.
เราได้เข้าไปอ่านบทความหนึ่ง และ สะดุดตากับชื่อ ๆ หนึ่ง จึงได้เข้าไปอ่านบทความที่ท่านนั้นเขียน ค่อย ๆ เลื่อนอ่านบรรทัดต่อบรรทัดกันเลย ทึ่งกับสิ่งที่บุคคลท่านนั้นคิดและได้เอ่ยมาค่ะ ที่กล่าวมาเราใกล้เคียงหมดเลย อีกมุมหนึ่งเราอาจจะคิดไปเองก็ได้
อยากพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยมาก แต่! สถานะไม่สามารถทำดั่งใจคิดได้ เพราะเหตุผลส่วนตัว ไม่ได้เป็นคนยึดมั่นถือมั่นอะไร หากเป็นคงไม่เข้าไปอ่าน แต่เป็นคนที่ถ้าไม่เอาก็คือไม่เอาเลยแค่นั้นเอง (มันต้องถึงที่สุดจริง ๆ ก่อนนะถึงจะไม่เอา) ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย!
เขาพูดได้ดีมากค่ะ พูดในเชิงของศิลปิน และ นักเขียนเอาไว้ได้ดีมาก จริงทุกอย่างที่เขาพูดมาเลย เสียดายที่เราได้อ่านช้าไปหน่อย และ เขาที่อยู่ผิดที่ไปหน่อย อาจจะถูกที่แต่เราที่ผิดที่เอง หากเรากับเขาท่านนั้นอยู่ถูกที่ถูกเวลากัน ก็คงจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เรากำลังเป็นอยู่ให้ฟังได้
สิ่งที่เราทำมันมาจากใจที่รัก พร้อมประสบการณ์ เราไม่สามารถเขียนนอกเหนือจากประสบการณ์ที่เคยทำได้เลย ทุกสิ่งอย่างล้วนเคยทำมาแล้ว หรือไม่ก็จากประสบการณ์ที่เราเคยเจอมาและรับรู้ แม้จะไม่ได้ลงมือทำเองก็ตาม ทว่ามันล้วนมาจากการรับรู้และสัมผัสทั้งหมด จากนั้นก็จินตนาการเสริมเติมแต่งไป ให้เรื่องราวมันสมบูรณ์มากขึ้น
จริงที่ว่าใจที่เป็นทุกข์และหรือเป็นสุข มันจะเป็นตัวช่วยรังสรรค์ชิ้นงานเขียนของเราได้ดีที่สุด รองลงมาจากประสบการณ์ คนที่มีจินตนาการ ชอบเขียน หรือ นักเขียนเหมือนเป็นคนที่ต้องคำสาปจริง ๆ ที่ทำให้ต้องพบเจอกับเรื่องที่กระทบจิตใจ ไม่มากก็น้อย ความกดดัน ความรู้สึกที่เก็บกด
ความรู้สึกเหล่านี้มันจะเป็นสารตั้งต้นหลัก ทำให้เกิดการรังสรรค์งานเขียนขึ้นมาได้เป็นอย่างดี มันจริงนะ! เพราะทุกอย่างที่เราเขียนออกมา มันเกิดขึ้นจากความรู้สึกของเราทั้งนั้น มันพยายามรังสรรค์บรรจงจินตนาการแห่งภาพในหัว ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวอักษร ผ่านความอ่อนแอลึก ๆ ของจิตใจ ต้องการให้จินตนาการมันเป็นดั่งใจเราต้องการ เพราะชีวิตจริงมันไม่ใช่
สิ่งที่เราเขียนมันเป็นจินตนาการของเราเอง ภาพที่เกิดขึ้นในหัวล้วน ๆ แต่ ทุกครั้งเรามักจะใส่อะไรบางอย่างลงไปในงานเขียนของตนเองเสมอ จริงที่บุคคลท่านนั้นบอกว่า งานประพันธ์แต่ละชิ้นมันมีคุณค่าในตัวของมันเอง และ มันเป็นตัวบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนเขียนว่าเป็นเช่นไร มันจริงทั้งหมด!
เราเคยสำรวจตัวเอง ประเมินตัวเองอยู่เป็นประจำ เราว่าตนเองเป็นคล้าย ๆ พวก introvert ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง มันมีอะไรบางอย่างในตัวของเราเสมอ เข้าขั้นที่ว่าคุยคนเดียวก็ได้ บางเวลาเรามักจะพูดคนเดียวอยู่บ่อย ๆ
ไม่ใช่การพูดไปเรื่อย หรือ คิดจะพูดขึ้นมา แต่มันเป็นการพูดในสิ่งที่เกิดจากภาพในหัวเรา เราพูดเกี่ยวกับภาพในหัวเรา เป็นฉากนั้น บ้าดีมั้ย! บางครั้งการเป็นคนมีจินตนาการสูงกับคนบ้า มันก็มีแค่เส้นบาง ๆ กั้นอยู่ จากนั้นเราก็หยิบสิ่งที่เราพูดนั่นแหละเขียนมันลงไป ถ่ายทอดสิ่งที่คิดและพูดออกมาเป็นตัวอักษร ผ่านการกลั่นกรองจากหัวใจที่กำลังเป็นทุกข์ หรือ มีความสุขอยู่ในขณะนั้น
สังเกตว่างานเขียนที่อ่านแล้วดูเศร้า นอยด์ คนเขียนต้องมีอะไรในใจเป็นแน่ หรือไม่ก็กำลังทุกข์กายและใจอยู่ ใช้งานเขียนเพื่อระบายความทุกข์นั้นออกมา หากงานเขียนใดอ่านแล้วเพลิน เกิดอารมณ์ขัน บอกได้ว่าคนเขียนขณะนั้นกำลังมีความสุข จึงรังสรรค์ชิ้นงานนี้ออกมา งานเขียนแต่ละแนวมันสามารถบอกอารมณ์ของนักเขียนได้
เราว่าเราเป็นคนมีของ มีมาตั้งนานแล้วด้วย! มีตั้งแต่เด็ก ๆ หากจะมองย้อนกลับไป เราจำได้นะ (สาระจำได้จริง ๆ ) ภาพในหัวของเราเริ่มเกิดขึ้นตอนไหน ตั้งแต่ประถมเลย ก็คงจะเหมือนเด็กทั่วไปที่มีจินตนาการ เช่นเล่นขายของ แล้วเราก็นึกภาพนั้นวน ๆ ไป แต่ของเรามันล้ำกว่านั้น!
ด้วยความเป็นเด็กไม่เข้าใจหรอกว่า สิ่งที่อยู่ในหัวมันคืออะไร จากนั้นเราก็มักจะพาน้องเล่นละครตามภาพในหัว แสดงละครเลยนะ ก็เลียนแบบมาจากละครนั่นแหละ แต่เป็นการเล่นตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหัวของเราว่า จะต้องทำแบบนี้ เล่นแบบนี้ พูดแบบนี้ จำได้เลย ส่วนมากจะเรื่องบู้เป็นส่วนใหญ่ ฮ่า! ต่อสู้กัน!
แอบเล่น! เล่นโจ่งแจ้งไม่ได้เดี๋ยวยายด่า เดี๋ยวโดนล้อ วันหยุดเรามักจะชวนน้องกับหลานขึ้นไปเล่นบนชั้นสองของบ้าน แล้วเล่นละครกัน ซึ่งเป็นละครที่เราคิดขึ้นเอง ที่มันเกิดขึ้นในหัว
‘ทุกอย่างมันมีเวลาที่เหมาะสมของมัน’
พอขึ้นมัธยม เหมือนมันหนักขึ้น อาการหนักขึ้น! ภาพในหัวเริ่มชัดเป็นฉาก ๆ มักเกิดขึ้นบ่อย และ เราเริมพูดคนเดียว! มันต้องเอาออกเข้าใจมั้ย เหมือนเมมที่เต็มแล้วต้องลบ
เราจะเล่นเหมือนเด็ก ๆ ไม่ได้แล้ว เราต้องหาทางระบายภาพนั้นออก มันก็มาจบที่การพูดมันออกมา แปลกมากค่ะพอพูดตามภาพในหัวแล้ว หัวมันก็ค่อย ๆ โล่งแล้วมันก็หายไป
ตอนมัธยมเราเริ่มอ่านนิยายแล้วค่ะ ซื้อนิยายมาอ่านเยอะมาก (เรามีเป็นตู้เลยนะสะสมนิยายค่ะ ตอนนี้ก็ยังอยู่ ตู้นิยายของเรา ตู้เล็ก ๆ ค่ะ ) มันเริ่มผนวกกัน ติดนิยายและเกิดภาพในหัวรวมกันมันยิ่งเหิมเกริม ทำให้เรานึกอยากเขียนนิยายขึ้นมา นิยายเขียนมือ! แต่ เขียนไม่จบสักเรื่อง ภาพในหัวมันเกิดขึ้นสะเปะสะปะไปหมด เรียบเรียงไม่ได้ เขียนเรื่องนี้วันต่อมาขึ้นเรื่องใหม่ไปเรื่อย ๆ ไม่จบสักเรื่อง
เราเขียนลงสมุดมันไม่โอเค ก็เลิกเขียนไป ปวดมือด้วยตอนนั้น เพราะยังเด็กอยู่ ไม่มีความอดทน สมาธิสั้น ก็กลับมาพูดคนเดียวเหมือนเดิม โดย การแอบพูดค่ะ อยู่คนเดียว มั่นใจว่าไม่มีใครเห็นแล้วจึงพูด (ถึงกระนั้นก็มีคนจับได้อีก ) โดนทักทีเขินเลยค่ะ ก็แก้ตัวไป
ภาพในหัวเกิดขึ้นเสมอมา ตลอดระยะเวลาการเติบโตของเรา จนบางครั้งคิดว่าตนเองบ้า เพราะอะไร เพราะว่าพูดคนเดียว คุยคนเดียว คิดว่าตนเองต้องบ้าแน่ ๆ บังคับไม่พูดมันก็บอกอาการไม่ถูก พอขึ้น ม.ปลายเริ่มกลับมาเขียนอีกครั้ง เขียนเป็นไดอารี่ ก็เริ่มโอเคขึ้น เหมือนมันได้ระบายค่ะ หัวก็โล่งอาการพูดคนเดียวเกิดขึ้นน้อยลง
พอขึ้นมหาลัยเราขี้เกียจเขียน มันก็กลับมาอีก ภาพในหัวมันต้องการที่ระบาย มันต้องระบายออก เราก็จำต้องพูด คราวนี้เราบังคับตนเองไม่ให้พูดก็ไม่ค่อยจะทำได้เท่าไหร่ อึดอัดมาก เขียนก็ไม่อยากเขียน เพราะขี้เกียจ พูดก็กลัวคนหาว่าบ้า
‘และแล้วมันก็ถึงเวลาของมันสักที’
วันหนึ่งเราได้รู้จักพันทิป เข้ามาอ่านพันทิป ถนนนักเขียนนี่แหละ เหมือนมันถึงเวลาของมันแล้ว เราได้ไปอ่านนิยายของคน ๆ หนึ่ง เอ่ยชื่อได้ไหมคะ ‘แจ็กในสวนถั่ว’ ขออนุญาตเอ่ยชื่อค่ะ ถ้าผ่านมาเห็น ‘ส่วนเกินที่เขาไม่ต้องการ’ เองนะคะ ทักทายได้ เราได้อ่านนิยายของคนนี้ ทำให้เราอยากเขียนขึ้นมาดื้อ ๆ กระตุ้นจินตนาการของเรามาก อยากเขียนมากชนิดที่ก็หาเหตุผลไม่ได้ จู่ ๆ ก็อยากเขียนขึ้นมาดื้อ ๆ
‘มันถึงเวลาที่ต้องปล่อยของในตัวออกมาโชว์แล้ว’
มันทำโดยไม่รู้สึกว่าบังคับตนเอง มันจะทำของมันเอง มันจะไปเรื่อย ๆ ของมันเอง ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อ มีแต่อยากเขียน ดีใจตื่นเต้นเสมอที่เวลานึกพล็อตนิยายได้ จะได้มีอะไรให้เขียน
เราอ่านนิยายของเขาจบ ได้เข้าไปเมนต์พูดคุยด้วย มันอยากเขียนมาก เราจัดการเขียนทันทีเลย เขียนลงในถนนนักเขียนเลย เขียนตามภาพในหัวของเรานี่แหละ มันรู้สึกชอบ ติดใจ รักการเขียนขึ้นมาดื้อ ๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยค่ะ เหมือนสิ่งที่โหยหามานาน ได้ตามหาเจอแล้วอะไรทำนองนี้ค่ะ เรารู้แต่ว่าเราชอบมาก เราติดใจ เรารักการเขียนขึ้นมาทันที เรารักมาก ๆ เลย
‘ถูกที่ถูกเวลา’
ฝึกฝนมาตลอด ฝึกเขียนมาเรื่อย ๆ จนคล่องค่ะ จนเราสามารถหยิบภาพในหัวตัวเองมาเขียน ปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราวได้ จากที่ตั้งแต่เด็ก ๆ ทำไม่เคยได้เลย แต่มักเกิดภาพในหัวเสมอ
จากนั้นมาเราก็เขียนมาเรื่อย ๆ เราไล่ย้อนเขียนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหัวของเราตอนเด็ก ๆ เรื่อย ๆ เก็บมาจนหมด ปัจจุบันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นใหม่ทั้งนั้น
บุคลิกของเราก็คล้าย ๆ บุคคลท่านนั้นบอก ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่ค่อยคุยกับใคร ไม่ค่อยอยากสนิทกับใคร เลือกคนที่จะเข้าหาตัวเอง คัดกรองที่สุดแล้วสำหรับคนที่เราเข้าหา แต่เรามีเพื่อนสนิทอยู่นะ ไม่ค่อยมีคนเข้าใจเราหรอก บางครั้งเราเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตนเองเหมือนกัน
พอดีได้อ่านบทความที่บุคคลท่านนั้นพูด อ่านแล้วคิดตามค่ะ ชอบ เข้าใจ ก็เลยอยากมาพูดในส่วนของตนเอง ที่ตนเองเป็นบ้าง
เราว่าเราชอบงานเขียนนะ ตอนนี้เรายังไม่เบื่อ เราก็จะปล่อยของในตัวเราออกมาเรื่อย ๆ ปล่อยมันออกมาโชว์เต็มที่ เท่าที่เราทำได้! เมื่อไหร่ที่เราเบื่อแล้ว ค่อยจะหายไป ตอนนี้เรามีพลังบวกมาก พร้อมจะไฟท์กับภาพในหัวเสมอ วันไหนมันดับไปเราก็พยายามคิดมันขึ้นมา จากที่เมื่อก่อนก่อนพยายามบังคับไม่ให้มันเกิดขึ้น ตอนนี้มันกลับกันแล้ว
ทำในสิ่งที่เรารัก พยายามเรียนรู้และฝึกฝนให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ…
บ้าหรือมีจินตนาการสูง
เราได้เข้าไปอ่านบทความหนึ่ง และ สะดุดตากับชื่อ ๆ หนึ่ง จึงได้เข้าไปอ่านบทความที่ท่านนั้นเขียน ค่อย ๆ เลื่อนอ่านบรรทัดต่อบรรทัดกันเลย ทึ่งกับสิ่งที่บุคคลท่านนั้นคิดและได้เอ่ยมาค่ะ ที่กล่าวมาเราใกล้เคียงหมดเลย อีกมุมหนึ่งเราอาจจะคิดไปเองก็ได้
อยากพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยมาก แต่! สถานะไม่สามารถทำดั่งใจคิดได้ เพราะเหตุผลส่วนตัว ไม่ได้เป็นคนยึดมั่นถือมั่นอะไร หากเป็นคงไม่เข้าไปอ่าน แต่เป็นคนที่ถ้าไม่เอาก็คือไม่เอาเลยแค่นั้นเอง (มันต้องถึงที่สุดจริง ๆ ก่อนนะถึงจะไม่เอา) ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย!
เขาพูดได้ดีมากค่ะ พูดในเชิงของศิลปิน และ นักเขียนเอาไว้ได้ดีมาก จริงทุกอย่างที่เขาพูดมาเลย เสียดายที่เราได้อ่านช้าไปหน่อย และ เขาที่อยู่ผิดที่ไปหน่อย อาจจะถูกที่แต่เราที่ผิดที่เอง หากเรากับเขาท่านนั้นอยู่ถูกที่ถูกเวลากัน ก็คงจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เรากำลังเป็นอยู่ให้ฟังได้
สิ่งที่เราทำมันมาจากใจที่รัก พร้อมประสบการณ์ เราไม่สามารถเขียนนอกเหนือจากประสบการณ์ที่เคยทำได้เลย ทุกสิ่งอย่างล้วนเคยทำมาแล้ว หรือไม่ก็จากประสบการณ์ที่เราเคยเจอมาและรับรู้ แม้จะไม่ได้ลงมือทำเองก็ตาม ทว่ามันล้วนมาจากการรับรู้และสัมผัสทั้งหมด จากนั้นก็จินตนาการเสริมเติมแต่งไป ให้เรื่องราวมันสมบูรณ์มากขึ้น
จริงที่ว่าใจที่เป็นทุกข์และหรือเป็นสุข มันจะเป็นตัวช่วยรังสรรค์ชิ้นงานเขียนของเราได้ดีที่สุด รองลงมาจากประสบการณ์ คนที่มีจินตนาการ ชอบเขียน หรือ นักเขียนเหมือนเป็นคนที่ต้องคำสาปจริง ๆ ที่ทำให้ต้องพบเจอกับเรื่องที่กระทบจิตใจ ไม่มากก็น้อย ความกดดัน ความรู้สึกที่เก็บกด
ความรู้สึกเหล่านี้มันจะเป็นสารตั้งต้นหลัก ทำให้เกิดการรังสรรค์งานเขียนขึ้นมาได้เป็นอย่างดี มันจริงนะ! เพราะทุกอย่างที่เราเขียนออกมา มันเกิดขึ้นจากความรู้สึกของเราทั้งนั้น มันพยายามรังสรรค์บรรจงจินตนาการแห่งภาพในหัว ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวอักษร ผ่านความอ่อนแอลึก ๆ ของจิตใจ ต้องการให้จินตนาการมันเป็นดั่งใจเราต้องการ เพราะชีวิตจริงมันไม่ใช่
สิ่งที่เราเขียนมันเป็นจินตนาการของเราเอง ภาพที่เกิดขึ้นในหัวล้วน ๆ แต่ ทุกครั้งเรามักจะใส่อะไรบางอย่างลงไปในงานเขียนของตนเองเสมอ จริงที่บุคคลท่านนั้นบอกว่า งานประพันธ์แต่ละชิ้นมันมีคุณค่าในตัวของมันเอง และ มันเป็นตัวบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนเขียนว่าเป็นเช่นไร มันจริงทั้งหมด!
เราเคยสำรวจตัวเอง ประเมินตัวเองอยู่เป็นประจำ เราว่าตนเองเป็นคล้าย ๆ พวก introvert ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง มันมีอะไรบางอย่างในตัวของเราเสมอ เข้าขั้นที่ว่าคุยคนเดียวก็ได้ บางเวลาเรามักจะพูดคนเดียวอยู่บ่อย ๆ
ไม่ใช่การพูดไปเรื่อย หรือ คิดจะพูดขึ้นมา แต่มันเป็นการพูดในสิ่งที่เกิดจากภาพในหัวเรา เราพูดเกี่ยวกับภาพในหัวเรา เป็นฉากนั้น บ้าดีมั้ย! บางครั้งการเป็นคนมีจินตนาการสูงกับคนบ้า มันก็มีแค่เส้นบาง ๆ กั้นอยู่ จากนั้นเราก็หยิบสิ่งที่เราพูดนั่นแหละเขียนมันลงไป ถ่ายทอดสิ่งที่คิดและพูดออกมาเป็นตัวอักษร ผ่านการกลั่นกรองจากหัวใจที่กำลังเป็นทุกข์ หรือ มีความสุขอยู่ในขณะนั้น
สังเกตว่างานเขียนที่อ่านแล้วดูเศร้า นอยด์ คนเขียนต้องมีอะไรในใจเป็นแน่ หรือไม่ก็กำลังทุกข์กายและใจอยู่ ใช้งานเขียนเพื่อระบายความทุกข์นั้นออกมา หากงานเขียนใดอ่านแล้วเพลิน เกิดอารมณ์ขัน บอกได้ว่าคนเขียนขณะนั้นกำลังมีความสุข จึงรังสรรค์ชิ้นงานนี้ออกมา งานเขียนแต่ละแนวมันสามารถบอกอารมณ์ของนักเขียนได้
เราว่าเราเป็นคนมีของ มีมาตั้งนานแล้วด้วย! มีตั้งแต่เด็ก ๆ หากจะมองย้อนกลับไป เราจำได้นะ (สาระจำได้จริง ๆ ) ภาพในหัวของเราเริ่มเกิดขึ้นตอนไหน ตั้งแต่ประถมเลย ก็คงจะเหมือนเด็กทั่วไปที่มีจินตนาการ เช่นเล่นขายของ แล้วเราก็นึกภาพนั้นวน ๆ ไป แต่ของเรามันล้ำกว่านั้น!
ด้วยความเป็นเด็กไม่เข้าใจหรอกว่า สิ่งที่อยู่ในหัวมันคืออะไร จากนั้นเราก็มักจะพาน้องเล่นละครตามภาพในหัว แสดงละครเลยนะ ก็เลียนแบบมาจากละครนั่นแหละ แต่เป็นการเล่นตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหัวของเราว่า จะต้องทำแบบนี้ เล่นแบบนี้ พูดแบบนี้ จำได้เลย ส่วนมากจะเรื่องบู้เป็นส่วนใหญ่ ฮ่า! ต่อสู้กัน!
แอบเล่น! เล่นโจ่งแจ้งไม่ได้เดี๋ยวยายด่า เดี๋ยวโดนล้อ วันหยุดเรามักจะชวนน้องกับหลานขึ้นไปเล่นบนชั้นสองของบ้าน แล้วเล่นละครกัน ซึ่งเป็นละครที่เราคิดขึ้นเอง ที่มันเกิดขึ้นในหัว
‘ทุกอย่างมันมีเวลาที่เหมาะสมของมัน’
พอขึ้นมัธยม เหมือนมันหนักขึ้น อาการหนักขึ้น! ภาพในหัวเริ่มชัดเป็นฉาก ๆ มักเกิดขึ้นบ่อย และ เราเริมพูดคนเดียว! มันต้องเอาออกเข้าใจมั้ย เหมือนเมมที่เต็มแล้วต้องลบ
เราจะเล่นเหมือนเด็ก ๆ ไม่ได้แล้ว เราต้องหาทางระบายภาพนั้นออก มันก็มาจบที่การพูดมันออกมา แปลกมากค่ะพอพูดตามภาพในหัวแล้ว หัวมันก็ค่อย ๆ โล่งแล้วมันก็หายไป
ตอนมัธยมเราเริ่มอ่านนิยายแล้วค่ะ ซื้อนิยายมาอ่านเยอะมาก (เรามีเป็นตู้เลยนะสะสมนิยายค่ะ ตอนนี้ก็ยังอยู่ ตู้นิยายของเรา ตู้เล็ก ๆ ค่ะ ) มันเริ่มผนวกกัน ติดนิยายและเกิดภาพในหัวรวมกันมันยิ่งเหิมเกริม ทำให้เรานึกอยากเขียนนิยายขึ้นมา นิยายเขียนมือ! แต่ เขียนไม่จบสักเรื่อง ภาพในหัวมันเกิดขึ้นสะเปะสะปะไปหมด เรียบเรียงไม่ได้ เขียนเรื่องนี้วันต่อมาขึ้นเรื่องใหม่ไปเรื่อย ๆ ไม่จบสักเรื่อง
เราเขียนลงสมุดมันไม่โอเค ก็เลิกเขียนไป ปวดมือด้วยตอนนั้น เพราะยังเด็กอยู่ ไม่มีความอดทน สมาธิสั้น ก็กลับมาพูดคนเดียวเหมือนเดิม โดย การแอบพูดค่ะ อยู่คนเดียว มั่นใจว่าไม่มีใครเห็นแล้วจึงพูด (ถึงกระนั้นก็มีคนจับได้อีก ) โดนทักทีเขินเลยค่ะ ก็แก้ตัวไป
ภาพในหัวเกิดขึ้นเสมอมา ตลอดระยะเวลาการเติบโตของเรา จนบางครั้งคิดว่าตนเองบ้า เพราะอะไร เพราะว่าพูดคนเดียว คุยคนเดียว คิดว่าตนเองต้องบ้าแน่ ๆ บังคับไม่พูดมันก็บอกอาการไม่ถูก พอขึ้น ม.ปลายเริ่มกลับมาเขียนอีกครั้ง เขียนเป็นไดอารี่ ก็เริ่มโอเคขึ้น เหมือนมันได้ระบายค่ะ หัวก็โล่งอาการพูดคนเดียวเกิดขึ้นน้อยลง
พอขึ้นมหาลัยเราขี้เกียจเขียน มันก็กลับมาอีก ภาพในหัวมันต้องการที่ระบาย มันต้องระบายออก เราก็จำต้องพูด คราวนี้เราบังคับตนเองไม่ให้พูดก็ไม่ค่อยจะทำได้เท่าไหร่ อึดอัดมาก เขียนก็ไม่อยากเขียน เพราะขี้เกียจ พูดก็กลัวคนหาว่าบ้า
‘และแล้วมันก็ถึงเวลาของมันสักที’
วันหนึ่งเราได้รู้จักพันทิป เข้ามาอ่านพันทิป ถนนนักเขียนนี่แหละ เหมือนมันถึงเวลาของมันแล้ว เราได้ไปอ่านนิยายของคน ๆ หนึ่ง เอ่ยชื่อได้ไหมคะ ‘แจ็กในสวนถั่ว’ ขออนุญาตเอ่ยชื่อค่ะ ถ้าผ่านมาเห็น ‘ส่วนเกินที่เขาไม่ต้องการ’ เองนะคะ ทักทายได้ เราได้อ่านนิยายของคนนี้ ทำให้เราอยากเขียนขึ้นมาดื้อ ๆ กระตุ้นจินตนาการของเรามาก อยากเขียนมากชนิดที่ก็หาเหตุผลไม่ได้ จู่ ๆ ก็อยากเขียนขึ้นมาดื้อ ๆ
‘มันถึงเวลาที่ต้องปล่อยของในตัวออกมาโชว์แล้ว’
มันทำโดยไม่รู้สึกว่าบังคับตนเอง มันจะทำของมันเอง มันจะไปเรื่อย ๆ ของมันเอง ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อ มีแต่อยากเขียน ดีใจตื่นเต้นเสมอที่เวลานึกพล็อตนิยายได้ จะได้มีอะไรให้เขียน
เราอ่านนิยายของเขาจบ ได้เข้าไปเมนต์พูดคุยด้วย มันอยากเขียนมาก เราจัดการเขียนทันทีเลย เขียนลงในถนนนักเขียนเลย เขียนตามภาพในหัวของเรานี่แหละ มันรู้สึกชอบ ติดใจ รักการเขียนขึ้นมาดื้อ ๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยค่ะ เหมือนสิ่งที่โหยหามานาน ได้ตามหาเจอแล้วอะไรทำนองนี้ค่ะ เรารู้แต่ว่าเราชอบมาก เราติดใจ เรารักการเขียนขึ้นมาทันที เรารักมาก ๆ เลย
‘ถูกที่ถูกเวลา’
ฝึกฝนมาตลอด ฝึกเขียนมาเรื่อย ๆ จนคล่องค่ะ จนเราสามารถหยิบภาพในหัวตัวเองมาเขียน ปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราวได้ จากที่ตั้งแต่เด็ก ๆ ทำไม่เคยได้เลย แต่มักเกิดภาพในหัวเสมอ
จากนั้นมาเราก็เขียนมาเรื่อย ๆ เราไล่ย้อนเขียนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหัวของเราตอนเด็ก ๆ เรื่อย ๆ เก็บมาจนหมด ปัจจุบันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นใหม่ทั้งนั้น
บุคลิกของเราก็คล้าย ๆ บุคคลท่านนั้นบอก ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่ค่อยคุยกับใคร ไม่ค่อยอยากสนิทกับใคร เลือกคนที่จะเข้าหาตัวเอง คัดกรองที่สุดแล้วสำหรับคนที่เราเข้าหา แต่เรามีเพื่อนสนิทอยู่นะ ไม่ค่อยมีคนเข้าใจเราหรอก บางครั้งเราเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตนเองเหมือนกัน
พอดีได้อ่านบทความที่บุคคลท่านนั้นพูด อ่านแล้วคิดตามค่ะ ชอบ เข้าใจ ก็เลยอยากมาพูดในส่วนของตนเอง ที่ตนเองเป็นบ้าง
เราว่าเราชอบงานเขียนนะ ตอนนี้เรายังไม่เบื่อ เราก็จะปล่อยของในตัวเราออกมาเรื่อย ๆ ปล่อยมันออกมาโชว์เต็มที่ เท่าที่เราทำได้! เมื่อไหร่ที่เราเบื่อแล้ว ค่อยจะหายไป ตอนนี้เรามีพลังบวกมาก พร้อมจะไฟท์กับภาพในหัวเสมอ วันไหนมันดับไปเราก็พยายามคิดมันขึ้นมา จากที่เมื่อก่อนก่อนพยายามบังคับไม่ให้มันเกิดขึ้น ตอนนี้มันกลับกันแล้ว
ทำในสิ่งที่เรารัก พยายามเรียนรู้และฝึกฝนให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ…