือว่า ผมต้องรับฟังปัญหาและพลังลบเหล่านี้มานาน และต้องรับฟังเกือบทุกวันเป็นระยะเวลาสองปีนับจากโควิดเริ่มระบาด ทำให้ความอดทนต่อการรับฟังเรื่องเหล่านี้มันเหลือน้อยมาก ทำให้ผมทะเลาะกับแม่บ่อยมาก ที่บ้านทะเลาะกันบ่อยมากเรื่องญาติ ผมยอมรับว่าผมเครียดมาก และหลายๆ ครั้งมีการพูดจาไม่ดีโดยไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนก่อนออกไป เพราะไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะมีอะไรดีขึ้นเลย จนประมาณต้นไตรมาส 4 นี้ ผมตัดสินใจซื้อคอนโดที่หนึ่งซึ่งไม่ได้อยู่ไกลบ้านมากนักประมาณ 10 กิโลเมตร ในใจคิดว่าอยากจะย้ายออกไปอยู่คอนโดเหมือนน้องชาย เผื่อจะได้ไม่ต้องทะเลาะกับครอบครัวบ่อย ใช้ชีวิตแบบกินข้าวร่วมกันไปนั่นนี่ด้วยกัน ตกกลางคืนก็แยกย้ายกลับบ้านนอน บรรยากาศจะได้ดีขึ้น

ผมจึงเปรยๆ กับแม่ แต่แม่ไม่คิดเช่นนั้น เกิดเรื่องราวใหญ่โตเพราะแม่มองว่านี่คือรูปแบบของการทิ้งบุพการีและไม่กลับมาเหลียวแล เป็นรูปแบบหนึ่งของการเนรคุณและอกตัญญู ผมจึงบอกแม่ว่าผมไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่ผมเดินทางมาถึงจุดที่ผมไม่สามารถรับฟังเรื่องปัญหาของญาติต่างๆ ได้อีกแล้ว และแม่เองก็ไม่สามารถเลิกช่วยเหลือญาติได้ ดังนั้นความต้องการของเราสองคนจะไม่มีวันมาเจอกันที่จุดตรงกลางได้ และเพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปกว่านี้ผมคิดว่านี่คือทางออกที่ดี ที่จะมีระยะห่างกันบ้างเพื่อให้อนาคตเรายังคิดถึงและอยากจะแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ในชีวิตให้กันและกันเหมือนเดิม

คำถามผมก็คือ เหตุใดพ่อแม่จึงคิดเช่นนั้นกับผม ในขณะที่ไม่ได้คิดเช่นนั้นกับน้องชายที่ไปทำงานอีกฝั่งของกรุงเทพและอยู่คอนโด เหตุใดพ่อแม่จึงมองว่าเรามีความคิดอกตัญญูทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเมื่อมีปัญหาใดๆ หรือใครเข้าโรงพยาบาลก็เป็นผมทั้งนั้นที่พาเขาไปรักษา

ทุกวันนี้ผมเหมือนมีโซ่ตรวนติดร่างไว้ ไม่อยากคิดทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงให้ใครมากล่าวหาอีก เพราะความผิดที่ตนเองไม่ได้ก่อ มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความคิดเห็นและคำแนะนำครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่