แสงสีในตลาดหุ้น

กระทู้คำถาม
ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยแสงสี สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว สีฟ้า สีชมพู
นักลงทุนที่เข้ามาหากไม่ตั้งสติให้ดี ก็จะหลงไปกับแสงสีอันยั่วยวนเหล่านั้น
และจะกระโดดโลดเต้นไปตามแสงสี ยามแสงสีเขียว สีฟ้ามา ก็เฮฮาปาร์ตี้
ยามสีแดง สีชมพูมา ก็ยังหลงระเริงอยู่ในปาร์ตี้ และหวังว่าสีเขียว สีฟ้า จะมาเยือนอีกครั้ง
ถ้าเป็นเงินเย็น หรือ เงินที่ไม่จำเป็นต้องนำมาใช้จ่าย ก็แค่เสียดาย
แต่ถ้านำเงินออม เงินเก็บ หรือ เงินที่ไว้สำหรับใช้จ่าย หรือกู้เงินมา ก็จะเกิดปัญหาอื่นตามมาได้

ตลาดหุ้นคือแหล่งลงทุน การลงทุนย่อมมีกำไร มีขาดทุน
เช่นเดียวกับการลงทุนทำธุรกิจ ย่อมมีกำไรและขาดทุน
สำหรับนักธุรกิจที่แท้จริง จะมีการศีกษา วิจัยถึงโอกาส
และความเป็นไปได้ที่ธุรกิจจะทำกำไร และเติบโต ก่อนที่จะลงทุน
โอกาสสำเร็จจะมีมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จทุกราย หรือ ทุกครั้ง
หากไม่ศึกษา หรือ วิจัยตลาดก่อน โอกาสสำเร็จก็จะมีน้อยกว่า

การลงทุนในตลาดหุ้น หากลงทุนในเชิงธุรกิจ ก็เหมือนการเริ่มทำธุรกิจ
เพียงแต่เราไม่ได้ไปควบคุมธุรกิจนั้น เหมือนการทำธุรกิจเอง
แต่ก็ควรศึกษาถึงความเป็นไปได้ในธุรกิจนั้นๆ
การทำธุรกิจ ย่อมมีอุปสรรคมาให้แก้ปัญหา และบางช่วงเวลาประสบการขาดทุน
แต่หากเป็นธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน ก็จะพลิกตัวกลับมาได้เสมอ

ตลาดหุ้นไม่ใช่แหล่งอบายมุข ไม่ใช่การพนัน ไม่ใช่โรงเบียร์
แต่ทำไมทำให้คนเข้ามาลงทุนเหมือนการพนัน และติดเหมือนการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ (เลิกได้ แต่เลิกยาก)
เพราะเกิดความรู้สึกดี เมื่อสามารถทำกำไรได้ง่ายๆ และอยากได้คืนเมื่อขาดทุน
หากไม่ศึกษาให้ดีในการลงทุนก็จะประสบการขาดทุน มากกว่ากำไร

ตลาดหุ้นมีหุ้นหลายร้อยตัว เคลื่อนไหวขึ้นลงสลับกันไป
ทำให้เกิดแสงสีวูบวาป โดยเฉพาะแสงเลเซอร์สีเขียว
ที่ยั่วยวนใจให้เหล่าแมงเม่าบินเข้าใส่ได้ทุกวัน
การเข้าไปซื้อหุ้นแบบการพนัน ก็เหมือนการเล่นสล็อตแมชชีน เล่นกับโชคชะตา
ใส่เงินลงไป แล้วโยก รอให้เครื่องหมุนจนหยุด (หมดวัน หรือ เล่นแบบเป็นนาทีที่กำหนด)
หากออกตามเงือนไขก็ได้เงิน (กำไร) หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขก็เสียเงิน (ขาดทุน)
มีรางวัลเล็กบ้าง กลางบ้าง ใหญ่บ้าง นานนนนนนๆครั้ง แจ็คพอตแตก รวยกันไป
แต่ถ้าเล่นไปเรื่อยๆ ย้ายตู้ไปเรื่อยๆ ไม่หยุดเล่น
ไม่ว่าจะได้แจ็คพอตมาก็ตาม สุดท้ายก็ประสบกับการขาดทุนเป็นส่วนใหญ่

การศึกษาไม่ว่าจะด้านพื้นฐาน หรือ ทางเทคนิคอล มีให้เห็นทั่วไป
ทั้งนี้นักวิชาการหรือผู้ที่คิดค้นสูตรต่างๆขึ้นมา เพื่อที่จะทำนายหรือวิเคราะห์ทิศทางที่เป็นไป
หากเป็นไปตามทฤษฎี ก็คงง่ายในการศึกษา
แต่เนื่องจากเกี่ยวพันกับเงินๆทองๆ ที่เป็นผลประโยชน์มหาศาลที่ใครๆก็อยากได้ไว้ในครอบครอง
จึงมีการซิกแซก พลิกแพลง ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ไม่ว่าจะทางด้านบัญชี งบการเงิน ค่าเสื่อม เงินสำรอง
เงินสด มูลค่าที่ดินที่แอบซ่อนไว้ มูลค่าแบรนด์รอยัลตี้ ฯ ล ฯ อีกมากมายสารพัด
ทางด้านเทคนิคอล หากดูตามเบสิค ก็จะพบว่า เดี๋ยวใช่ เดี๋ยวไม่ใช่
ทำใม overbought แล้วหุ้นยังขึ้นได้อีก (จะบอกให้ว่า หุ้นที่จะขึ้นแรงๆ นั้น เคลื่อนไหวอยู่เหนือ rsi 70)
(แต่หุ้นที่เคลื่อนไหวเหนือ rsi 70 อาจขึ้นไม่แรง)
ทำไม oversold แล้วลงได้อีกเยอะเลย
หลายคนจึงหมดศรัทธาในการศึกษา เพราะรู้สึกว่ามันยาก และใช้ไม่ได้จริง
แน่นอนเพราะว่ามันยาก จึงทำให้คนที่ศึกษาและรู้ลึก มีน้อยคน
คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆจึงมีน้อย

การศีกษาต้องทำเอง โดยดูจากคนที่ประสบความสำเร็จ ว่าเขาศึกษาอย่างไร
แน่นอน ไม่มีใครบอกรายละเอียด เจาะลึกส่วนที่สำคัญจริงๆ
เพราะกว่าจะค้นพบต้องแลกกับการลองผิดลองถูก (ผิดซะส่วนใหญ่ ก่อนจะถูก)
แล้วใครจะบอกกันง่ายๆ ให้นำไปใช้โดยที่คนนำไปใช้ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร
อีกอย่างเมื่อมีคนรู้มากๆ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พิเศษอีกต่อไป
หลักวิธีการเหล่านั้นก็จะมีค่าน้อยลง ใช้ประโยชน์ได้น้อยลง

บางท่านอาจเห็นว่าสิ่งที่ผมเขียนเป็นสิ่งที่ใครๆกู้รู้กัน
ไม่มีการสอนว่าดูอย่างไร ทำอย่างไร จึงจะทำกำไรได้มากกว่าขาดทุน
ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร
สำหรับคนที่คาดหวังว่า จะมีการสอนวิธีดู วิธีอ่านกราฟ คงผิดหวัง
กระทู้ที่ตั้งขึ้น ก็เพื่อเตือนใจ เตือนสติให้รู้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่ใครก็ได้ ที่เข้ามาคว้าเงินออกไมง่ายๆ
ที่ประสบความสำเร็จก็มีตัวอย่างให้เห็น แต่เป็นส่วนน้อย
ที่ประสบความล้มเหลว ก็มีตัวอย่างให้เห็น เป็นส่วนใหญ่
เราควบคุมราคาหุ้นไม่ได้ แต่เราควบคุมตัวเราเองได้
ต้องรู้ว่าทำไมเราถึงซื้อที่ราคานี้ ทำไมเราถึงขายที่ราคานั้น

สำหรับนักลงทุนที่อยากศึกษากราฟเทคนิคอล
อยากให้ศึกษาเพื่อเป็น VTI (value technical investor) 
หรือจะเทรดดิ่งก็แล้วแต่ ขอให้มีกำไรมากกว่าขาดทุน
เราสามารถศึกษาในอดีตได้ ในหุ้นที่เป็นขาขึ้นต่อเนื่อง ว่ามีลักษณะอย่างไร
จุดเริ่มขึ้นอย่างแน่ชัดยู่ตรงไหน จุดขายอยู่ตรงไหน ถึงจะไม่ขายหมู
หุ้นที่เป็นขาลง หากเรามีหุ้นอยู่เราจะตัดขายตรงไหนก่อนที่มันจะลง
อย่างการบินไทย ทำอย่างไรจะไม่เข้าไปยุ่ง แม้จะมีการ rebound
หุ้น egco จุดไหนที่ควรขาย แล้วไม่ไปสนใจมองอีกจนกว่าจะกลับตัว
หุ้นตัวไหนที่ขึ้นแรง เข้าไปดูว่าเราจะจับสัญญาณก่อนขึ้นแรงได้ไหม
หุ้นตัวไหนที่ลงแรง เข้าไปดูว่าเราจะจับสัญญาณก่อนลงแรงได้ไหม
ศีกษาแล้วก็ทดลองน้อยๆก่อน จนมั่นใจจึงค่อยๆเพิ่มการลงทุน

กราฟเทคนิคอลที่ดี ควรสามารถนำไปใช้ได้กับหุ้นเกือบทุกตัวในหลักการเดียวกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่